เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-19
ราคาทองคำสปอตเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยได้รับอิทธิพลร่วมกันจากการเข้าซื้อทองคำจำนวนมากของธนาคารกลาง ความคาดหวังต่อนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐที่เปลี่ยนไป และการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลทั้งต่อความผันผวนระยะสั้นและแนวโน้มระยะกลางของตลาดทองคำ
ด้านล่างนี้คือการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างครบถ้วน พร้อมข้อมูลอ้างอิง ที่รวบรวมปัจจัยขับเคลื่อน ระดับเทคนิคสำคัญ และมุมมองคาดการณ์ราคาทองคำในช่วงต่อไป

ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ราคาทองคำสปอตเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบใกล้ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากปรับตัวขึ้นแรงในช่วงต้นปี และเริ่มเข้าสู่ช่วงพักฐาน (consolidation) ในระยะหลัง
ราคาทองคำแกว่งตัวบริเวณระดับดังกล่าว เนื่องจากนักลงทุนกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย กับความคาดหวังต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ และความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์ ข้อมูลจากเว็บไซต์รวมราคาสดในวันที่ 18–19 พฤศจิกายน 2025 ระบุว่าราคาสปอตอยู่ในช่วงประมาณ 4,038–4,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์
พาดหัวข่าวในตลาดสัปดาห์นี้มีทั้งบวกและลบ โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนลง หนุนความหวังการลดดอกเบี้ยและช่วยให้ราคาทองคำปรับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การแข็งค่าของดอลลาร์ และการคาดการณ์เชิงเข้มงวดจากเฟดที่มากกว่าคาด ฉุดให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงเป็นระยะ
หนึ่งในปัจจัยโครงสร้างสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2025 คือ การสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก รายงานจากสถาบันการเงินชั้นนำระบุว่า การเข้าซื้อทองคำจากภาคทางการในปีนี้อยู่ในระดับสูงผิดปกติ ส่งผลชัดเจนต่อความตึงตัวในสมดุลอุปสงค์–อุปทานของทองคำ และช่วยหนุนให้ระดับราคาพื้นฐานปรับสูงขึ้น
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนต่อเนื่องถึงพฤศจิกายน มีการซื้อทองคำในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มระยะยาวในการกระจายสินทรัพย์สำรองของหลายประเทศ
| ตัวชี้วัด | ค่า/ข้อมูลล่าสุด | แหล่งข้อมูล |
|---|---|---|
| ประมาณการปริมาณทองคำที่ธนาคารกลางซื้อ (ก.ย. 2025) | ประมาณ 64 ตัน (เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับสิงหาคม) | Goldman Sachs |
| แนวโน้ม | แนวโน้มการสะสมทองคำต่อเนื่องหลายปีของประเทศเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางแห่ง | - |
ผลกระทบจากความต้องการทองคำของภาคทางการมีอยู่ 2 ด้านหลัก ประการแรก ซึมซับอุปทานส่วนใหญ่ของเหมืองทองและกระแสเงินไหลออกจากกองทุน ETF ส่งผลให้โลหะทองคำจริงที่เหลืออยู่สำหรับนักลงทุนภาคเอกชนน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประการที่สอง ยกระดับ "พื้นราคา" ของทองคำ เมื่อมีการซื้อสะสมจากธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง การปรับลงแรงของราคาในตลาดมักดึงดูดแรงซื้อกลับทันที ทำให้โอกาสเกิดตลาดขาลงที่ยาวนานลดลง

ความผันผวนระยะสั้นของทองคำยังคงตอบสนองอย่างไวต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และความคาดหวังต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำ (ที่ซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์) มักถูกกดดันเพราะทำให้ทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ในทางกลับกัน ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดช่วยหนุนราคาทองคำ เนื่องจากทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และลดต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองทองคำที่ไม่มีดอกผล ความอ่อนตัวล่าสุดของราคาทองคำสอดคล้องกับการแข็งค่าของดอลลาร์และการลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในระยะใกล้
| ปัจจัยขับเคลื่อน | ผลกระทบต่อราคาทองคำ |
|---|---|
| การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ | เชิงลบ (กดดันราคาทองคำ) |
| ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด | เชิงบวก (ลดอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง) |
| การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง | เชิงบวก (อุปสงค์เชิงโครงสร้าง) |
| ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ / ความตึงเครียดตลาด | เชิงบวก (แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย) |
นักเทรดขณะนี้กำลังติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและถ้อยแถลงจากเฟดอย่างใกล้ชิด ทองคำเคลื่อนไหวทรงตัวก่อนการเปิดเผยบันทึกการประชุมเฟด (Fed Minutes) และตัวเลขการจ้างงาน ซึ่งอาจมีผลต่อความคาดหวังการลดดอกเบี้ย และกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะสั้น
จากมุมมองการเทรด นักวิเคราะห์จำนวนมากระบุว่า บริเวณ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นโซนแนวรับเชิงจิตวิทยาและเชิงเทคนิค ขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ในกรอบ 4,200–4,300 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่โมเมนตัมขาขึ้นเริ่มชะลอตัว สำหรับนักเทรดระยะสั้น การวิเคราะห์กราฟอินเทรเดย์ยังคงเน้นแนวรับ–แนวต้านหลักตามปกติ เพื่อวางแผนจุดเข้าออก (entry/exit) ให้มีประสิทธิภาพ
| ระดับ | บทบาท | ความคิดเห็น |
|---|---|---|
| 3,900–4,000 ดอลลาร์ | แนวรับระยะสั้น | ตลาดมักพบแรงซื้อกลับในช่วงนี้ |
| 4,200 ดอลลาร์ | แนวต้านระยะใกล้ | ขาขึ้นมักถูกท้าทายบริเวณนี้ |
| 4,500+ ดอลลาร์ | แนวต้านแข็งแรง / โซนโมเมนตัม | ต้องการปัจจัยมหภาคหนุน เช่น ดอลลาร์อ่อนลง หรือสัญญาณลดดอกเบี้ยที่ชัดเจน |
จากมุมมองเชิงเทคนิค หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและท่าทีของเฟดมีน้ำหนักไปในทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น ตลาดอาจเห็นการฟื้นตัวเพื่อทดสอบกรอบ 4,200–4,300 ดอลลาร์ อีกครั้ง
ในทางกลับกัน หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่งเกินคาด หรือเฟดมีท่าทีเข้มงวดกว่าที่ตลาดประเมิน อาจกดดันให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงกลับไปแถว 3,900 ดอลลาร์
กองทุน ETF และกระแสเงินลงทุนจากรายย่อยยังคงเป็นช่องทางอุปสงค์สำคัญของทองคำในปี 2025 หลายสถาบันได้ปรับคาดการณ์ราคาเพื่อสะท้อนปัจจัยเชิงโครงสร้างที่แข็งแกร่งดังกล่าว
UBS ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำปลายปี 2025 ตั้งแต่ช่วงต้นปี และแนะนำให้จัดสรรทองคำในพอร์ตในสัดส่วนปานกลาง
Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นสูงกว่านี้มากในปี 2026 โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการกระจายสินทรัพย์และอุปสงค์ทองคำจริงที่ยังแข็งแกร่ง
ความแตกต่างของประมาณการเหล่านี้สะท้อนว่า แม้ปัจจัยพื้นฐานจะเอื้อต่อทองคำ แต่เส้นทางราคายังขึ้นอยู่กับเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่คาดไม่ถึงในอนาคต
| สถาบัน | ราคาเป้าหมาย / ระยะเวลา | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| Goldman Sachs | 4,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในปลายปี 2026 | อิงสมมติฐานว่าธนาคารกลางยังเข้าซื้อ และนักลงทุนยังคงกระจายพอร์ตสู่ทองคำ |
| UBS | 3,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในปลายปี 2025 | ปรับเพิ่มประมาณการช่วงต้นปี 2025 จากกระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF และแรงซื้อจากธนาคารกลาง |
| มุมมองตลาดโดยรวม (ระยะสั้น) | แกว่งตัวใกล้ระดับ 4,000 ดอลลาร์ | ผันผวนตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและทิศทางค่าเงินดอลลาร์ |
ราคาทองคำในช่วงปลายปี 2025 อยู่บนฐานที่แข็งแกร่งจากปัจจัยโครงสร้าง โดยเฉพาะแรงซื้อทองคำในระดับสูงผิดปกติจากธนาคารกลาง และความสนใจที่ยังคงมีอยู่จากนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ทิศทางระยะสั้นยังเป็นผลโดยตรงจากค่าเงินดอลลาร์ และความคาดหวังต่อนโยบายดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับนักลงทุนระยะยาว ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์สำหรับกระจายความเสี่ยงในพอร์ต และทำหน้าที่เป็นประกันภัยต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก ส่วนนักเทรดระยะสั้น ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ถ้อยแถลงของเฟด และสัญญาณอุปสงค์ทองคำเชิงกายภาพอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดจังหวะการเข้าออกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ราคาทองคำตอบสนองแรงต่อการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดลงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจะลดลง ทำให้การถือทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้น ในทางกลับกัน ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกผลอย่างทองคำ จึงเป็นแรงกดดันต่อราคา
การซื้อทองคำของธนาคารกลางช่วยดูดซับปริมาณทองคำจริงจำนวนมากออกจากตลาด ทำให้สภาพอุปทานตึงตัวขึ้น ความต้องการที่มีเสถียรภาพนี้ช่วยสร้างระดับราคาพื้นฐานที่สูงขึ้น และสามารถพยุงราคาทองคำไม่ให้ปรับลงแรงในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนหรือค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า
เนื่องจากราคาทองคำทั่วโลกอ้างอิงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์แข็งค่า ทองคำจะแพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ส่งผลให้ความต้องการลดลงและราคามักปรับตัวลง ในทางกลับกัน การอ่อนค่าของดอลลาร์มักช่วยหนุนความต้องการซื้อทองคำและดันราคาให้สูงขึ้น
นักเทรดมักเฝ้าดูแนวรับโซน 3,900–4,000 ดอลลาร์ และแนวต้านบริเวณ 4,200–4,300 ดอลลาร์ การทะลุขึ้นหรือลงจากโซนเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม โดยเฉพาะเมื่อมีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ถ้อยแถลงของเฟด หรือการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตร
นักวิเคราะห์คาดว่าราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง และแนวโน้มการกระจายพอร์ตโครงสร้าง อย่างไรก็ตาม ความผันผวนระยะสั้นยังขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ และความคาดหวังต่อนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ