Order Book คืออะไร?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

Order Book คืออะไร?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-11

Order Book คือรายการแบบเรียลไทม์ของคำสั่งซื้อ (Buy) และคำสั่งขาย (Sell) ทั้งหมดที่รออยู่ในตลาดตามระดับราคาต่าง ๆ มันแสดงให้เห็นว่ามีเทรดเดอร์ต้องการซื้อที่ราคาไหน ต้องการขายที่ราคาไหน และต้องการเทรดปริมาณเท่าไร


ลองนึกถึงมันเหมือนเป็น "จังหวะการเต้นของหัวใจ" ของตลาด: ทุกการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่อง ทุกความเคลื่อนไหวของอุปสงค์–อุปทาน และทุกครั้งที่ราคาขยับ ล้วนเริ่มต้นจากภายใน Order Book โดย Order Book จึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์จริง ๆ เพราะมันเปิดเผย "ความลึก" ที่ซ่อนอยู่หลังราคา ช่วยให้ประเมินได้ว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นแข็งแรง อ่อนแรง คนแย่งเข้า (crowded) หรือมีสภาพคล่องบาง (thin) แค่ไหน


คำนิยาม

ในโลกการเทรด Order Book คือรายการคำสั่งซื้อแบบลิมิต (Limit Buy) และคำสั่งขายแบบลิมิต (Limit Sell) ที่ถูกจัดเรียงตามระดับราคาอย่างเป็นระบบ ด้านฝั่งซื้อ (Buy Side) ราคาที่เสนอซื้อสูงที่สุดจะอยู่บนสุด ส่วนฝั่งขาย (Sell Side) ราคาที่เสนอขายต่ำที่สุดจะอยู่บนสุด


ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อดีที่สุด (Best Bid) และราคาเสนอขายดีที่สุด (Best Ask) เรียกว่า สเปรด (Spread) โดย Order Book เป็นข้อมูลแบบไดนามิกที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เมื่อมีการวางคำสั่งใหม่หรือยกเลิกคำสั่งเดิม

Order Book

เทรดเดอร์จะพบ Order Book ได้ในหน้าจอ Level 2, แผง Depth of Market (DOM) และเครื่องมือแบบ Liquidity Ladder


นักเทรดความเร็วสูง (High-Frequency Traders) นักเก็งกำไร (Scalpers) และสถาบัน (Institutional Desks) มักติดตาม Order Book อย่างใกล้ชิด เพราะมันเผยให้เห็นสภาพคล่องแบบเรียลไทม์ และโครงสร้างตลาดระดับจุลภาค (Microstructure) ที่กราฟแท่งเทียนทั่วไปไม่สามารถแสดงได้


ปัจจัยที่ทำให้ Order Book เปลี่ยนไปในแต่ละวัน: ทำไมระดับราคาโผล่มาแล้วหายไป

Order Book เปลี่ยนตลอดเวลาเพราะปัจจัยต่อไปนี้:


  • ข่าวสารหรือข้อมูลทางเศรษฐกิจ: เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น เทรดเดอร์มักดึงคำสั่งออก ทำให้หนังสือคำสั่งบางลงและผันผวนขึ้น

  • ผู้ให้บริการสภาพคล่องปรับระดับ: ธนาคารและมาร์เก็ตเมคเกอร์ขยับราคาเสนอซื้อ–ขายตามความเสี่ยง สเปรด และความผันผวน

  • การวางตำแหน่งของนักลงทุนรายใหญ่: เมื่อเทรดเดอร์รายใหญ่เพิ่มหรือลบคำสั่ง จะทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่หรือคลัสเตอร์เดิมหายไป ส่งสัญญาณแรงกดดันที่อาจเกิดขึ้น

  • การเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาซื้อขาย: สภาพคล่องสูงขึ้นในช่วงลอนดอนและนิวยอร์ก และจะลดลงในช่วงที่ตลาดเงียบกว่า

  • ราคาเข้าใกล้ระดับสำคัญ: เมื่อราคาใกล้แนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแรง มักจะมีคำสั่งสะสมเพิ่มเติมใน Order Book


เมื่อแรงผลักดันเหล่านี้ขยับเปลี่ยน Order Book อาจหนาขึ้น บางลง หรือเอนเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


ส่วนประกอบของ Order Book

ส่วนประกอบของ Order Book

1. ฝั่ง Bid (คำสั่งซื้อ)

แสดงว่าผู้ซื้อยินดีจะจ่ายเท่าไหร่ ราคาฝั่ง Bid จะเรียงจากสูงสุดลงมาต่ำสุด โดยราคาบนสุดคือความต้องการซื้อที่แข็งแรงที่สุด


2. ฝั่ง Ask (คำสั่งขาย)

แสดงราคาที่ผู้ขายยินดีจะขาย เรียงจากราคาต่ำสุดขึ้นไปสูงสุด โดยราคา Ask ที่ต่ำที่สุดคือโอกาสขายที่ถูกที่สุดที่มีอยู่ในตลาด


3. ความลึกของตลาด (Market Depth หรือปริมาณคำสั่งในแต่ละระดับราคา)

ปริมาณคำสั่งในแต่ละราคาแสดงว่าตลาดมีสภาพคล่องต้องถูกดูดซึมไปเท่าไหร่ก่อนที่ราคาจะทะลุระดับนั้นได้ ปริมาณมากมักสร้างเขตแนวรับหรือแนวต้านชั่วคราว


Order Book จะอัปเดตตลอดเวลาเมื่อมีคำสั่งใหม่เข้ามา คำสั่งเดิมถูกจับคู่ หรือถูกยกเลิก รวมถึงเมื่อสภาพคล่องเคลื่อนตัว


Order Book ทำงานอย่างไร?

Order Book ทำงานเหมือนระบบประมูลแบบไดนามิก:


  • เทรดเดอร์วางคำสั่งลิมิต ซึ่งจะเพิ่มเข้าไปใน Order Book

  • คำสั่งตลาด (Market Orders) จะดึงสภาพคล่องออก โดยจับคู่ทันทีที่ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น

  • เมื่อคำสั่งซื้อ–ขายจับคู่กัน ราคาซื้อขายล่าสุดก็จะเปลี่ยนไป

  • หากมีคำสั่งจำนวนมากกองอยู่ในบางระดับราคา ราคามักชะลอหรือกลับตัวเมื่อถึงจุดนั้น


เนื่องจากมีการอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ Order Book จึงให้ภาพของอุปสงค์–อุปทานระยะสั้นได้อย่างละเอียด ซึ่งกราฟแท่งเทียนไม่สามารถแสดงได้


อะไรทำให้ Order Book เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน: ปัจจัยที่ขับเคลื่อน

สภาพคล่องเข้า–ออกจาก Order Book ตลอดเวลา และมีหลายปัจจัยที่ทำให้รูปร่างของมันเปลี่ยนไป:


  • ข่าวประชาสัมพันธ์ เมื่อข้อมูลเศรษฐกิจออกมา คำสั่งใหม่จะหลั่งไหลเข้าตลาด ในขณะที่คำสั่งเก่าถูกยกเลิก Order Book อาจหนาหรือบางลงตามความเชื่อมั่นของตลาด

  • ความผันผวนของตลาด ในภาวะตลาดเร็ว เทรดเดอร์จำนวนมากมักถอนคำสั่งลิมิต ส่งผลให้สเปรดกว้างขึ้นและ Market Depth ลดลง

  • ช่วงเวลาของวัน สภาพคล่องเพิ่มขึ้นในช่วงลอนดอนและนิวยอร์ก แต่ลดลงในช่วงตลาดเงียบ

  • ผู้เข้าร่วมรายใหญ่ สถาบันสามารถเพิ่มหรือถอนคำสั่งในปริมาณมาก ทำให้ดุลอุปสงค์–อุปทานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว


Order Book ส่งผลต่อการเทรดของคุณอย่างไร?

Order Book มีผลต่อจังหวะการเข้าเทรด เพราะคำสั่งซื้อจำนวนมากด้านล่างอาจช่วยพยุงราคา ขณะที่กำแพงคำสั่งขายขนาดใหญ่ด้านบนอาจทำให้การขึ้นของราคาช้าลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อกลยุทธ์การออกเทรด เพราะเทรดเดอร์มักมองหาบริเวณที่มีสภาพคล่องมากพอสำหรับให้คำสั่งของตนถูกจับคู่ได้อย่างราบรื่น


และสิ่งนี้ยังมีผลต่อค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการเทรด เพราะสเปรดและสลิปเพจเกิดขึ้นโดยตรงจากสภาพของ Order Book


เมื่อมีคำสั่งขายจำนวนมากซ้อนอยู่เหนือราคา การขึ้นของราคาอาจชะลอตัวลง ส่วนช่องว่างขนาดใหญ่ในความลึกของตลาดเป็นสัญญาณเตือนว่า ราคาอาจกระโดดอย่างรวดเร็วหากมีคำสั่งใหม่จำนวนมากเข้าสู่ตลาด


สถานการณ์ที่ดี

  • หลายระดับราคามีปริมาณคำสั่งคงที่

  • สเปรดแคบ

  • คำสั่งทั้งสองฝั่งดูนิ่งและเสถียร


สถานการณ์ที่ไม่ดี

  • Market Depth บาง มีช่องว่าง

  • สเปรดกว้างขึ้น

  • คำสั่งขนาดใหญ่หายไปอย่างรวดเร็ว


ตัวอย่าง

ตัวอย่างการทำงานของ Order Book

ลองจินตนาการว่า EUR/USD มีราคา Bid ที่ดีที่สุด อยู่ที่ 1.1000 และ Ask ที่ดีที่สุด อยู่ที่ 1.1001 Order Book แสดงปริมาณคำสั่งซื้อจำนวนมากที่ราคา 1.0999 และ 1.0998 มีเทรดเดอร์คนหนึ่งต้องการซื้อ 100,000 หน่วย


ถ้าใน Order Book มีสภาพคล่องเพียงพอที่ราคา 1.1001 คำสั่งทั้งหมดก็จะถูกจับคู่ที่ราคา Ask นี้ แต่ถ้า Order Book บาง และที่ 1.1001 มีปริมาณเพียงครึ่งเดียวของที่ต้องการ ส่วนที่เหลือจะถูกจับคู่ที่ 1.1002 ผลลัพธ์คือเกิด Slippage


ตอนนี้ลองนึกภาพว่ามีข่าวออก และคำสั่งซื้อที่ 1.0999 และ 1.0998 หายไปทั้งหมด เทรดเดอร์จะรู้ทันทีว่าแรงพยุงราคาลดลง แม้คำสั่งขายเล็ก ๆ ก็สามารถกดราคาให้ต่ำลงได้ Order Book จึงให้สัญญาณก่อนที่ราคาเคลื่อนไหวจริง


เทรดเดอร์ใช้ Order Book อย่างมีกลยุทธ์ได้อย่างไร?

  • Scalping: มองหาการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของปริมาณ Bid หรือ Ask เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวระยะสั้น

  • Breakout Trading: เมื่อสภาพคล่องที่แนวรับ–แนวต้านเริ่มบาง อาจเป็นสัญญาณว่าราคากำลังจะเบรก

  • Fade Strategies: กำแพงสภาพคล่องขนาดใหญ่สามารถใช้เป็นจุดกลับตัวชั่วคราว

  • Risk Management: ความลึกของตลาดช่วยวาง Stop อย่างสมจริง และกำหนดขนาดสถานะได้เหมาะสม


การวิเคราะห์ Order Book จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อนำไปใช้ร่วมกับ Volume, ข้อมูล Time & Sales, หรือ Market Structure


ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Order Book

  • ไล่ตามคำสั่งใหญ่ทุกครั้ง: เพราะบางคำสั่งเป็นของหลอก (Spoofing) และอาจหายไปทันที

  • ไม่เช็กสภาพคล่องก่อนใส่คำสั่งขนาดใหญ่: นำไปสู่ Slippage โดยไม่จำเป็น

  • ดูแต่ฝั่งเดียวของ Order Book: ความไม่สมดุล (Imbalance) สำคัญกว่าปริมาณฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

  • ตีความ Iceberg Orders ผิดว่าเป็นความอ่อนแอ: เพราะคำสั่งซ่อนบางครั้งสามารถรองรับปริมาณมากกว่าที่เห็น

  • เทรดตามข่าวโดยอาศัย Order Book: เพราะคำสั่งถูกยกเลิกเร็วมากในช่วงผันผวน ทำให้ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ


วิธีเช็ก Order Book ก่อนเข้าเทรด

เช็กลิสต์อย่างรวดเร็วก่อนวางคำสั่งทุกครั้ง

  • ดู Level 2 Depth เพื่อรู้ว่ามีสภาพคล่องอยู่ใกล้ราคาปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน

  • เปรียบเทียบขนาดของ Best Bid และ Best Ask ว่าฝั่งซื้อหรือฝั่งขายมีน้ำหนักมากกว่า

  • มองหาช่องว่างของสภาพคล่อง (Liquidity Gaps) เพราะอาจทำให้ราคากระโดดแรง

  • เช็กว่าคำสั่งในหนังสือมีความนิ่งหรือหายไปเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอน

  • ก่อนมีข่าวสำคัญ ให้ดูพฤติกรรมของ Order Book หากมันบางลง แปลว่าความเสี่ยงสูงขึ้น


คุณควรตรวจสอบ Order Book ทุกครั้งก่อนวาง Market Order หรือเมื่อรู้สึกว่าสภาวะตลาดไม่ปกติ


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • สภาพคล่อง: Order Book แสดงว่ามีสภาพคล่องตรงไหนมาก–น้อย

  • Slippage: เกิดจากคำสั่งใน Order Book มีไม่พอที่ราคาที่ต้องการ

  • สเปรด: ส่วนต่างระหว่าง Best Bid และ Best Ask ซึ่งเห็นได้โดยตรงใน Order Book

  • Market Orders: คำสั่งตลาดที่เข้ามากินสภาพคล่องและดันราคาเคลื่อนที่


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ทำไม Order Book ของแต่ละโบรกเกอร์ถึงแตกต่างกัน?

เพราะแต่ละโบรกเชื่อมต่อกับผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Providers) ไม่เหมือนกัน ผู้ให้สภาพคล่องแต่ละรายมีกระแสคำสั่งของตัวเอง ทำให้ข้อมูลที่เห็นใน Order Book แตกต่างกันเล็กน้อย Order Book ของสถาบันใหญ่จะรวมสภาพคล่องจากทั่วโลก แต่ Order Book ของรายย่อยแสดงเฉพาะส่วนของสภาพคล่องที่มาจากโบรกหรือแหล่งข้อมูลนั้น ๆ


2. ทำไมคำสั่งขนาดใหญ่บางครั้งถึงหายไปอย่างกะทันหัน?

เพราะเทรดเดอร์บางคนยกเลิกคำสั่งลิมิตก่อนถูกจับคู่ ในบางกรณียังอาจเกิดจากการ Spoofing คือการแสดงคำสั่งจำนวนมากชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อสร้างภาพหลอกลวงแก่ตลาด สิ่งสำคัญคือควรมอง “รูปแบบซ้ำ ๆ” มากกว่าการมองคำสั่งใหญ่ที่โผล่มาเพียงครั้งเดียว


3. Order Book ทำนายทิศทางราคาได้หรือไม่?

ไม่ถึงขั้นนั้น Order Book แสดง “ความตั้งใจ” ไม่ใช่ “การซื้อขายจริง” กำแพงคำสั่งซื้อใหญ่สามารถพยุงราคา กำแพงคำสั่งขายใหญ่สามารถกดราคา แต่ทั้งคู่สามารถหายไปได้ทันที Order Book จึงช่วยให้เข้าใจแรงกดดัน ไม่ใช่ความแน่นอน มันคือเบาะแสแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่การการันตีทิศทาง


สรุป

Order Book คือแผนที่แบบเรียลไทม์ของความสนใจซื้อ–ขายในแต่ละระดับราคา มันสะท้อนอุปสงค์ อุปทาน สภาพคล่อง และจุดกดดันของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ หากใช้ให้ถูกต้อง มันช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นโซนแข็งแรง หลีกเลี่ยงจุดเข้าเทรดที่ไม่ดี และคาดการณ์การเคลื่อนไหวระยะสั้นได้ แต่ถ้าใช้ผิด อาจทำให้หลงเชื่อสภาพคล่องที่ไม่นิ่ง หรือไล่ราคาที่เปลี่ยนเร็วเกินไป


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ