เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-11 อัปเดตเมื่อ: 2025-11-12
ตลาดหุ้นจีนปิดผลประกอบการในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2025 ด้วยทิศทางขาขึ้นในดัชนีหลักหลายตัว การผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ดูไม่น่าลงทุนในสายตานักลงทุน ได้กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยเพิ่มการเข้าซื้อในตลาดมากขึ้น
ผู้จัดการกองทุนไพรเวทอิควิตี้ที่มุ่งเน้นการลงทุนในเอเชียเริ่มมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยคาดหวังว่าแนวทางของรัฐบาลปักกิ่งในการผลักดันความพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในระยะต่อไป
บริษัท Hillhouse Investment ระบุว่า “จีนมีแนวโน้มที่จะเป็นประเทศแรกที่สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันด้าน AI ได้อย่างก้าวกระโดด” เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว ต้นทุนต่ำ การใช้โมเดลโอเพ่นซอร์ส และฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่
ขณะที่ Primavera Capital ชี้ว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของจีนมากกว่าสหรัฐฯ ถึงสามเท่า และยังมีเงินทุนใหม่ไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งสร้าง “ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ต่อการปฏิวัติด้าน AI”
อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์จาก Evercore ISI ระบุว่า ความกว้างของตลาด (Market breadth) มีแนวโน้มจะยังคงอ่อนแอ โดยผลของมาตรการอุดหนุนการบริโภคจากภาครัฐที่เริ่มลดลง และภาวะซบเซาที่ยืดเยื้อของตลาดที่อยู่อาศัย จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตในปีหน้า
ในเดือนตุลาคม การส่งออกของจีนลดลงอย่างไม่คาดคิด เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศชะลอตัว หลังจากช่วงก่อนหน้าที่มีการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของแบบสำรวจจากรอยเตอร์ที่ประเมินไว้ว่า การส่งออกจะเติบโต 3.0%
เช่นเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ล่าสุดสะท้อนว่ากิจกรรมภาคการผลิตของจีนในเดือนตุลาคมเติบโตช้าลง อันเป็นผลจากการลดลงของคำสั่งซื้อส่งออกใหม่อย่างชัดเจน การชะลอตัวของแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ถือเป็นสัญญาณที่ไม่น่ายินดีนัก
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคม เนื่องจากช่วงวันหยุดยาวได้กระตุ้นความต้องการด้านการท่องเที่ยว อาหาร และการเดินทาง ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายรายมองว่า การฟื้นตัวดังกล่าวอาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

แรงกดดันด้านเงินฝืดทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยราคาสินค้าในเดือนสิงหาคมและกันยายนปรับตัวลดลง ซึ่งสถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับ “ทศวรรษที่สูญหาย” ของญี่ปุ่น ที่มีปัจจัยจากจำนวนประชากรที่ลดลงและความต้องการบริโภคที่อ่อนแรง
รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณถึงการปรับนโยบาย โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการบริโภคในช่วงห้าปีข้างหน้า หลังการลงทุนที่จำกัดและการส่งออกที่ชะลอตัวได้เผยให้เห็นถึงจุดเปราะบางของเศรษฐกิจ ถึงอย่างนั้น มาตรการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาในการส่งผลเชิงรูปธรรม
นักวิเคราะห์จาก Citigroup ระบุว่า “ข้อเสนอของรัฐบาลได้ให้คำมั่นอย่างชัดเจนว่าจะเพิ่มสัดส่วนการบริโภคใน GDP อีกทั้งปรัชญาด้านนโยบายการบริโภคก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นฝั่งอุปทาน มาเป็นการสร้างสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์”
ปัจจุบัน การบริโภคภาคครัวเรือนคิดเป็นเพียงประมาณ 40% ของ GDP ของประเทศ ซึ่งยังต่ำกว่าของสหรัฐฯ ที่อยู่เกือบ 70% ดังนั้น การตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการบริโภคให้ถึง 50% ภายในทศวรรษหน้าย่อมถือเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล
เทศกาลช้อปปิ้ง “618” สิ้นสุดลงด้วยยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันลดลงจากช่วงเวลาการจัดโปรโมชั่นที่ยาวนานขึ้นซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขณะเดียวกัน เทศกาล “ดับเบิล 11” ที่กำลังดำเนินอยู่จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มยอดค้าปลีก
ในส่วนของราคาสินค้าหน้าโรงงาน (Factory-gate prices) ลดลง 2.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งนับเป็นการอยู่ในแดนลบต่อเนื่องเป็นปีที่สาม อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการควบคุมการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเริ่มส่งผลบวกให้เห็น โดยกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนกันยายน
แม้ว่าตลาดหุ้น Wall Street จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งและทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง แต่มีแนวโน้มหนึ่งที่ดูเหมือนจะยังคงอยู่กับนักลงทุนไปจนถึงปีหน้า นั่นคือ “ความลังเลที่จะทุ่มลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ”
บริษัท EQT ระบุว่า ขณะนี้มีการปรับสมดุลของพอร์ตการลงทุนทั่วโลก (rebalancing) เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มประเมินการจัดสรรสินทรัพย์ของตนใหม่ ซึ่งถือเป็นโอกาสให้เงินทุนจำนวนมากไหลกลับเข้าสู่ตลาดเอเชีย
ตามรายงานของ Goldman Sachs นักลงทุนสหรัฐฯ กำลังเข้าซื้อหุ้นญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ยุค “อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) โดยได้รับแรงดึงดูดจากผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
สำนักข่าว Korea Economic Daily รายงานว่า นักลงทุนต่างชาติได้เข้าซื้อหุ้นเกาหลีใต้รวมมูลค่ากว่า 17.8 ล้านล้านวอนนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาส 3 เติบโตเร็วที่สุดในรอบหนึ่งปีครึ่ง
ขณะเดียวกัน กองทุน “Southbound” ที่ลงทุนผ่านโครงการ Stock Connect ของจีนมียอดซื้อสุทธิมากกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกงตั้งแต่ต้นปี ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดใช้โครงการนี้
ดัชนี Hang Seng มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูง และมีความเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศในระดับมาก ซีอีโอของ Nvidia นายเจนเซน หวง (Jensen Huang) กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “จีนจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันด้าน AI กับสหรัฐฯ” ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากหุ้นกลุ่ม H shares
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมเปิดเผยเพิ่มเติมว่า แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตของจีนเริ่มกลับมาให้บริการสินเชื่อผู้บริโภคอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ โดยมองว่าการที่รัฐบาลปักกิ่งผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคครัวเรือนลดลงนั้น เป็นสัญญาณว่าหน่วยงานกำกับดูแลอาจเริ่มผ่อนคลายการควบคุมเข้มงวดที่ดำเนินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ