เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-12
Commitment of Traders (COT) คือรายงานประจำสัปดาห์ที่เผยแพร่โดยคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐฯ (CFTC) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้เล่นประเภทต่าง ๆ วางสถานะการถือครอง (Positioning) อย่างไรในตลาดฟิวเจอร์ส
รายงานนี้จะแยกกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ เช่น สถาบันการเงิน กองทุน และบริษัทเชิงพาณิชย์ ออกจากนักเทรดรายย่อย เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าฝั่งใดของตลาดถือสถานะมากกว่า COT จึงมีความสำคัญ เพราะช่วยเปิดมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวางตำแหน่งของ “ฝูงชน” ในตลาด
เมื่อใช้อย่างถูกวิธี รายงาน COT จะช่วยให้นักเทรดเข้าใจแรงกดดันระยะยาวที่อยู่เบื้องหลังแนวโน้มของราคา และมองเห็นสัญญาณว่าความเชื่อมั่นของตลาดอาจกำลังเปลี่ยนทิศทาง
เปรียบเทียบกับชีวิตประจำวัน: รู้ว่าใครลงสนามอยู่บ้าง
ลองนึกถึงการแข่งขันกีฬาในลีกท้องถิ่น หากคุณดูแค่คะแนน แต่ไม่รู้ว่าทีมไหนครองบอลอยู่ หรือผู้เล่นคนใดกำลังเป็นฝ่ายบุก คุณก็จะพลาดภาพรวมไปกว่าครึ่ง
รายงาน COT ทำหน้าที่เติมเต็มช่องว่างนี้ มันแสดงให้เห็นว่ากลุ่มใดถือสถานะขนาดใหญ่ กลุ่มใดกำลังลดความเสี่ยง และกลุ่มใดกำลังเพิ่มความเสี่ยง ภาพรวมนี้ช่วยให้นักเทรดรับรู้ “ดุลอำนาจ” ของตลาด แทนที่จะพึ่งพาการเคลื่อนไหวของราคาเพียงอย่างเดียว
รายงาน COT (Commitment of Traders) จะแบ่งนักเทรดในตลาดฟิวเจอร์สออกเป็นกลุ่มสำคัญ เช่น กลุ่มเชิงพาณิชย์ (Commercial Hedgers) กองทุนบริหารเงิน และนักเทรดรายย่อยหรือกลุ่มขนาดเล็ก กลุ่มเชิงพาณิชย์ใช้สัญญาฟิวเจอร์สเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากกิจกรรมทางธุรกิจจริง เช่น เกษตรกรหรือผู้ผลิตสินค้า
กลุ่มกองทุนบริหารเงินจะรวมถึงกองทุนที่เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following Funds), ที่ปรึกษาการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Trading Advisers: CTA) และผู้จัดการการลงทุนอื่น ๆ ที่เทรดเพื่อทำกำไร ไม่ได้เทรดเพื่อป้องกันความเสี่ยง รายงานจะแสดงสถานะฝั่งซื้อ (Long), ฝั่งขาย (Short) และ สถานะสุทธิ (Net Position) ของแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน
นักเทรดจะเห็นรายงาน COT ทุกวันศุกร์ โดยข้อมูลสะท้อนสถานะการถือครอง ณ วันอังคารของสัปดาห์เดียวกัน นักเทรดระยะยาวและสายสวิงจำนวนมากใช้รายงานนี้เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของความเชื่อมั่นตลาด เพราะตลาดฟิวเจอร์สมีอิทธิพลต่อราคาสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น
รายงาน COT ไม่ได้ให้สัญญาณเข้าเทรดโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็น “บริบท” สำคัญ ช่วยให้นักเทรดประเมินได้ว่าแนวโน้มในขณะนั้นมีผู้เล่นแออัดเกินไปหรือไม่ และกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงของการวางสถานะในตลาดหรือไม่
มีหลายปัจจัยที่ทำให้การวางสถานะในรายงาน COT เปลี่ยนแปลงตลอดสัปดาห์ ได้แก่
1. แนวโน้มราคา
เมื่อแนวโน้มของตลาดแข็งแกร่งขึ้น กองทุนกลุ่ม Managed Money มักจะเพิ่มสถานะตามทิศทางของแนวโน้มนั้น ราคาที่ปรับขึ้นมักดึงดูดสถานะฝั่งซื้อ (Long) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาที่ปรับลงมักทำให้มีการเปิดสถานะฝั่งขาย (Short) มากขึ้น
บริษัทเชิงพาณิชย์จะปรับการใช้สัญญาฟิวเจอร์ตามสภาพธุรกิจจริง เมื่อผู้ผลิตคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น กิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงก็อาจเพิ่มตาม และส่งผลให้ตัวเลขในรายงาน COT เปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของความต้องการรับความเสี่ยง ข่าวภูมิรัฐศาสตร์ หรือข้อมูลเศรษฐกิจ สามารถผลักดันให้กองทุนเพิ่มหรือลดการถือครองได้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะสะท้อนออกมาในสถานะสุทธิ (Net Position)
เนื่องจากรายงาน COT เป็นรายสัปดาห์ การเปลี่ยนแปลงจึงปรากฏแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้สะท้อนแบบเรียลไทม์
รายงาน COT ช่วยกำหนดกรอบการตัดสินใจเทรดด้วยการแสดงให้เห็นว่า “แรงกดดันหลักของตลาด” อยู่ฝั่งใด เมื่อกลุ่ม Managed Money ถือสถานะสุทธิฝั่งซื้อจำนวนมากในสินค้าโภคภัณฑ์หรือสกุลเงินใด แสดงถึงความเชื่อมั่นในแนวโน้มนั้น
นักเทรดจึงมักมองหาโอกาสฝั่งซื้อ เมื่อการวางสถานะเป็นบวกอย่างชัดเจน แต่เมื่อการถือครองเริ่มเข้าสู่ระดับสุดโต่ง ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นเริ่มแออัด หากสถานะสุทธิฝั่งซื้อเริ่มลดลง แม้ว่าราคายังคงปรับขึ้น นักเทรดอาจเตรียมรับมือกับโมเมนตัมที่ชะลอลง
COT ยังช่วยเรื่องการออกจากสถานะ (Exit) ได้ด้วย นักเทรดที่ถือสถานะ Long อาจเลือกลดขนาดการลงทุน หากรายงานแสดงให้เห็นว่ากองทุนเริ่มคลายสถานะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยควบคุมความเสี่ยงได้ เพราะเป็นสัญญาณว่าผู้เล่นรายใหญ่กำลังถอยออกจากตลาด
แนวโน้มแข็งแกร่ง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของสถานะ Managed Money
การวางสถานะปรับฐานสอดคล้องกับการย่อตัวของราคา
ตัดสินใจจากการเปลี่ยนแปลงของรายงานเพียงสัปดาห์เดียว โดยไม่ดูกราฟราคา
มองการวางสถานะที่สุดโต่งเป็นสัญญาณกลับตัวโดยอัตโนมัติ
ลองนึกภาพว่าฟิวเจอร์สทองคำซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ รายงาน COT แสดงให้เห็นว่ากลุ่ม Managed Money ถือสถานะฝั่งซื้อ (Long) 250,000 สัญญา และฝั่งขาย (Short) 50,000 สัญญา
ดังนั้นสถานะสุทธิฝั่งซื้อ (Net Long) เท่ากับ 200,000 สัญญา หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ราคาปรับขึ้นเป็น 2,025 ดอลลาร์ และสถานะ Net Long เพิ่มขึ้นเป็น 230,000 สัญญา ซึ่งสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ราคาไปถึง 2,030 ดอลลาร์ แต่สถานะ Net Long กลับลดลงแรงเหลือเพียง 180,000 สัญญา
สิ่งนี้บอกนักเทรดว่า กองทุนขนาดใหญ่กำลังทยอยทำกำไร แม้ว่าราคายังคงปรับขึ้นอยู่ก็ตาม นักเทรดอาจเลือกขยับจุดตัดขาดทุนให้แคบลง หรือปรับลดขนาดการลงทุน เพราะคาดว่าโมเมนตัมอาจเริ่มอ่อนแรงในไม่ช้า
การมีขั้นตอนง่าย ๆ จะช่วยเปลี่ยนรายงานรายสัปดาห์ให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริง
ดูรายงาน COT ล่าสุด โดยโฟกัสที่สถานะสุทธิ (Net Position) ของกลุ่ม Commercial Hedgers และ Managed Money
เปรียบเทียบข้อมูลสัปดาห์นี้กับสัปดาห์ก่อน ๆ สถานะสุทธิที่เพิ่มขึ้นมักสะท้อนความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งขึ้น
เทียบข้อมูลกับกราฟระยะยาว ทิศทางของราคาและการวางสถานะควรไปในทางเดียวกัน
สังเกตสัญญาณใดๆ ที่แสดงถึงความสุดขั้ว เช่น ระดับการวางสถานะที่ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในรอบหลายปี
ยืนยันว่าแผนการเทรดของคุณสอดคล้องกับทิศทางภาพรวมที่ข้อมูลสะท้อนออกมา
การตรวจดูรายงานเพียงสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะ COT ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน
นำรายงาน COT มาเทรดโดยตรง COT เป็นข้อมูลที่เคลื่อนไหวช้า ไม่ใช่เครื่องมือหาจุดเข้าเทรด การใช้เพียง COT อย่างเดียวมักทำให้เข้าเทรดผิดจังหวะ
มองข้ามความล่าช้าของข้อมูล ข้อมูลในรายงานสะท้อนสถานะ ณ วันอังคาร แต่เผยแพร่ในวันศุกร์ ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลางสัปดาห์ไม่ถูกมองเห็น
มองจุดสูงสุดและต่ำสุดเป็นจุดเปลี่ยน สถานะสุทธิที่อยู่ในระดับสุดโต่งสามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มแข็งแกร่ง
ลืมว่ากลุ่ม Commercial Hedgers ไม่ใช่นักเก็งกำไร การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้สะท้อนความต้องการทางธุรกิจจริง ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคา
ไม่เชื่อมโยง COT เข้ากับกราฟราคา หากไม่มี Price Action มาประกอบ รายงาน COT จะตีความได้ยากและอาจทำให้เข้าใจผิด
Open Interest: แสดงจำนวนสัญญาฟิวเจอร์สที่มีอยู่ทั้งหมด ช่วยอธิบายความแข็งแรงของการวางสถานะในตลาด
ปริมาณการซื้อขาย: ใช้ยืนยันว่าการซื้อขายจำนวนมากสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในข้อมูล COT หรือไม่
Futures Curve: ช่วยอธิบายว่าทำไมกลุ่ม Commercial Hedgers จึงปรับเปลี่ยนสถานะการถือครอง
Managed Money Flows: มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มที่เห็นในรายงาน COT ของตลาดฟิวเจอร์ส
Risk Appetite Indicators: ช่วยอธิบายว่าทำไมกองทุนจึงเพิ่มหรือลดการถือครองความเสี่ยง
รายงาน COT อัปเดตสัปดาห์ละครั้ง จึงเคลื่อนไหวช้ากว่าการเคลื่อนไหวของราคาแบบอินทราเดย์อย่างมาก นักเทรดระยะสั้นยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบภาพรวมได้ แต่ไม่ควรคาดหวังว่าจะให้สัญญาณซื้อหรือขายทันที รายงานนี้เหมาะที่สุดกับนักเทรดสายสวิงและสายถือยาว ที่ติดตามความเชื่อมั่นของตลาดในภาพกว้าง
CFTC ต้องรวบรวมข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์สและบริษัทเคลียร์ริ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาในการประมวลผลและตรวจสอบความถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ รายงานจึงสะท้อนสถานะการถือครอง ณ วันอังคาร และเผยแพร่ในวันศุกร์ นักเทรดควรมอง COT เป็นภาพโครงสร้างของตลาด มากกว่าจะเป็นตัวชี้วัดแบบเรียลไทม์
ระดับสุดโต่งฝั่งซื้อหมายความว่ากองทุนได้สะสมสถานะขาขึ้นไว้จำนวนมาก ซึ่งมักสอดคล้องกับแนวโน้มที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ระดับสุดโต่งยังอาจบ่งชี้ว่าแนวโน้มเริ่มแออัด และอาจไปต่อได้ยากหากไม่มีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามา นักเทรดจึงจับตาดูการอ่อนตัวของสถานะสุทธิ เพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า
โดยทั่วไปแล้วไม่ใช่ กลุ่ม Commercial Hedgers ใช้สัญญาฟิวเจอร์สเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากกิจกรรมทางธุรกิจจริง ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อคาดการณ์ราคา อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของการป้องกันความเสี่ยงสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ เพราะอาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุปทานหรืออุปสงค์ในตลาดจริง
นักเทรดส่วนใหญ่มักตรวจดูรายงานสัปดาห์ละครั้ง เมื่อข้อมูลใหม่ถูกเผยแพร่ การตรวจถี่กว่านั้นไม่ได้เพิ่มประโยชน์ เพราะตัวเลขจะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะถึงรอบถัดไป สิ่งสำคัญคือการติดตามการเปลี่ยนแปลงแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ และนำไปเปรียบเทียบกับกราฟระยะยาว
รายงาน Commitment of Traders (COT) แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้เล่นหลักในตลาดฟิวเจอร์สถือสถานะอย่างไร และความเชื่อมั่นของตลาดกำลังก่อตัวหรือเริ่มอ่อนแรงลง
เมื่อใช้งานร่วมกับกราฟราคาที่ชัดเจนและขั้นตอนการติดตามที่เรียบง่าย รายงาน COT จะช่วยให้นักเทรดเข้าใจแรงขับเคลื่อนระยะยาวที่สนับสนุนหรือบั่นทอนแนวโน้มได้ดียิ่งขึ้น รายงานนี้ไม่เหมาะสำหรับการหาจุดเข้าเร็ว ๆ แต่จะมีคุณค่ามากที่สุดเมื่อใช้ควบคู่กับการสังเกตอย่างสม่ำเสมอและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ