เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-07 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-09
คำตอบสั้น ๆ คือ ใช่ เพราะแรงส่งและสัญญาณมหภาคกำลังโน้มเอียงไปทางขาขึ้น แต่เช่นเคย เส้นทางของราคาทองจะขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนแท้จริง (real yields) ความแข็งแกร่งของดอลลาร์ ความต้องการกองทุน ETF การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมาก
ตามรายงานของ Reuters ราคาทองคำสปอตได้ทะลุระดับ 3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2025 โดยขึ้นไปแตะ 3,944.63 ดอลลาร์ ก่อนจะปิดที่ราว 3,925.91 ดอลลาร์ การพุ่งขึ้นครั้งนี้ขับเคลื่อนด้วยกระแสเงินไหลเข้าทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย กระแสเงินทุนใหม่ใน ETF และความคาดหวังที่ฟื้นคืนเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายของเฟด
แต่คำถามคือ ราคาทองจะยังคงไต่ระดับขึ้นต่อไปในอีกไม่กี่วันและสัปดาห์ข้างหน้าหรือไม่? ด้านล่างคือ มุมมองผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยง และเช็กลิสต์สำหรับนักลงทุน
เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2025 ราคาทองคำพาดหัวข่าวทั่วโลก โดยราคาสปอตเทรดใกล้ 3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำ ปัจจัยหลายประการที่เกิดขึ้นพร้อมกันอธิบายการพุ่งขึ้นครั้งนี้ ได้แก่:
ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนต่อ ๆ ไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกผล เช่น ทองคำ
บทวิเคราะห์ล่าสุดยังสะท้อนว่าเฟดมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีก ซึ่งจะหนุนราคาทองให้แข็งแกร่งต่อไป
ในครึ่งแรกของปี 2025 กองทุนทองคำ ETF ที่มีทองคำจริงหนุนหลังทั่วโลก เพิ่มการถือครองรวม 397 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 38 พันล้านดอลลาร์
สภาทองคำโลก (World Gold Council) รายงานว่า ภายในเดือนสิงหาคม 2025 การถือครอง ETF เพิ่มขึ้นอีก 23 ตัน ดันมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) สู่ 386 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี (Real Yield) ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่เคลื่อนไหวตรงข้ามกับทองคำ ปรับลดลงจากระดับสูงสุดเมื่อต้นปี ทำให้ทองคำดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น โดยปกติเมื่อ Real Yield ลดลงหรือเป็นลบ ราคาทองมักจะพุ่งขึ้น
ข้อมูลจาก FRED และกระทรวงการคลังสหรัฐยังชี้ว่า Real Yield มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตลอดฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงปี 2025
ความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลางและยูเครน รวมถึงความไม่แน่นอนที่กว้างขึ้น ล้วนกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลดันราคาขึ้นต่อ
สำนักข่าว Reuters และสื่ออื่น ๆ ต่างรายงานว่า เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ล่าสุดเป็นตัวเร่งสำคัญที่เพิ่มกระแสเงินเข้าสู่ทองคำ
แม้จะมีการคาดการณ์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สอดคล้องกันจากทั้งธนาคารขนาดใหญ่และรายงานสื่อก็คือ หากกระแสเงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF และแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายของเฟดยังคงดำเนินต่อไป ราคาทองคำยังคงมีโอกาสขาขึ้น
สถาบัน | มุมมอง / เป้าหมาย | กรอบเวลา / หมายเหตุ |
---|---|---|
Goldman Sachs | ปรับเป้าหมายธันวาคม 2026 ขึ้นเป็น 4,900 ดอลลาร์/ออนซ์ (จากเดิม 4,300) | ระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่นในความต้องการเชิงโครงสร้าง |
J.P. Morgan Research | คาดราคาเฉลี่ย 3,675 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในไตรมาส 4/2025 และมีโอกาสแตะ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ในปี 2026 | มุมมองระยะสั้นที่ค่อนข้างระมัดระวัง |
Reuters / Market Commentary | ราคาทองสปอตทำสถิติสูงสุดใหม่จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย คาดว่ายังคงทรงตัวในระดับสูง หากปัจจัยมหภาคยังคงอยู่ | ฉันทามติของตลาด |
นอกจากนี้ UBS ยังได้ปรับเป้าหมายสิ้นปีขึ้นไปใกล้ 3,800 ดอลลาร์ โดยสะท้อนถึงความคาดหวังการผ่อนคลายของเฟดและการอ่อนค่าของดอลลาร์
หากคุณอยากรู้ว่าราคาทองจะยังคงขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือไม่ ต้องจับตา 5 ปัจจัยสำคัญดังนี้:
ปัจจัย | สิ่งที่ควรติดตาม | เหตุผลที่สำคัญ |
---|---|---|
Real Yields | การปรับลดต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทน TIPS อายุ 10 ปี | ยิ่งลดลง ทองยิ่งมีพื้นที่ให้ปรับขึ้น |
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) | การดีดกลับแรงหรือการกลับทิศ | ดอลลาร์แข็งกดดันราคาทอง |
ETF Flows & Holdings | กระแสเงินไหลเข้า/ออกรายสัปดาห์ (เช่น GLD, IAU) | บ่งชี้ถึงความต้องการจริงในตลาดกายภาพ |
Fed Signals & Futures | การเปลี่ยนแปลงสัญญาณหรือคาดการณ์ดอกเบี้ย | ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการถือทอง |
เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์/ความเสี่ยง | ความขัดแย้งหรือช็อกทางการคลังที่ไม่คาดคิด | เพิ่มความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย |
หากปัจจัยเหล่านี้ยังคงเอื้อต่อไป ราคาทองในระยะสั้นมีโอกาสขยับขึ้นต่อเนื่อง
ตัวเลขเงินเฟ้อหรือการจ้างงานที่ออกมาสูงเกินคาด อาจทำให้เฟดชะลอการลดดอกเบี้ย ดันดอลลาร์และ Real Yield ขึ้น กดดันราคาทอง
หากบรรยากาศมหภาคกลับสู่ปกติ นักลงทุนระยะสั้นเทขาย อาจทำให้ ETF มีกระแสเงินไหลออก และทำลายแรงหนุนหลัก
เมื่อทองเข้าสู่สภาวะซื้อมากเกินไป ราคามีโอกาสย่อตัวแรงและรวดเร็ว
หากธนาคารกลางบางแห่งหยุดการเข้าซื้อ หรือประกาศลดการถือครอง อาจทำให้ตลาดปรับฐานลง
ความเสี่ยงเหล่านี้อาจกดดันราคาทองในระยะสั้น แม้แนวโน้มระยะกลางยังคงเป็นขาขึ้นก็ตาม ดังนั้นนักลงทุนจึงควรใช้กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
เทรดตามความผันผวน แต่ต้องมีการจำกัดความเสี่ยงอย่างเข้มงวด เลือกเทรดแบบ Reversion ใกล้แนวรับระหว่างวัน หากตัวชี้วัดมหภาคอ่อนแรง ควรใช้ Limit Orders แทน Market Orders โดยเฉพาะเมื่อสภาพคล่องต่ำ
หากต้องการเทรดตามโมเมนตัม ต้องมีสัญญาณยืนยัน เช่น กระแสเงินไหลเข้าของ ETF หรือการปรับลดลงของ Real Yields ก่อนเข้าตามการเบรกเอาต์
ใช้ตัวกรองมหภาค (Macro Filter) โดยเลือกเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว หากโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือ Real Yields ลดลง พิจารณาถือครองขนาดเล็กในกองทุนทองคำ ETF (เช่น GLD, IAU) และเพิ่มสถานะเมื่อมีการยืนยันแนวโน้ม
ตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญ (เช่น 3,700 ดอลลาร์)
มองทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อปกป้องพอร์ต จัดสัดส่วนตามความต้องการด้านประกันความเสี่ยงของพอร์ต (โดยทั่วไป 2–10% ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้) สามารถเลือกลงทุนในทองคำจริง, ETF หรือหุ้นเหมืองทอง ซึ่งให้การรับความเสี่ยงและต้นทุนต่างกัน
ติดตามการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง และกระแสเงินใน ETF เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์เชิงโครงสร้าง มากกว่าการแกว่งตัวในระยะสั้น
แรงส่งของตลาดยังคงสนับสนุนขาขึ้น แต่ความผันผวนสูงมาก ดังนั้นควรเข้าซื้ออย่างระมัดระวัง พร้อมวางแผนการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
มีแนวโน้มใช่ นักวิเคราะห์หลายรายและสัญญาณทางเทคนิคมองว่า 4,000 ดอลลาร์ คือเป้าหมายถัดไป หากกระแสเงินไหลเข้าและการผ่อนคลายนโยบายการเงินยังดำเนินต่อ
ใช่ การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความต้องการในปี 2025
สรุปได้ว่า แรงส่งของราคาทองในช่วงต้นตุลาคม 2025 เป็นของจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากการปรับฐานแบบกะทันหัน
ด้วยอัตราผลตอบแทนแท้จริงที่ลดลง กระแสเงินไหลเข้าของ ETF ที่แข็งแกร่ง และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ราคาทองจึงมีปัจจัยบวกในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถท้าทายแนวโน้มนี้ได้เสมอ สำหรับนักลงทุนระยะยาว ทองคำควรถูกมองว่าเป็น สินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แหล่งสร้างผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว
สิ่งสำคัญที่ต้องจำ: เว้นแต่เฟดจะกลับมาใช้ท่าทีเข้มงวดอีกครั้ง หรือกระแสเงินไหลออกจากตลาดทองคำเกิดขึ้น แนวโน้มของราคาทองที่มุ่งสู่ 4,000 ดอลลาร์ขึ้นไป ยังคงมีความเป็นไปได้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ