2025-10-07
สำหรับการวิเคราะห์ทองคำวันนี้ (7 ต.ค.) หลัง Fed ลดดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้การปรับตัวล่าสุดของราคาทองคำกำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการปรับลดครั้งแรกในปีนี้ ทำให้ขึ้น ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปวิเคราะห์ทองคำโดยละเอียด พร้อมดูผลกระทบเชิงตัวเลขจากตลาดแรงงาน เงินเฟ้อ และแนวโน้มราคาทองคำในอนาคต
โดยการวิเคราะห์ทองคำวันนี้ พบว่าราคาทองคำปรับตัวลงแตะระดับ 3,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้พุ่งสูงไปแตะที่ระดับ 3,975 ตามแรงซื้อขายของตลาดและความแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการลดดอกเบี้ยของ Fed 0.25% ส่งสัญญาณโดยตรงต่อราคาทองคำ เพราะทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำลดลง ส่งผลให้แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแอ ตัวเลข Nonfarm Payrolls เฉลี่ย 29,000 ตำแหน่งต่อเดือน ต่ำกว่าตัวเลข break-even rate ราว 50,000 ตำแหน่งต่อเดือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานเริ่มไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจเต็มที่ การว่างงานจึงปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4.3% สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำได้รับแรงสนับสนุนจากนักลงทุน
การลดดอกเบี้ยช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของนักลงทุน ทำให้การถือครองทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้น
การอ่อนค่าของดอลลาร์ชั่วคราวหลังประกาศลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ทองคำที่ซื้อขายเป็นดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงานและสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว เพิ่มแรงซื้อทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
นักลงทุนใช้ทองคำเป็น hedge ระหว่างความเสี่ยงเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาดหุ้น
การวิเคราะห์ทองคำวันนี้จำเป็นต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐานหลักที่มีผลต่อราคา ได้แก่ นโยบายการเงินของ Fed, ตลาดแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อแรงซื้อขาย
การลดดอกเบี้ย 0.25% ของ Fed ในเดือนกันยายน 2568 สะท้อนถึงความพยายามในการบริหารความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแอ โดยเฉพาะตลาดแรงงาน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำลดลง นักลงทุนจึงมองทองคำเป็นทางเลือกในการรักษามูลค่า
นอกจากนี้ Dot Plot ล่าสุดของ Fed แสดงความเห็นแตกต่างกันในกรรมการ โดยบางท่านคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ขณะที่บางท่านคาดว่าจะลดน้อยกว่า สิ่งนี้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ทำให้ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับแรงซื้อ
ตัวเลข Nonfarm Payrolls เฉลี่ยอยู่ที่ 29,000 ตำแหน่งต่อเดือน ต่ำกว่าค่าประมาณ break-even rate ที่ราว 50,000 ตำแหน่งต่อเดือน สะท้อนว่าการจ้างงานไม่เพียงพอต่อการรักษาอัตราการว่างงานให้อยู่ในระดับคงที่ ซึ่งอัตราการว่างงานปัจจุบันอยู่ที่ 4.3% สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี การอ่อนแรงของตลาดแรงงานทำให้เกิดความกังวลในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และส่งผลให้แรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น วิเคราะห์ทองคำวันนี้ จึงต้องพิจารณาตัวเลขนี้ควบคู่กับแรงกดดันทางเงินเฟ้อ
แม้ตลาดแรงงานจะอ่อนแอ แต่เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมาย Fed อยู่ที่ 2.6% การคงอยู่ของเงินเฟ้อสูงกว่าระดับเป้าหมายส่งผลให้นักลงทุนมองทองคำเป็น hedge ป้องกันความเสี่ยงการลดค่าของเงิน การปรับตัวของราคาสินค้าจากกำแพงภาษีและต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำมีมูลค่าเพิ่ม
ความสัมพันธ์เชิงตัวเลขกับราคาทองคำ
อัตราดอกเบี้ยลดลง = ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำลด = ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้น
Nonfarm Payrolls ต่ำกว่า break-even rate = ตลาดแรงงานอ่อนแอ = ความกังวลเศรษฐกิจ = แรงซื้อทองคำเพิ่ม
เงินเฟ้อ 2.6% > เป้าหมาย Fed 2% = ความเสี่ยงเงินเฟ้อสูง = การถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
การวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตในปี 2025 และ 2026 ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยหลายประการที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะการคาดการณ์ของสถาบันการเงินชั้นนำที่ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในอนาคต
โดย Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาทองคำในเดือนธันวาคม 2026 เป็น 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จากประมาณการเดิมที่ 4,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอ้างอิงจากความต้องการที่แข็งแกร่งจากกองทุน ETF ในตะวันตก และการซื้อทองคำที่ต่อเนื่องจากธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน ซึ่งมีการเพิ่มทองคำในสำรองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11
ขณะที่ Ed Yardeni นักวิเคราะห์ตลาดชื่อดังคาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในปี 2030 โดยอ้างอิงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงมีอยู่ รวมถึงการสะสมทองคำจากธนาคารกลางและความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
ดังนั้นโดยรวมแล้ว แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตยังคงเป็นบวก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการของธนาคารกลาง ความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ในปี 2025 และ 2026
A: การลดดอกเบี้ยของ Fed ทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำลดลง ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นและดันราคาทองคำขึ้น
A: ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, อัตราเงินเฟ้อ, และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
A: นักลงทุนควรติดตามนโยบายการเงินของ Fed, อัตราเงินเฟ้อ, การเติบโตของเศรษฐกิจ, และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับการวิเคราะห์ทองคำวันนี้ (7 ต.ค.) หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ราคาทองคำ (XAU/USD) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3,956.19 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในช่วงเช้า และปิดตลาดที่ 3,948.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี 2025 เพราะการลดดอกเบี้ย 0.25% ทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำลดลง ส่งผลให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนให้ความสนใจ
ปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังรวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ เช่น การปิดหน่วยงานรัฐบาล (government shutdown) ซึ่งทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน (Nonfarm Payrolls) ถูกเลื่อนออกไป ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนตุลาคมและธันวาคม 2025
นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2025 โดย UBS คาดว่า ราคาจะพุ่งขึ้นไปถึง 4,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญ เช่น นโยบาย Fed, สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ ๆ เพื่อประเมินแนวโน้มราคาทองคำอย่างรอบคอบ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใด ๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใด ๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ