เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-20 อัปเดตเมื่อ: 2025-11-21
ราคาทองคำร่วงลง 0.53% สู่ระดับ 4,063.81 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันพฤหัสบดี หลังจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ และตลาดลดความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมอย่างรวดเร็ว

การอ่อนตัวของราคาทองครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่มีจำกัด และท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้นของเฟด ส่งผลให้นักลงทุนเร่งปรับการประเมินความเสี่ยงใหม่ และลดความต้องการสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอย่างทองคำ
ราคาทองคำทรงตัวหลังปรับขึ้นต่อเนื่องสองวันก่อนหน้า ล่าสุดซื้อขายบริเวณ 4,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่นักลงทุนลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนธันวาคม
รายงานการประชุมเฟดเดือนตุลาคมชี้ให้เห็นว่า กรรมการหลายรายมีแนวโน้มที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากมุมมองผ่อนคลายมากกว่านี้ก่อนหน้า
อีกปัจจัยที่กดดันตลาดทองคำ คือดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ส่งผลลดความน่าดึงดูดของทองคำ

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดตราสารอนุพันธ์ได้ปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ยลงอย่างชัดเจน
ปัจจุบันตลาดให้โอกาสเพียง 33–36% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม จากเดิมที่เคยใกล้ 50%
การปรับมุมมองนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดขาดข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานสหรัฐเดือนตุลาคมที่ล่าช้า ทำให้ตลาดขาดสัญญาณนำก่อนการประชุมเฟดปลายปี
| ประเด็น | ความคาดหวังก่อนหน้า | ความคาดหวังปัจจุบัน | ผลกระทบต่อตลาด |
|---|---|---|---|
| การลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม | ~50% | 33–36% | ความต้องการทองลดลง |
| ท่าทีของเฟด | ผสมผสาน | ระมัดระวังมากขึ้น | มีแนวโน้มตรึงดอกเบี้ย |
แม้ราคาจะอ่อนตัวในระยะสั้น แต่ทองคำยังได้รับแรงหนุนจาก การซื้อทองของธนาคารกลาง การไหลเข้าของกองทุน ETF และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งช่วยรักษาโมเมนตัมของตลาดทองคำไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ทองคำมักโดดเด่นเมื่อดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ต้องอาศัยการลดดอกเบี้ยจริง ทำให้ตลาดจับตาทิศทางนโยบายเฟดอย่างใกล้ชิด
นักวิเคราะห์บางราย เช่น WisdomTree เตือนว่า หากเฟดยังคงยึดจุดยืนแบบเข้มงวดหรือแม้กระทั่งหันกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ทองคำอาจเผชิญแรงกดดันลงในเชิงโครงสร้าง

บนกราฟ ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบ 4,000–4,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 4,040 ดอลลาร์ ซึ่งนักลงทุนกำลังทดสอบว่าระดับนี้จะรับแรงขายได้หรือไม่
หากราคาทองคำหลุดลงต่ำกว่าโซนดังกล่าว อาจถอยกลับไปทดสอบระดับ 3,960–4,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีโอกาสกระตุ้นแรงขายระลอกใหม่
ในทางกลับกัน หากราคาเด้งกลับขึ้นมา แนวต้านแรกจะอยู่โซนประมาณ 4,130–4,180 ดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นระดับที่ราคาถูกกดลงกลับ และโมเมนตัมอาจเริ่มอ่อนแรงหากไม่มีปัจจัยหนุนเชิงมหภาคที่ชัดเจน

นักลงทุนจับตารายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ถูกเลื่อนประกาศ ซึ่งอาจเปลี่ยนมุมมองต่อนโยบายเฟดในเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ คำแถลงหรือสัญญาณเพิ่มเติมจากเฟด ไม่ว่าจะผ่านการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่หรือรายงานการประชุม จะมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินทิศทางดอกเบี้ยช่วงท้ายปี
ปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติมยังรวมถึงข้อมูลเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งหากมีเหตุการณ์ตึงเครียดหรือเงินเฟ้อออกมาสูงกว่าคาด อาจกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน การไหลเข้า–ออกของกองทุน ETF ที่อ้างอิงทองคำ และการเข้าซื้อทองคำจากธนาคารกลาง จะเป็นสัญญาณสำคัญว่าวงจรการลงทุนในทองคำยังคงแข็งแกร่งเพียงใดภายใต้แรงกดดันทางมหภาค
| ตัวชี้วัด | ค่าล่าสุด | แนวโน้มก่อนหน้า | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
| ราคาทองคำสปอต | 4,063.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ | ลดลง 0.4% ในวันล่าสุด | กดดันจากดอลลาร์แข็งค่า |
| ผลตอบแทนย้อนหลัง 2 วัน | +1% ก่อนจะอ่อนตัว | ดีดตัวสั้น ๆ | โมเมนตัมเริ่มลดลง |
| ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) | +50% | ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนตุลาคม | ได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยก่อนหน้า |
ราคาทองคำอ่อนตัวลงเนื่องจากนักลงทุนลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยเฟดในเดือนธันวาคมอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ ทั้งสองปัจจัยนี้ลดความน่าดึงดูดของสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอย่างทองคำ และกระตุ้นการปรับพอร์ตระยะสั้น
ราคาตลาดปัจจุบันสะท้อนโอกาสการลดดอกเบี้ยเพียงประมาณ 33–36% จากเดิมที่ใกล้ 50% โดยมีสาเหตุจากน้ำเสียงที่ระมัดระวังมากขึ้นในรายงานการประชุมเฟด และการขาดข้อมูลสำคัญด้านแรงงานออกมาให้ประเมิน
แนวรับสำคัญอยู่ที่บริเวณ 4,040 ดอลลาร์ และระดับลึกลงมาที่ 3,960–4,000 ดอลลาร์ ส่วนแนวต้านที่ต้องจับตาอยู่ที่โซน 4,130–4,180 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวทะลุออกจากกรอบเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณถึงโมเมนตัมการเคลื่อนตัวที่ชัดเจนขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของข้อมูลเศรษฐกิจ
แม้จะถูกกดดันในระยะสั้น แต่ทองคำยังได้รับแรงหนุนเชิงโครงสร้างจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ความต้องการทองคำผ่านกองทุน ETF และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยรักษาฐานราคาทองให้มั่นคงขึ้นในภาพระยะยาว
ทองคำมีโอกาสฟื้นตัวได้ หากเกิดหนึ่งในปัจจัยต่อไปนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาอ่อนแอ โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงาน เฟดส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น เกิดความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง สรุปคือ หากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ความต้องการทองคำก็มักจะกลับมา
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ