เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-30
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันพุธที่ 29 ตุลาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์อยู่ในช่วง 3.75%-4.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2022
อย่างไรก็ตาม คำแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล หลังการประชุม สร้างความไม่แน่ชัดว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 17–18 ธันวาคมหรือไม่
พาวเวลระบุว่า เจ้าหน้าที่ “กำลังตัดสินใจโดยมีข้อมูลจำกัด” และอาจจำเป็นต้อง “พักการลดดอกเบี้ย” เพื่อประเมินข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม ตลาดจึงปรับความคาดหวังทันที โดยเทรดเดอร์ประเมินโอกาสการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมเหลือเพียง 45% จากเดิม 75% ก่อนการแถลง
น้ำเสียงที่ระมัดระวังมากขึ้นนี้ถือเป็นการเปลี่ยนทิศจากการลดดอกเบี้ยแรง 0.50% ในเดือนกันยายน บ่งชี้ว่ารอบการผ่อนคลายนโยบายของเฟดอาจใกล้สิ้นสุดลงแล้ว

คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติปรับลดกรอบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น (Federal Funds Rate) ลงสู่ระดับ 3.75%-4.00% ซึ่งนับเป็นการลดครั้งที่สองติดต่อกัน หลังจากที่เดือนกันยายนมีการลดแรงถึง 0.50%
| ตัวชี้วัด | ก่อนหน้า | ปัจจุบัน | การเปลี่ยนแปลง |
|---|---|---|---|
| อัตราเงินกองกลาง (Federal funds rate) | 4.00%–4.25% | 3.75%–4.00% | -0.25% |
| อัตราส่วนลด (Discount rate) | 4.50% | 4.25% | -0.25% |
| ยอดรวมการลดดอกเบี้ยปี 2025 | 75 จุด | 100 จุด | รวม ก.ย. + ต.ค. |
| อัตราสูงสุด (ก.ค. 2023) | 5.25%–5.50% | - | ลดลงรวม 1.50% |
แถลงการณ์ของ FOMC ระบุว่า คณะกรรมการจะ “ประเมินข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเพิ่มเติม” ซึ่งถือเป็นถ้อยคำที่มักบ่งชี้ถึง แนวโน้ม “พักการเปลี่ยนนโยบาย” ชั่วคราว ในการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ มีสมาชิก 2 คนไม่เห็นด้วย ได้แก่ Stephen Miran ต้องการลดแรง 0.50% ขณะที่ Jeffrey Schmid ต้องการ “คงอัตราดอกเบี้ย” ไว้เดิม สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่เริ่มแตกแยกภายในคณะกรรมการเฟด
ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) กล่าวในงานแถลงข่าวว่า เฟดได้ “บรรลุความคืบหน้าครั้งสำคัญ” ในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุด 9.1% เหลือประมาณ 2.7% แต่ยังต้องการ “หลักฐานเพิ่มเติม” ว่าเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนไหวสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ก่อนจะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยต่อ
นอกจากนี้ เฟดยังประกาศว่าจะยุติโครงการลดงบดุล (Quantitative Tightening) ในวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นการยุติมาตรการดูดสภาพคล่องที่เริ่มตั้งแต่กลางปี 2022
คำแถลงของพาวเวลครั้งนี้สะท้อน “น้ำเสียงระมัดระวัง” มากขึ้น และสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางการตัดสินใจในการประชุมเดือนธันวาคม
“เราไม่รีบที่จะปรับนโยบายเพิ่มเติมในตอนนี้” พาวเวลอธิบายว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งพอ ทำให้เฟดสามารถดำเนินการอย่างระมัดระวังได้ เขาชี้ถึง 3 ปัจจัยหลัก ที่ทำให้การตัดสินใจเดือนธันวาคมซับซ้อนขึ้น ได้แก่
ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน: ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดเริ่มอ่อนตัว แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการชะลอตัวจริงหรือเพียงผลชั่วคราวจากพายุและการนัดหยุดงาน
ความคงอยู่ของอัตราเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่เหนือเป้าหมาย โดยเฉพาะในภาคบริการที่ราคายังเหนียวแน่น
ความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง: นโยบายภาษีและการย้ายถิ่นของรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามาอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
พาวเวลยอมรับว่า “เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าแรงกดดันเงินเฟ้อที่เหลือจะคงอยู่นานแค่ไหน” ซึ่งถือเป็นน้ำเสียงที่แตกต่างจากเดือนกันยายนที่เฟดยังมั่นใจว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
การประชุมเดือนตุลาคมเผยให้เห็น การแบ่งขั้วภายในคณะกรรมการเฟด (FOMC) Stephen Miran ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลทรัมป์ เห็นว่าควร “ลดแรง 0.50%” เพื่อรับมือการอ่อนตัวของตลาดแรงงาน ในทางกลับกัน Jeffrey Schmid กลับเห็นว่าควร “คงอัตราไว้” เพราะการลดต่อเนื่องอาจกระตุ้นเงินเฟ้ออีกครั้ง
กลุ่ม “สายเหยี่ยว (Hawkish)” อย่าง Beth Hammack (เฟดคลีฟแลนด์) และ Jeffrey Schmid (เฟดแคนซัสซิตี้) สนับสนุนการ “พัก” เพื่อประเมินข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ “สายพิราบ (Dovish)” อย่าง Austan Goolsbee (เฟดชิคาโก) ยังผลักดันให้ลดดอกเบี้ยต่อ โดยให้เหตุผลว่า ความเสี่ยงจากการว่างงานที่สูงขึ้นควรได้รับการพิจารณา การถกเถียงเหล่านี้คาดว่าจะร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งอาจเป็นจุดชี้ชะตาทิศทางนโยบายของเฟดในปี 2026
ตลาดการเงินทั่วโลกตอบสนองทันทีต่อท่าทีที่ “เข้มงวด” ขึ้นของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล โดยนักลงทุนเร่งปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในระยะสั้น
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี: อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นจาก 4.28% เป็น 4.32% หลังความคาดหวังการลดดอกเบี้ยลดลง
พันธบัตรอายุ 2 ปี: เพิ่มขึ้นแตะ 4.18% ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนระยะสั้นและยาวเริ่ม “ชันขึ้น” เล็กน้อย
ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index): แข็งค่าขึ้น 0.4% เนื่องจากตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่คาดไว้
ทองคำ: ร่วงลง 1.2% เพราะความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงและดอลลาร์แข็งค่า
ตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองแบบผสม โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงจากความกังวลว่า ต้นทุนการกู้ยืมจะยังอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาด ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.3% ในการซื้อขายนอกเวลาหลังการแถลงข่าวของพาวเวล
ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี/10 ปี ขยายตัวเป็น +14 จุดพื้นฐาน ห่างออกจากภาวะ “กลับหัว” (Inversion) การชันขึ้นของเส้นผลตอบแทนนี้มักบ่งชี้ว่าตลาดคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะสั้น แต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดการขยายตัวของมูลค่าหุ้น (Valuation)
นักเศรษฐศาสตร์ได้ปรับลดคาดการณ์ลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เฟดส่งสัญญาณอย่างระมัดระวัง ปัจจุบันGoldman Sachs ลดความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเหลือ 40% จากเดิม 60%% ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank of America คาดว่าเฟดจะ “พักการลดดอกเบี้ย” จนถึงเดือนมีนาคม 2026
แม้การประชุมเดือนตุลาคมจะไม่มีการเผย “ประมาณการเศรษฐกิจรายไตรมาส” (Dot Plot) ใหม่ แต่ข้อมูลจากรอบเดือนกันยายนยังคงเป็นแนวอ้างอิงสำคัญสำหรับทิศทางในปีถัดไป
| ปี | ค่ากลาง | ช่วงคาดการณ์ | รายละเอียดสำคัญ |
|---|---|---|---|
| สิ้นปี 2025 | 3.50%–3.75% | 2.75%–4.25% | สมาชิก 9 คนอยู่ที่ค่ากลาง, 6 คนคาดสูงกว่า |
| สิ้นปี 2026 | 3.25%–3.50% | 2.50%–4.00% | คาดลดเพิ่มอีก 0.25% |
| สิ้นปี 2027 | 3.00%–3.25% | 2.25%–3.75% | เข้าใกล้อัตราดอกเบี้ย “สมดุล” |
| ระยะยาว | 3.00% | 2.50%–3.50% | ประมาณการอัตราดอกเบี้ยระยะยาว |
ประมาณการเดือนกันยายนชี้ว่า เฟดคาดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2025 ซึ่งขณะนี้ได้ลดไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 3.50%-3.75% ภายในสิ้นปี อย่างไรก็ตาม การแถลงของพาวเวลในเดือนตุลาคมส่งสัญญาณว่า การลดครั้งที่สองในเดือนธันวาคมอาจไม่เกิดขึ้นแน่นอนแล้ว
ที่น่าสนใจคือ Dot Plot แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างอย่างชัดเจนภายในคณะกรรมการ FOMC สมาชิก 6 คน คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2025 จะอยู่ที่ 4.00%-4.25% แปลว่าไม่สนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สมาชิก 9 คน คาดที่ระดับ “ค่ากลาง” 3.50%-3.75% อีก 1 คน ซึ่งคาดว่าเป็น Stephen Miran ประเมินต่ำสุดที่ 2.75%-3.00%
ความแตกต่างที่กว้างนี้สะท้อนถึงการถกเถียงภายในเฟดเกี่ยวกับจุดสมดุลของนโยบายการเงิน กลุ่ม “สายเหยี่ยว” (Hawks) มองว่าระดับ 3.75%-4.00% เพียงพอแล้วสำหรับเศรษฐกิจที่ยังแข็งแรง ส่วนกลุ่ม “สายพิราบ” (Doves) เชื่อว่าการชะลอตัวของตลาดแรงงานต้องการ “ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม” เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการว่างงาน
เฟดจะได้รับข้อมูลสำคัญสองชุดก่อนการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยตัดสินใจหลักในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ย
รายงานเดือนตุลาคมระบุว่า มีการจ้างงานเพิ่มเพียง 12,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) ประเมินว่า พายุเฮอริเคนเฮลีนและมิลตัน ทำให้ตัวเลขการจ้างงานลดลงชั่วคราวประมาณ 100,000 ตำแหน่ง
รายงานเดือนพฤศจิกายนจะเผยให้เห็นว่า ความอ่อนแอในเดือนตุลาคมเป็นเพียงผลชั่วคราวจากสภาพอากาศ หรือเป็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานจริง นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ตัวเลขการจ้างงานจะ ฟื้นกลับมาที่ 180,000–200,000 ตำแหน่ง หลังผลกระทบจากพายุคลี่คลายและแรงงานที่เคยหยุดงานกลับเข้าสู่ตลาด
อัตราการว่างงานจะถูกจับตาเป็นพิเศษ โดยระดับ 4.1% ในเดือนตุลาคม ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่หากเพิ่มขึ้นแตะ 4.5% จะยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะประกาศก่อนการประชุมเฟดเพียง 6 วัน จะเป็นข้อมูลสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจของคณะกรรมการ ในเดือนกันยายน Core CPI อยู่ที่ 3.3% ต่อปี ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด
ค่าเช่าที่อยู่อาศัย (Shelter/Housing): เพิ่มขึ้น 4.9% ต่อปี คิดเป็นแรงผลักดันต่อ Core CPI ประมาณ 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์
บริการนอกภาคที่อยู่อาศัย (Services ex-Shelter): เพิ่มขึ้น ราว 3.8% โดยเฉพาะจาก ค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทาง
สินค้า (Goods Inflation): แทบไม่เพิ่มขึ้นหรือติดลบเล็กน้อย จึงไม่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติม
ค่าแรง (Wage Growth): เพิ่มขึ้น 4.0% ต่อปี สูงกว่าการเติบโตของผลิตภาพ จึงเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนภาคบริการ
เจ้าหน้าที่เฟดต้องการเห็นเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงสู่ระดับใกล้ 2.5% หรือต่ำกว่า ก่อนจะตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากข้อมูลเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ก็แทบจะ “การันตี” ได้ว่าเฟดจะ “พักการลดดอกเบี้ย” ในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นทุนที่อยู่อาศัย ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของตะกร้า CPI ยังคงชะลอตัวได้ช้าและเป็นจุดกังวลหลักของเฟดในขณะนี้
การเข้ามาของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะเดียวกัน การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ก็เป็นบริบทสำคัญที่เฟดต้องพิจารณาประกอบ
ว่าที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ ประกาศแผนการขึ้นภาษีนำเข้าในสเกลใหญ่ โดยเสนอให้เรียกเก็บ ภาษี 10–20% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด และภาษีสูงถึง 60% สำหรับสินค้าจากจีน จากหลักฐานทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2018–2019 พบว่า มาตรการภาษีลักษณะนี้มีแนวโน้มทำให้ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นราว 0.5–1.0 จุดเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งเป็นลักษณะของภาวะ “stagflation” (เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจอ่อนแรง) ที่สร้างความซับซ้อนต่อการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด
ในช่วงปี 2018–2019 นั้น เฟดเลือกที่จะ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ช่วงแรก ก่อนจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในภายหลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้น อัตราเงินเฟ้ออยู่เพียง 2.0–2.3% ในขณะที่ปัจจุบัน เริ่มจากระดับฐานที่สูงกว่า คือราว 2.7% ความแตกต่างนี้หมายความว่า เฟดในตอนนี้มีพื้นที่จำกัดในการลดดอกเบี้ย หากมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมอ่อนแรงลง
ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่คาดเดา ไม่คาดการณ์ล่วงหน้า และไม่สมมติ” โดยเฟดจะรอให้มีการประกาศใช้นโยบายอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะนำมารวมในการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของตน
| ธนาคารกลาง | อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน | การดำเนินการล่าสุด | แนวโน้มครั้งต่อไป |
|---|---|---|---|
| ธนาคารกลางสหรัฐฯ | 3.75%–4.00% | ลด 0.25% (29 ต.ค.) | มีแนวโน้ม “พัก” ธ.ค. |
| ธนาคารกลางยุโรป | 3.25% | ลด 0.25% (17 ต.ค.) | มีแนวโน้มลดต่อ ธ.ค. |
| ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ | 4.75% | คงดอกเบี้ย (7 พ.ย.) | คาดว่าจะคงต่อถึงไตรมาส 1 |
| ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น | 0.50% | คงดอกเบี้ย (31 ต.ค.) | คาดว่าจะคงยาวนาน |
| ธนาคารกลางแคนาดา | 3.75% | ลด 0.50% (23 ต.ค.) | คาดว่าจะลดต่อ ธ.ค. |
จุดยืนระมัดระวังของเฟดแตกต่างจาก ECB และ BoC ที่เร่งผ่อนคลายนโยบายมากกว่า เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปและแคนาดาอ่อนแอกว่าสหรัฐ การแตกต่างของนโยบายนี้ (policy divergence) สนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อผู้ส่งออกสหรัฐ
กรณีในช่วงปี 1995–1996 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดกับสถานการณ์ปัจจุบันในปี 2025 ขณะนั้น ประธานเฟด อลัน กรีนสแปน (Alan Greenspan) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ๆ ละ 0.25% เพื่อเป็น “มาตรการป้องกันล่วงหน้า” (insurance cuts) ต่อความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ก่อนที่เฟดจะ “หยุดพักการลดดอกเบี้ย” เมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภายหลังจากนั้น เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องอีก 4 ปีเต็ม โดยไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม
ทั้งสองช่วงเป็นภาวะ “soft landing” ที่เศรษฐกิจชะลออย่างนุ่มนวล โดยอัตราเงินเฟ้อลดลงใกล้ระดับเป้าหมายของเฟด มีการลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย (75–100 จุดพื้นฐาน) ไม่ใช่การลดอย่างรุนแรง ตลาดแรงงานแข็งแกร่งแม้เงินเฟ้ออยู่ในขาลง เศรษฐกิจได้รับแรงหนุนจากการเติบโตด้านเทคโนโลยีและผลิตภาพแรงงาน (productivity boom)
ตลาดแรงงานปัจจุบันแข็งแกร่งกว่าในอดีต (อัตราว่างงาน 4.1% เทียบกับ 5.6% ในปี 1995) เงินเฟ้อปัจจุบันเริ่มจากฐานที่สูงกว่า (2.7% เทียบกับ 2.0%) นโยบายการคลังในปัจจุบันขยายตัวมากกว่ามีการขาดดุลงบประมาณสูง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในปัจจุบันมากกว่าอย่างชัดเจน
ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ได้กล่าวอ้างถึง “แนวทางปี 1995–1996” ในหลายสุนทรพจน์ล่าสุด ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดในปัจจุบันอาจเลือกใช้แนวทางเดียวกัน คือ ลดดอกเบี้ยในระดับจำกัด แล้ว “หยุดพัก” เพื่อประเมินผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ก่อนดำเนินนโยบายรอบใหม่

หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจ “พัก” การลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ผลกระทบที่ตามมาจะมีนัยสำคัญต่อตลาดเงินตราระหว่างประเทศ และกลยุทธ์ในตลาดตราสารหนี้ (พันธบัตร)
USD/JPY หากเฟดคงดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.50% ส่วนต่างดอกเบี้ยจะกว้างขึ้นเป็นประมาณ 325 จุดพื้นฐาน (bp) ซึ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าและอาจดันคู่เงิน USD/JPY ขึ้นสู่ระดับ 155–157 ปัจจัยนี้เอื้อต่อการทำกำไรจากกลยุทธ์ Carry Trade ที่นักลงทุนกู้เงินเยนต้นทุนต่ำเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ดอลลาร์
EUR/USD คู่เงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.05–1.06 เนื่องจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ ขณะที่เฟด “พัก” ซึ่งจะขยายส่วนต่างดอกเบี้ยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นราว 50 จุดพื้นฐาน ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของยุโรปยังเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรเพิ่มเติม
GBP/USD คู่เงินนี้อาจได้รับแรงพยุงที่บริเวณ 1.28–1.29 เนื่องจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ยังคงท่าทีเข้มงวด (hawkish hold) ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรยังอยู่ในระดับสูงกว่ายุโรป แม้ยังต่ำกว่าสหรัฐ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลน่าจะทรงตัวหรือปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย หากเฟด “พัก” การลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยพันธบัตรอายุ 10 ปีจะมีแนวรับที่บริเวณ 4.25–4.35% นั่นสะท้อนว่าตลาดกำลัง “ปรับสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย” (Terminal Rate) ขึ้น จากเดิม 3.25% ไปสู่ช่วง 3.50%–3.75%
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอาจขยายเพิ่มขึ้นราว 10–15 จุดพื้นฐาน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงนานกว่าคาดกดดันผู้กู้ที่มีภาระหนี้สูง โดยเฉพาะกลุ่ม พันธบัตรเกรดต่ำ (High-Yield Bonds) ที่อ่อนไหวต่อภาระดอกเบี้ย
พันธบัตรเทศบาลอาจให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล (Outperform Treasuries) หากรัฐบาลทรัมป์เดินหน้า “ปฏิรูปภาษี” ซึ่งจะเพิ่มความต้องการพันธบัตรปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องอุปทาน (supply concerns) อาจจำกัดประโยชน์ในระยะสั้น
การที่ตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (Terminal Rate) จะอยู่ในระดับสูงขึ้น จะสร้างแรงกดดันต่อมูลค่าหุ้น (Valuation) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น เทคโนโลยี (Technology) และสาธารณสุข (Healthcare) หากอัตราคิดลด (Discount Rate) เพิ่มขึ้น 25 จุดพื้นฐาน จะส่งผลให้มูลค่ายุติธรรม (Fair Value) ของดัชนี Nasdaq 100 ลดลงประมาณ 3–4% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดอาจเข้าสู่ช่วงปรับฐานระยะสั้นภายใต้สภาวะ “ดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่คาด”
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ