เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-13
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งหลายฝ่ายรอคอย ได้ถูกเลื่อนออกไปอีกครั้ง เนื่องจากผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาล
เดิมทีรายงาน CPI ประจำเดือนตุลาคมของรัฐบาลสหรัฐฯ มีกำหนดเผยแพร่ในวันนี้ 13 พฤศจิกายน 2025 เวลา 08:30 น. ตามเวลา ET โดยสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ (Bureau of Labour Statistics: BLS) แต่จากสถานการณ์ชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐที่ยังยืดเยื้อ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่ารายงานดังกล่าวจะไม่สามารถเผยแพร่ได้ตามกำหนด
ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเมื่อไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อชุดใหม่ เฟดจะต้องเผชิญกับความไม่ชัดเจนด้านนโยบายก่อนการประชุมเดือนธันวาคม ขณะที่ตลาดการเงินเองก็ต้องรับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น
ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ และนักลงทุนหรือผู้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจควรปรับตัวอย่างไรในช่วงที่ข้อมูลสำคัญยังไม่ถูกเปิดเผย

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องดำเนินงานโดยไม่มีงบประมาณครบถ้วน ส่งผลให้พนักงานจำนวนมากถูกสั่งพักงาน (furlough) และกระบวนการปกติของหลายหน่วยงานต้องหยุดชะงัก
ตามข้อมูลถาม–ตอบ (Q&A) จาก “Friends of BLS” ระบุว่า สำนักสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) ไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลในหลายดัชนีสำคัญได้ นับตั้งแต่ชัตดาวน์เริ่มต้นขึ้น [1]
ผลลัพธ์คือ รายงาน CPI เดือนตุลาคม รวมถึงรายงานการจ้างงานเดือนตุลาคม อาจไม่สามารถจัดทำได้ครบถ้วนหรือมีคุณภาพเพียงพอที่จะเผยแพร่ตามมาตรฐานปกติ ทำเนียบขาวยังส่งสัญญาณว่า อาจไม่เผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อและการจ้างงานที่สำคัญ ตลอดช่วงที่ชัตดาวน์ยังดำเนินอยู่
| เดือน | CPI ทั้งปี (YoY) |
|---|---|
| มกราคม 2025 | 3.0% |
| กุมภาพันธ์ 2025 | 2.8% |
| มีนาคม 2025 | 2.4% |
| เมษายน 2025 | 2.3% |
| พฤษภาคม 2025 | 2.4% |
| มิถุนายน 2025 | 2.7% |
| กรกฎาคม 2568 | 2.7% |
| สิงหาคม 2568 | 2.9% |
| กันยายน 2568 | 3.0% |
ดัชนี CPI ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่ใช้วัดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เฟดใช้ CPI เป็นหมุดเข็มนำทางในการกำหนดนโยบายดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดใช้เป็นตัวตั้งความคาดหวังเรื่องการขึ้น–ลดดอกเบี้ยเมื่อไม่มีตัวเลขเดือนตุลาคม เฟดจึงเหมือนขาดเข็มทิศอีกหนึ่งอันสำคัญ
ผลกระทบโดยรวม
เฟดอาจต้องระมัดระวังมากขึ้น หรือชะลอการตัดสินใจด้านนโยบาย จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ
ตลาดอาจผันผวนมากขึ้น เพราะนักลงทุนต้องตีความข่าวและปัจจัยอื่น ๆ แทนข้อมูลเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้
เมื่อไม่มีตัวเลข CPI ล่าสุด เฟดอาจจำเป็นต้องอ้างอิงข้อมูลเก่าหรือใช้ตัวชี้วัดทางเลือกอื่น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการประเมินภาวะเงินเฟ้อคลาดเคลื่อน เปรียบเหมือนคำกล่าวที่ว่า “ถ้าคุณต้องขับรถในหมอก สิ่งที่คุณทำคือขับช้าลง”
หากอัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง (เช่น ใกล้ 3% YoY) เฟดอาจต้องชะลอการปรับลดดอกเบี้ยออกไป ในทางกลับกัน หากข้อมูลในภายหลังบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อชะลอลงจริง ตลาดอาจจะ “ตีราคาเกินจริง” ต่อความหวังในการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา
ตลาดการเงินไม่ชอบ “จุดบอดข้อมูล” และเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญขาดหายหรือประกาศล่าช้า มาตรวัดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค (เช่น ระดับราคา ความแข็งแรงของอุปสงค์) ก็จะ “พร่าเลือน” มากขึ้น
เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น:
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนตัว เพราะนักลงทุนประเมินทิศทางนโยบายของเฟดได้ยากขึ้น
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจผันผวนกว้างขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงเงินเฟ้อประเมินได้ยากกว่าเดิม
ตลาดหุ้นอาจเผชิญความปั่นป่วน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่อ่อนไหวต่อคาดการณ์เงินเฟ้อ เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มการเงิน

ไม่ว่าจะเป็นงบชั่วคราว (stopgap bill) หรือร่างงบเต็มรูปแบบ การยุติภาวะชัตดาวน์จะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ดังที่รายงานก่อนหน้าได้ชี้ให้เห็น การยุติชัตดาวน์ไม่ได้หมายความว่าทุกปัญหาจะกลับสู่ภาวะปกติทันที
แม้ชัตดาวน์ยุติลงแล้ว BLS จะยังต้องใช้เวลาเพื่อกลับมาดำเนินงานตามปกติ และจัดตารางใหม่สำหรับข้อมูลที่เลื่อนออกไป ติดตามประกาศปฏิทินเผยแพร่ข้อมูลชุดใหม่ จาก BLS ให้ใกล้ชิด
เครื่องติดตามเงินเฟ้อจากภาคเอกชน (เช่น แบบจำลองราคาจริงแบบเรียลไทม์) อาจช่วยเติมช่องว่างชั่วคราวในช่วงที่ไม่มีข้อมูล CPI อย่างเป็นทางการ
ให้ความสนใจข้อมูลด้านที่พักอาศัย พลังงาน และการเติบโตของค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่ปกติใช้คำนวณ CPI
นอกจากนี้ ควรติดตามผลสำรวจคาดการณ์เงินเฟ้อ อย่างใกล้ชิด เพราะในช่วงที่ไม่มีข้อมูลทางการ ผลสำรวจเหล่านี้อาจให้สัญญาณสำคัญต่อทิศทางตลาดได้
คอยจับตาถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่เฟดเกี่ยวกับพวกเขาต้องพึ่งพาข้อมูลเก่า (stale data) มากน้อยเพียงใด และมีแนวทางอย่างไรในการรับมือกับความไม่แน่นอนในช่วงที่ขาดข้อมูลสดใหม่ นอกจากนี้ การคาดการณ์ดอกเบี้ยผ่านสินค้าอนุพันธ์อย่าง Fed Funds Futures อาจมีความผันผวนหรือปรับตัวตามสัญญาณที่เฟดสื่อออกมา
ลดเลเวอเรจหรือลดน้ำหนักลงทุน ในสินทรัพย์ที่ไวต่อเงินเฟ้อสูง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) หรือสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อประเภทต่าง ๆ จนกว่าภาพรวมข้อมูลจะชัดเจนมากขึ้น
รักษาสภาพคล่อง (Liquidity) ให้เพียงพอ เพราะความไม่แน่นอนของข้อมูลทำให้ความเสี่ยงต่อการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของตลาดเพิ่มสูงขึ้น
เข้าใจว่าปัญหานี้ เป็นเพียงความสะดุดชั่วคราว ไม่ใช่การเปลี่ยนเทรนด์เชิงโครงสร้าง หากปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อหลัก เช่น ค่าจ้าง ที่อยู่อาศัย และซัพพลาย ยังคงอยู่ในทิศทางเดิม แนวคิดการถือสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อโดยรวมก็ยังมีเหตุผลรองรับ
ใช้ช่วงเวลานี้ในการประเมินพอร์ตใหม่ หากคุณจัดพอร์ตโดยคาดหวังว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับลด ความล่าช้านี้อาจทำให้คุณต้องปรับไทม์ไลน์ใหม่
หากดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า อาจเปิดโอกาสในสินทรัพย์ที่ไม่อ้างอิงดอลลาร์ เช่น ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ต้องเข้าใจว่าความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ควรมีการป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำ Hedging อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงความชะล่าใจ เพราะช่วงที่ข้อมูลเศรษฐกิจไม่ชัดเจน มักเป็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแรงกว่าปกติ
โดยสรุปแล้ว การเลื่อนประกาศรายงาน CPI เดือนตุลาคม 2025 ไม่ใช่แค่ “ปัญหาติดปฏิทิน” เล็ก ๆ แต่เป็นจุดบอดสำคัญของตลาด ในช่วงเวลาที่ทั้งนโยบายการเงินและทิศทางเศรษฐกิจกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ
คำแนะนำหลักคือ ควรมองช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ใช่ช่วงตื่นตระหนก ใช้เวลานี้ประเมินพอร์ตใหม่ หลีกเลี่ยงการทำสถานะที่ผูกกับเงินเฟ้อหนัก ๆ จนกว่าจะมีข้อมูลชัดเจน และรักษาความยืดหยุ่นของกลยุทธ์ลงทุน
เมื่อตัวเลข CPI ถูกเผยแพร่ในที่สุด ตลาดอาจตอบสนองแรงกว่าปกติ การเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ยังไม่แน่ชัด ทำเนียบขาวระบุว่า ทั้งรายงานการจ้างงานและรายงาน CPI เดือนตุลาคม อาจไม่ได้รับการเผยแพร่เลย เพราะข้อมูลที่เก็บไม่ครบถ้วนตั้งแต่ช่วงชัตดาวน์
แม้รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการแล้ว แต่ BLS อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือน กว่าการดำเนินงานจะกลับมาปกติและสามารถปล่อยข้อมูลได้อีกครั้ง
มีความเป็นไปได้ เพราะการขาดตัวเลขเดือนตุลาคมอาจทำให้ฐานอ้างอิงของการคำนวณเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม หรือถัดไป เกิดความบิดเบือน
สามารถใช้ตัวชี้วัดทางเลือก เช่น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เครื่องติดตามราคาจากภาคเอกชน และดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดเหล่านี้เองก็อาจเผชิญความล่าช้าหรือถูกรบกวนจากภาวะชัตดาวน์เช่นเดียวกัน
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
[1] https://www.friendsofbls.org/updates/2025/11/12/2025-government-shutdown-faqs-on-bls-data