简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ราคาเงิน (Silver) 2025 กระแสพุ่งต่อ หรือใกล้ถึงจุดเปลี่ยน?

2025-09-30

ราคาเงินพุ่งแรงในปี 2025 แตะระดับราว 46 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน ปัจจัยหนุนหลักมาจากผลตอบแทนที่แท้จริงปรับตัวลดลง กระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF และความต้องการอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และอิเล็กทรอนิกส์)


การที่ราคาจะสามารถปรับขึ้นต่อได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสมดุลระหว่างกระแสการลงทุนที่ต่อเนื่อง กับภาวะอุปทานทางกายภาพที่ยังเปราะบาง


ในระยะสั้น ระดับเหนือ 50 ดอลลาร์ยังเป็นไปได้จากแรงส่งของโมเมนตัมและการซื้อของกองทุน ETF ขณะที่ในระยะกลาง ทิศทางราคาจะขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของความต้องการในภาคอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตเหมืองและความสนใจของนักลงทุน


สถานะของราคาเงินในปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2025)

ราคาเงินแตะระดับ 46 ดอลลาร์ในกันยายน 2025

1) ราคา Spot :

อยู่ที่ประมาณ 46 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ (สิ้นเดือนกันยายน 2025) โดยตลอดทั้งเดือนราคาซื้อขายรายวันเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกึ่งกลางระดับ 40 ดอลลาร์


2) โมเมนตัม :

ราคาเงินปรับขึ้นราว 40–50% ตั้งแต่ต้นปี 2025 (ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นที่ใช้คำนวณ)


ถือเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำผลงานดีที่สุดปีนี้ จากการที่ตลาดสะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงที่ลดลงและกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย โดยมีกองทุน ETF และความต้องการจากนักลงทุนรายย่อยเป็นแรงหนุนสำคัญ


3) กระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF: :

กองทุน ETF เงินรายใหญ่ (เช่น SLV) มีกระแสเงินไหลเข้ามาอย่างแข็งแกร่งและแตะระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน ความสนใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยขยายแรงขับเคลื่อนราคา เนื่องจาก ETF ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อโดยตรงในตลาด


อะไรคือแรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังการพุ่งขึ้นของราคาเงินในปี 2025?

ความต้องการเงินในอุตสาหกรรมยานยนต์

ลองนึกภาพราคาเงินเหมือนเครื่องบินสองเครื่องยนต์ เครื่องยนต์หนึ่งคือ ความต้องการลงทุน (กองทุน, ETF, กระแสการเก็งกำไร) อีกเครื่องยนต์หนึ่งคือ ความต้องการอุตสาหกรรม (แผงโซลาร์เซลล์, อิเล็กทรอนิกส์, รถยนต์ไฟฟ้า) และตอนนี้ทั้งสองเครื่องยนต์กำลังทำงานพร้อมกัน จึงอธิบายได้ว่าทำไมราคาถึงทะยานขึ้น


1. ผลตอบแทนที่แท้จริงและนโยบายการเงิน

โลหะมีค่ามีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยที่หักด้วยเงินเฟ้อแล้ว) เมื่อผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง ไม่ว่าจะจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หรือจากการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลาง การถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนอย่างเงินจึงน่าดึงดูดยิ่งขึ้น


ในปี 2025 ตลาดค่อย ๆ สะท้อนถึงการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งผลให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และหนุนราคาของโลหะมีค่า ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาพุ่งขึ้น


2. กระแสเงินลงทุนและกองทุน ETF

กองทุน ETF เงินทำหน้าที่เป็นช่องทางตรงและรวดเร็วในการนำเงินทุนเข้าสู่ตลาดเงิน


เมื่อทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันแห่เข้าซื้อผลิตภัณฑ์ประเภท SLV ทำให้เกิดความต้องการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยากที่จะตอบสนองได้ด้วยการขายในตลาด Spot เพียงอย่างเดียว


3. ความต้องการภาคอุตสาหกรรม: พลังงานแสงอาทิตย์ อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ไฟฟ้า

ด้านอุตสาหกรรมของเงินไม่ใช่เรื่องเล็ก เงินถูกใช้จำนวนมากใน แผงโซลาร์เซลล์ (PV), หน้าสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์ และการใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และอุปกรณ์ 5G


รายงาน World Silver Survey 2025 และงานวิจัยอุตสาหกรรมชี้ถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในเอเชียตะวันออก รวมถึงรอบการเปลี่ยนทดแทนที่ยังคงดำเนินต่อไป


เพียงแค่ความต้องการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเล็กน้อยก็มีผลมาก เนื่องจากการใช้ในอุตสาหกรรมรวมแล้วมากกว่าหลายร้อยล้านออนซ์ต่อปี แรงหนุนเชิงโครงสร้างนี้จึงช่วยเสริมทัพต่อการเคลื่อนไหวที่ขับเคลื่อนด้วยนักลงทุน


4. อุปทานและภาวะขาดดุล

แม้การผลิตจากเหมืองจะฟื้นตัวหลังยุคโควิด แต่อุปทานทั่วโลกยังคงจำกัด โดยเฉพาะเหมืองเงินหลักที่มีอยู่น้อย


นักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของอุปทานจากเหมืองยังคงอยู่ในระดับจำกัด และมักต้องพึ่งพาการรีไซเคิลหรือผลพลอยได้จากเหมืองโลหะอื่น ทำให้ตลาดอ่อนไหวต่อการพุ่งขึ้นของความต้องการ


5. ปัจจัยมหภาคและการป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์

ความไม่แน่นอนระดับโลก เช่น ความเสี่ยงด้านนโยบาย ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ หรือความกังวลเชิงระบบ ล้วนขับเคลื่อนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย


แม้ทองคำจะเป็นผู้ชนะหลัก แต่เงินก็มักปรับตัวขึ้นตามเช่นกัน เนื่องจากถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่มี Leverage ต่อทองคำ หรือเป็นเกราะป้องกันที่มีราคาถูกกว่าโลหะมีค่าอื่น


การที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดในเดือนกันยายน 2025 ก็ได้ดึงราคาเงินให้ทะยานขึ้นตามแรงซื้อเพื่อการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน


การเปรียบเทียบผลตอบแทนของเงินและทองคำในปี 2025

เงิน vs ทองคำ

คำถามหนึ่งที่นักลงทุนมักถามคือ เงินทำผลงานเมื่อเทียบกับทองคำได้อย่างไร? ณ ไตรมาส 3 ปี 2025 ทองคำปรับขึ้นราว 15% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่เงินพุ่งขึ้นเกือบ 50%


การปรับตัวที่เหนือกว่ามาจากบทบาทคู่ของเงิน: ได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวกับทองคำ และยังได้อานิสงส์จากความต้องการอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในภาคพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs)


ราคาเงินยังคงถูกประเมินต่ำเมื่อเทียบกับทองคำหรือไม่?

อัตราส่วนทองคำต่อเงิน (Gold-to-Silver Ratio) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดมูลค่า ปรับแคบลงจากกว่า 80 ในช่วงต้นปี 2024 เหลือระดับกลาง ๆ ที่ 70 กว่า ในเดือนกันยายน 2025


ในอดีต อัตราส่วนที่ใกล้ 60 มักเกิดขึ้นในช่วงตลาดกระทิงของเงิน ซึ่งบ่งชี้ว่า เงินอาจยังถูกประเมินต่ำเมื่อเทียบกับทองคำ หากความต้องการอุตสาหกรรมยังคงแข็งแกร่ง


กระแสราคาจะไปต่อหรือไม่? มุมมองและการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ

การคาดการณ์ราคาเงิน

บรรดาสถาบันวอลล์สตรีทและบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์มีมุมมองแตกต่างกันอย่างมาก บางฝ่ายมองว่าการพุ่งขึ้นในปี 2025 เป็นเพียงการเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่อีกหลายฝ่ายมองว่าเป็นโอกาสเชิงโครงสร้าง ตัวอย่างเช่น


1) มุมมองขาขึ้น :

ธนาคารและนักกลยุทธ์บางรายชี้ว่า การลดลงอย่างต่อเนื่องของผลตอบแทนที่แท้จริง การขยายตัวของเหมืองที่จำกัด และความต้องการอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น (PV, EV) อาจผลักดันราคาเงินให้ทะลุ 50 ดอลลาร์/ออนซ์ และท้าทายระดับสูงสุดในรอบหลายปี


กระแสซื้อจาก ETF และการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงยังเป็นตัวหนุนเพิ่มเติม


2) มุมมองที่เป็นกลางและอนุรักษ์นิยม:

ธนาคารใหญ่หลายแห่งเคยคาดการณ์ฐานราคาสำหรับปี 2025 ไว้ที่ 30–36 ดอลลาร์ โดยอ้างอิงค่าเฉลี่ยระยะยาว และสมมติฐานว่าการเติบโตของอุปสงค์อุตสาหกรรมจะถูกชดเชยด้วยอุปทานและการรีไซเคิล


อย่างไรก็ตาม หลายสถาบันได้ปรับประมาณการขึ้นในปี 2025 เมื่อแรงโมเมนตัมเพิ่มขึ้น


ฉันทามติที่เป็นจริงในปัจจุบัน: นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าราคาเงินอาจแกว่งในกรอบ 35–55 ดอลลาร์ ตลอด 6–12 เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยหลักจากนโยบายมหภาคและการพัฒนาในอุตสาหกรรม ขณะที่ ระดับ 50 ดอลลาร์ กลายเป็นแนวต้านเชิงจิตวิทยาและเทคนิคที่ต้องจับตา


อุปสงค์และอุปทานบอกอะไรเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของราคาเงินในระยะยาว?

เพื่อตอบคำถามว่าราคาจะไปต่อได้หรือไม่ ต้องมองที่สมการทางกายภาพ: ปริมาณเงินที่ผลิต รีไซเคิล ใช้ในอุตสาหกรรม และซื้อโดยนักลงทุน


1. ตัวเลขอุปทานหลัก

การผลิตเหมืองทั่วโลกในปี 2025 ประมาณ 835 ล้านออนซ์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่ไม่ใช่การพุ่งแรง


อุปทานมีการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์ และพึ่งพาเหมืองเงินหลักผสมกับการผลิตพลอยได้จากเหมืองโลหะพื้นฐาน (ตะกั่ว/สังกะสี)


2. ตัวเลขอุปสงค์หลัก

ความต้องการภาคอุตสาหกรรม : เอเชียตะวันออกและความต้องการในแผงโซลาร์เซลล์ (PV) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ The Silver Institute รายงานว่าความต้องการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2024–2025 โดยเฉพาะในอิเล็กทรอนิกส์และพลังงานทดแทน แม้การเติบโตเพียงเล็กน้อยก็หมายถึงหลายล้านออนซ์


ความต้องการลงทุน : กระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทำให้ความต้องการลงทุนกลายเป็นตัวแปรสำคัญ แม้การผลิตคงที่ แต่การซื้อจาก ETF อย่างต่อเนื่องก็สามารถสร้างภาวะขาดดุลได้


รีไซเคิลและอุปทานทดแทน

การรีไซเคิลช่วยชดเชยความต้องการอุตสาหกรรมบางส่วน แต่มีความอ่อนไหวต่อราคา ยิ่งราคาสูงยิ่งกระตุ้นการรีไซเคิล ซึ่งอาจกดดันราคาในระยะยาว


อย่างไรก็ตาม การรีไซเคิลต้องใช้เวลาในการขยายตัว ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อการพุ่งขึ้นของราคาในระยะสั้นได้ทันที ซึ่งส่งผลต่อแรงโมเมนตัมของตลาด


ปัจจัยขาขึ้น vs. ขาลงของราคาเงิน

ปัจจัย แนวโน้มขาขึ้นสำหรับราคาเงิน แนวโน้มขาลงสำหรับราคาเงิน
นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตรต่ำลง ท่าทีเข้มงวด (Hawkish) ของเฟด
ความต้องการภาคอุตสาหกรรม การเติบโตในโซลาร์ รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ
อุปทาน การขยายเหมืองจำกัด แหล่งผลิตกระจุกตัว การรีไซเคิลเพิ่มขึ้น หรือการเปิดเหมืองใหม่
ความสัมพันธ์ของทองคำ กระแสเงินลงทุนปลอดภัยดันราคาทอง → หนุนเงินขึ้น ราคาทองซบเซา ไม่ดึงเงินตาม


3 สถานการณ์ที่เป็นไปได้สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2025

ราคาเงินจะไปได้ไกลแค่ไหน?

1. กรณีฐาน: 42–52 ดอลลาร์ (ความน่าจะเป็น 50%)

เงินทุนไหลเข้าจาก ETF ยังคงดำเนินต่อไป แต่อยู่ในระดับปานกลาง เเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้ง ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลงเพียงเล็กน้อย ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง อุปทานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเหมืองแร่และการรีไซเคิล


เงินมีความผันผวนอยู่ระหว่าง 42-52 ดอลลาร์ โดยมีการพุ่งขึ้นเป็นครั้งคราวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยง ถือเป็นกรณีที่มีแนวโน้มมากที่สุดว่า "แนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป"


2. กรณีขาขึ้น: 50–70+ ดอลลาร์ (ความน่าจะเป็น 25%)

ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลงแรงจากการผ่อนคลายนโยบายของเฟด กองทุน ETF และสถาบันการเงินเพิ่มการจัดสรรเงินลงทุนอย่างรวดเร็ว อุปสงค์โซลาร์และอุตสาหกรรมพุ่ง แซงหน้าอุปทาน


การทะลุระดับ 50 ดอลลาร์จุดชนวนแรงซื้อแบบโมเมนตัม และอาจพุ่งถึง 70+ ดอลลาร์ได้หากเกิดเงินเฟ้อแรงหรือวิกฤตที่หนุนสินทรัพย์ปลอดภัย


3. กรณีขาลง: 30–40 ดอลลาร์ (ความน่าจะเป็น 25%)

เฟดเข้มงวดเกินที่ตลาดคาด ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงปรับขึ้น กระแสเงินไหลออกจาก ETF นักลงทุนกลับไปสู่หุ้น การผลิตเหมืองและรีไซเคิลเร่งตัว ลดภาวะตึงตัวของตลาด


เงินถอยลงในกรอบ 30–40 ดอลลาร์ ต้องอาศัยเซอร์ไพรส์ด้านเศรษฐกิจ (การเติบโตดีเกินคาด ดอกเบี้ยสูงขึ้น) และอุปสงค์อุตสาหกรรมชะลอตัว


ความเสี่ยงหรือสัญญาณเตือนที่อาจทำให้ราคากลับตัว

  • เฟดคุมเข้มนโยบายเร็วกว่าที่คาด หรือผลตอบแทนที่แท้จริงพุ่ง

  • การผลิตเพิ่มขึ้นมากผิดคาด

  • ความเสี่ยงด้านนโยบายหรือกฎระเบียบ

  • อุปสงค์โซลาร์หรืออิเล็กทรอนิกส์ชะลอตัว


คำถามที่พบบ่อย

1. หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในปี 2025 ราคาเงินจะเพิ่มขึ้นหรือไม่?

ใช่แล้ว ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักหนุนราคาเงิน เนื่องจากเงินถูกกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ ทำให้ต้นทุนสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศถูกลง


2. การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปี 2025 ส่งผลต่อราคาเงินอย่างไร?

การลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในเดือนกันยายน 2025 ได้ช่วยหนุนราคาเงินแล้ว และหากมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ราคามีโอกาสปรับสูงขึ้นอีก เพราะผลตอบแทนที่ลดลงทำให้โลหะมีค่ามีความน่าสนใจมากกว่าพันธบัตร


3. ในปี 2025 ราคาเงินมีผลงานเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับทองคำ?

ปีนี้เงินทำผลงานดีกว่าทองคำในแง่เปอร์เซ็นต์การปรับขึ้น เพราะเงินมีทั้งบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและโลหะอุตสาหกรรม เช่น ทองคำขึ้นประมาณ 15% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่เงินเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ภายในไตรมาส 3 ปี 2025


4. เงินเป็นการลงทุนที่ดีกว่าหุ้นหรือคริปโตในปี 2025 หรือไม่?

ใช่แล้ว เงินมีความผันผวนน้อยกว่าคริปโต และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่าหุ้นบางกลุ่มในปี 2025


5. ราคาเงินสามารถพุ่งไปถึง 55 ดอลลาร์ในปี 2025 ได้หรือไม่?

แม้เป้าหมาย 55 ดอลลาร์จะสูง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากเฟดลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดอลลาร์อ่อนค่า และความต้องการโซลาร์ยังคงพุ่งขึ้น เงินอาจเข้าสู่โซน 50–70 ดอลลาร์ได้


6. ราคาเงินเงินสามารถขึ้นไปได้สูงสุดเท่าไหร่ในเชิงความเป็นจริง?

แม้ว่าการคาดการณ์สุดโต่งถึง 100 ดอลลาร์จะมีให้เห็นทั่วไปบนอินเทอร์เน็ต แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าช่วง 55–70 ดอลลาร์คือเพดานที่เป็นไปได้ในปี 2025 ในกรณีมองบวก เว้นแต่จะเกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่


บทสรุป

โดยสรุปแล้ว การพุ่งขึ้นของราคาเงินในปี 2025 เกิดจากทั้งแรงโมเมนตัมและปัจจัยพื้นฐาน การที่ราคาจะไปต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่แท้จริง กระแสเงินลงทุนใน ETF และการเติบโตของอุปสงค์อุตสาหกรรม


ไม่ว่าจะอย่างไร เงินเป็นโลหะที่ตอบแทนผู้ที่มีความอดทน และเคารพต่อความผันผวน หากคุณมองมันเหมือนการวิ่งระยะสั้น คุณอาจขาดทุน แต่หากมองเป็นการลงทุนระยะยาวพร้อมการเทรดเชิงกลยุทธ์ตามสถานการณ์ มันสามารถเป็นส่วนสำคัญในพอร์ตการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงได้


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ราคาเงิน (Silver) ลดลงหลังคำปราศรัยของพาวเวลล์
จับตาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปี 2025: ปัจจัยและผลกระทบ
XAGUSD คืออะไร คู่เทรดสินทรัพย์ปลอดภัยที่โดดเด่นไม่แพ้ทอง
ภาพรวมโลหะที่ไม่ใช่เหล็กและการวิเคราะห์การลงทุน
ภาพรวม Silver Futures และกฎการซื้อขาย