เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-12
ขณะที่โลกเร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างเงียบ ๆ ว่า “เรื่องราวของน้ำมันยังไม่จบลง”
ในรายงาน World Energy Outlook 2025 ฉบับล่าสุด IEA ได้ปรับคาดการณ์ระยะยาว โดยระบุว่าภายใต้นโยบายปัจจุบัน ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกอาจยังคงเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงช่วงทศวรรษ 2030 และภายในปี 2035 ราคาน้ำมันดิบอาจทรงตัวอยู่ที่ราว 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ระดับราคาที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอดีตไปแล้ว
สำหรับผู้กำหนดนโยบาย นี่คือสัญญาณสะท้อนถึง “ความซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ส่วนสำหรับนักลงทุน มันคือ “บททดสอบ” ว่าโลกยังพึ่งพาน้ำมันมากเพียงใดในการขับเคลื่อนความฝันและความทะเยอทะยานของมนุษยชาติ

IEA ได้วางภาพอนาคตไว้หลายแนวทางที่เป็นไปได้
ภายใต้สถานการณ์นโยบายปัจจุบัน (Current Policies Scenario: CPS) ซึ่งสมมติว่านโยบายและกฎระเบียบด้านพลังงานยังคงเหมือนเดิม และมีมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศใหม่เพียงเล็กน้อย ความต้องการใช้น้ำมันอาจเพิ่มขึ้นถึง 105 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2035 และอาจแตะ 113 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2050
ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าปี 2024 ราว 13% สะท้อนถึงการเติบโตของประชากรอย่างต่อเนื่องและความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
ส่วนในสถานการณ์นโยบายที่ประกาศไว้ (Stated Policies Scenario: STEPS) ซึ่งคำนึงถึงพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลทั่วโลก ความต้องการน้ำมันทั่วโลกคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดราวปี 2029–2030 ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงเหลือประมาณ 100 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2035
ถึงอย่างนั้น ทั้งสองแนวทางต่างสะท้อน “ความจริงเดียวกัน” โลกยังคงพึ่งพาน้ำมันอย่างลึกซึ้งในโครงสร้างเศรษฐกิจและพลังงานของมนุษย์.
แล้วโลกจะไปถึงจุดที่ “น้ำมันราคา 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล” ได้อย่างไร?
IEA อธิบายว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกันซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับสูง ได้แก่
หากความต้องการใช้น้ำมันยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนในภาคต้นน้ำไม่ทันตาม การผลิตอาจตึงตัวและทำให้ตลาดเผชิญแรงกดดันด้านอุปทาน
ผู้ผลิตน้ำมันจำนวนมากได้ปรับลดงบประมาณการสำรวจระยะยาว ภายใต้แรงกดดันจากกระแส ESG และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
IEA ประเมินว่าจำเป็นต้องมีกำลังการผลิตใหม่กว่า 25 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2035 เพื่อรักษาสมดุลของตลาดพลังงาน
น้ำมันยังคงเป็น “สินค้ากลยุทธ์ระดับโลก” ความไม่สงบในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ หรือรัสเซีย ไม่ว่าจะมาจากมาตรการคว่ำบาตร การลดกำลังการผลิต หรือความขัดแย้งทางทหาร ล้วนสามารถพลิกสมดุลอุปสงค์และอุปทานได้ทันที
ภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบางเช่นนี้หมายความว่า ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจดำเนินต่อไปอีกนานในทศวรรษหน้า
แม้พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ระบบพลังงานน้ำมันของโลกไม่สามารถถูกแทนที่ได้ง่าย
หากการใช้เทคโนโลยีสะอาดล่าช้า หรือหากต้นทุนการสกัดน้ำมันเพิ่มขึ้นจากแหล่งผลิตที่เสื่อมสภาพและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (marginal cost) อาจดัน “ราคาพื้นฐาน” ของน้ำมันให้อยู่ในช่วง 80–90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กล่าวอีกอย่างคือ “เส้นทางสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” อาจย้อนแย้งด้วยการทำให้น้ำมันแพงขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ เลือนหายไป
IEA ย้ำว่าฉากทัศน์เหล่านี้ไม่ใช่การคาดการณ์แน่ชัด แต่เป็นแนวโน้มที่ควรพิจารณา
สำหรับนักลงทุน หากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน หุ้นพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์อาจกลับมามีบทบาทสำคัญในพอร์ตการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง แม้จะต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงขึ้น
ในทางกลับกัน หากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ราคาน้ำมันฟอสซิลอาจถูกจำกัด และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการคว้าโอกาสในระยะสั้น และการบริหารความเสี่ยงในระยะยาว ท่ามกลางโลกพลังงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยังมีข้อควรระวังหลายประการที่ต้องตระหนัก:
สถานการณ์ ไม่ใช่ความแน่นอน : IEA กำลังวางแผนภาพความเป็นไปได้ ไม่ใช่การการันตีผลลัพธ์ที่แน่ชัด
ความยืดหยุ่นของความต้องการ : หากพลังงานหมุนเวียนถูกนำมาใช้เร็วขึ้น หรือประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้น ความต้องการน้ำมันอาจลดลงเร็วกว่าที่คาด
ความประหลาดใจด้านอุปทาน : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ อาจเพิ่มการผลิตและลดแรงกดดันต่อราคา
ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค : เงินเฟ้อ การเปลี่ยนนโยบาย หรือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาจทำให้แนวโน้มราคากลับตัวได้
โดยสรุปแล้ว น้ำมันราคา 90 ดอลลาร์ภายในปี 2035 เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
ผลการศึกษาล่าสุดของ IEA ไม่ได้เป็นเพียง “การคาดการณ์” แต่เป็น “ภาพสะท้อน” ของความตึงเครียดระหว่างความทะเยอทะยานกับการพึ่งพา การเปลี่ยนผ่านกับแรงเฉื่อย
ราคาน้ำมันที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่ควรถูกมองว่าเป็น “ลางร้าย” แต่เป็น “การเตือนใจ” ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะเต็มไปด้วยความซับซ้อนและไม่ได้ดำเนินไปอย่างเป็นเส้นตรง แม้กังหันลมจะผุดขึ้นและรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี แต่โลกก็ยังต้องใช้น้ำมันนับล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ให้ความร้อนในบ้าน และหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจโลก
ข้อคิดสำคัญคืออะไร?
“การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ไม่ได้หมายถึงการแทนน้ำมันเพียงอย่างเดียว แต่คือการบริหาร “การจากลาอย่างยาวนาน” ของน้ำมัน
ภายใต้ “สถานการณ์นโยบายปัจจุบัน (Current Policies Scenario)” ความต้องการน้ำมันทั่วโลกอาจแตะประมาณ 105 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2035 ก่อนจะทรงตัว
ไม่แน่นอน ตัวเลขนี้เป็นเพียงฉากทัศน์หนึ่ง ที่ความต้องการสูงเกิดขึ้นพร้อมกับการเติบโตของอุปทานที่ไม่เพียงพอ ไม่ใช่การทำนายที่ตายตัว
การใช้พลังงานสะอาดที่รวดเร็วขึ้น มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานที่เข้มงวดขึ้น หรือการค้นพบแหล่งผลิตใหม่ที่ไม่คาดคิด ล้วนสามารถช่วยให้ราคาน้ำมันทรงตัวหรือลดลงได้
ฉากทัศน์ของ IEA เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อสำรวจอนาคตที่เป็นไปได้ ไม่ใช่การพยากรณ์ตัวเลขที่แน่นอนหรือคงที่
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ