เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-15
หลังจากผ่าน Event สำคัญช่วงปลายปี 2025 โดยเฉพาะการประชุม FOMC ในเดือนธันวาคม ที่ Fed ลดดอกเบี้ยลงมาที่ 3.50%-3.75% และประกาศแผนเข้าซื้อ Treasury Bills เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามอง
สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นเป็นสัดส่วนหลักในพอร์ต การกระจายความเสี่ยงและมองหาโอกาสใหม่ในปี 2026 จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี Valuation ที่ตึงตัวมาก ดัชนี S&P 500 (ณ 11 ธ.ค. 2025) ซื้อขายที่ Forward P/E 25.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 19.5 เท่าอย่างชัดเจน
ในไตรมาส 4Q25 เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนของการกระจายตัวของผลตอบแทนในตลาดหุ้นทั่วโลก กระแสเงินลงทุนไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อีกต่อไป แต่เริ่มไหลเข้าสู่:
• กลุ่ม Healthcare (Defensive) ในสหรัฐฯ มีผลตอบแทนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
• หุ้นกลุ่ม Value ในยุโรปและญี่ปุ่นทำผลงานได้ดีกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง
• ตลาดหุ้นที่มี Valuation ถูกกว่าและมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
จากระดับ Valuation ของหุ้นสหรัฐฯ ที่ตึงตัว เราจึงเห็นเม็ดเงินบางส่วนหมุนไปยังภูมิภาคที่เศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนกำลังเติบโต พร้อมปัจจัยกดดันที่คลี่คลายลง และที่สำคัญคือมีมูลค่าที่ถูกกว่าในเชิงเปรียบเทียบ
Expert Insight: "ตลาดหุ้นยุโรปมีโอกาสสูงที่จะเป็นจุดหมายสำคัญ หากเกิดกระแสการ Rotation ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมี Valuation ที่น่าสนใจและปัจจัยพื้นฐานที่กำลังฟื้นตัว"
ประธานาธิบดีเซเลนสกีเปิดเผยว่า ยูเครนกำลังสรุปข้อเสนอ 20 ข้อที่จัดทำร่วมกับสหรัฐฯ และผู้นำยุโรป แม้ยังมีประเด็นหลักที่ต้องเจรจาต่อ เช่น สถานะของพื้นที่ที่รัสเซียยึดครองและหลักประกันความมั่นคงในอนาคต แต่นี่ถือเป็นพัฒนาการสำคัญที่อาจนำไปสู่การยุติความขัดแย้ง
การคลี่คลายของสงครามจะช่วยลดความไม่แน่นอนด้านพลังงานและเสริมความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นอย่างมาก
เยอรมนีประกาศมาตรการการคลังมูลค่า 524.5 พันล้านยูโร ครอบคลุม:
• การลงทุนกลาโหม
• โครงสร้างพื้นฐาน
• สวัสดิการสังคม
• มาตรการลดภาษี
ที่สำคัญคือ กองทุนพิเศษด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลาโหมจะไม่ถูกนับในกฎ Debt Brake ที่จำกัดการกู้เงินไว้ที่ 0.35% ของ GDP ทำให้เยอรมนีมีพื้นที่การคลังเพิ่มเติมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
มาตรการนี้ยังคาดว่าจะส่งผลบวกต่อประเทศยุโรปกลางและตะวันออกที่มีห่วงโซ่อุปทานกับเยอรมนี เช่น ออสเตรีย เช็กเกีย ฮังการี โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย
ข้อมูลจาก S&P Global (ณ 24 พ.ย. 2025) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2021 ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีส่วนช่วยเพิ่ม Gross Value Added ให้กับเศรษฐกิจยูโรโซนเฉลี่ย 0.4% ต่อปี
ในปี 2025 การลงทุนด้าน ICT เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น:
• ยูโรโซนลงทุนกว่า 100,000 ล้านยูโร
• สหราชอาณาจักรลงทุนเพิ่มอีก 20,000 ล้านยูโร
• ประเทศใหญ่ในยุโรปต่างเร่งลงทุนด้าน AI และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
แม้เศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัว แต่มีความกังวลน้อยที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวจน ECB ต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในปี 2026 เพราะว่า:
• อัตราค่าแรงมีแนวโน้มชะลอตามตลาดแรงงานที่อ่อนตัว
• ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนที่ยังหดตัวต่อเนื่องส่งผลต่อยุโรป
• ยุโรปนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 20% ของการนำเข้าทั้งหมด ช่วยกดดันเงินเฟ้อ
สภาพแวดล้อมที่ดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดหุ้น
ข้อมูลจาก Bloomberg (11 ธ.ค. 2025) เผยว่า:
• ไตรมาส 3Q25: กำไรดัชนี STOXX600 เติบโต 6.9% YoY สูงกว่าคาดที่ 3.35% YoY
• ปี 2025: คาดกำไรโต 0.32% YoY
• ปี 2026: คาดกำไรเร่งตัวขึ้นสู่ 9.6% YoY จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและค่าเงินยูโรที่เสถียร
สำหรับ Valuation ดัชนี STOXX600 (ณ 11 ธ.ค. 2025) ซื้อขายที่ Forward P/E 16.3 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะ 10 ปีที่ 15.6 เท่า และถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างชัดเจน หากกำไรฟื้นตัวดีกว่าคาด ก็มีโอกาสเห็นการ Re-rate P/E ในระยะถัดไป
กลุ่ม Utilities ในยุโรปได้รับแรงหนุนพร้อมกันจากหลายปัจจัย:
• ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก Data Centers และการใช้งาน AI
• การขยายโครงสร่างพื้นฐานพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าสามารถรักษาระดับราคาขายไฟฟ้าได้ดี
• ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดมั่นคง
• อัตราการจ่ายเงินปันผลสูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ
เศรษฐกิจยุโรปที่ฟื้นตัวประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ:
• รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น
• ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) เริ่มทรงตัว
• รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income) คาดเติบโตต่อเนื่อง จากตลาดทุนและรายได้ประกันที่สูงขึ้น
• CET1 Ratio แข็งแรง (เฉลี่ย 14.9% ในปี 2025) ทำให้มีความยืดหยุ่นในการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืน
• รัสเซียกลายเป็นภัยคุกคามระยะยาว แม้สงครามอาจยุติลง
• สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ผลักดันให้ยุโรปรับผิดชอบด้านความมั่นคงมากขึ้น
• European Defense Industrial Strategy (EDIS) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจากผู้ผลิตยุโรปเป็น 50% ภายในปี 2030 และ 60% ภายในปี 2035
ปัจจุบันยุโรปจัดซื้ออาวุธจากผู้ผลิตในภูมิภาคเพียง 40% แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต สร้างโอกาสใหญ่สำหรับบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศในยุโรป
สรุป: โอกาสที่ไม่ควรพลาดในปี 2026
ตลาดหุ้นยุโรปในปี 2026 มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนมากมาย ตั้งแต่สัญญาณสันติภาพจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของเยอรมนี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ไปจนถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
ประกอบกับ Valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่น และคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนที่ดี
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ Financial Group พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนคุณในทุกขั้นตอนของการลงทุน เพื่อให้คุณสามารถคว้าโอกาสในตลาดหุ้นยุโรปได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน บทความนี้สะท้อนมุมมองของ EBC Financial Group และหน่วยงานทั่วโลกของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำด้านการเงินหรือการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นทั้งหมดหรือมากกว่า โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน EBC Financial Group และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการอ้างอิงข้อมูลนี้