简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

USDJPY จ่อแตะ 160 ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อและกระแสคาดการณ์การแทรกแซง

ผู้เขียน: Ethan Vale

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-25   
อัปเดตเมื่อ: 2025-11-26

ดอลลาร์ซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 156.48 เยนในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 ขณะที่นักลงทุนประเมินตัวเลขเงินเฟ้อญี่ปุ่นที่ออกมาสูงกว่าคาด การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของญี่ปุ่น และคำเตือนสาธารณะครั้งใหม่จากโตเกียวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าหนุนค่าเงินเยน

USD/JPY ในช่วง 5 วัน

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คู่เงินเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 155.03–157.73 สะท้อนความผันผวนระหว่างวันในระดับสูงและการจับตาสัญญาณนโยบายอย่างใกล้ชิดจากนักลงทุน


ภาพรวมตลาดและปัจจัยที่ขับเคลื่อน USDJPY ในระยะสั้น

ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ทั่วประเทศญี่ปุ่นปรับขึ้น 3.0% เมื่อเทียบรายปีในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในเดือนกันยายน และสูงกว่า เป้าหมายเงินเฟ้อ 2.0% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างมีนัยสำคัญ

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของญี่ปุ่นใน 1 ปี

อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงนี้ช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี (JGB 10Y) ปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยอยู่ใกล้ 1.80% ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน หลังเคลื่อนไหวเหนือ 1.84% ในระหว่างวันก่อนหน้านี้ ซึ่งสองปัจจัยนี้ถือเป็นตัวขับเคลื่อนภายในประเทศที่สำคัญของค่าเงินเยนในเดือนนี้


ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นส่งสัญญาณความพร้อมในการเข้าดูแลตลาด หากการเคลื่อนไหวของค่าเงินเริ่ม “ไร้ระเบียบ” โดยระดับ 160 เยนต่อดอลลาร์ มักถูกมองว่าเป็นโซนที่ “มีนัยสำคัญเชิงนโยบาย”


เจ้าหน้าที่ยังเน้นย้ำถึงความร่วมมือกับสหรัฐฯ หากจำเป็น ส่งผลให้นักลงทุนต้องประเมินสมดุลระหว่างอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นที่อาจเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น กับความเสี่ยงของการแทรกแซงค่าเงินที่เป็นไปได้จริง


เงินเฟ้อญี่ปุ่น ผลตอบแทน JGB และส่วนต่างผลตอบแทนมีผลต่อ USDJPY อย่างไร?

กลไกที่เชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศเข้ากับอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างชัดเจน โดยเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งจะเพิ่มโอกาสที่ BOJ อาจเร่งเข้มงวดนโยบาย ซึ่งจะดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร JGB สูงขึ้น เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน อัตราผลตอบแทน JGB อายุ 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 1.80% สูงกว่าระดับเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนราว 40–60 จุดเบสิส

อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นใน 1 ปี

เมื่ออัตราผลตอบแทนของ JGB ขยับขึ้นเทียบกับพันธบัตรสหรัฐ ส่วนต่างผลตอบแทน (yield differential) จะลดลง ซึ่งอาจช่วยจำกัดแรงแข็งค่าของดอลลาร์ หรือแม้แต่สนับสนุนการแข็งค่าของเงินเยน ขึ้นกับทิศทางฝั่งอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน


ตลาดยังจับตาฝั่งสหรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นกัน โดยการยกเลิกการเผยแพร่ข้อมูล CPI สหรัฐประจำเดือนตุลาคม อันเกิดจากปัญหาด้านงบประมาณ ทำให้จุดข้อมูลสำคัญที่ใช้ประเมินแนวโน้มเฟดลดลง เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยครั้งถัดไป และกระตุ้นให้ความผันผวนในตลาดเงินตราต่างประเทศ (FX volatility) สูงขึ้น สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ได้เผยแนวปฏิบัติใหม่ชั่วคราวเกี่ยวกับตารางการรายงานข้อมูล ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลอยู่ระหว่างพิจารณาว่าข้อมูลใดสามารถเผยแพร่ได้ภายใต้ข้อจำกัดปัจจุบัน


สถานะการถือครอง การไหลของเงินทุน และกลไกการขยายความผันผวน

สถานะการเก็งกำไรในฟิวเจอร์สของเงินเยนยังคงอยู่ในระดับสำคัญ และมีศักยภาพในการขยายขนาดการเคลื่อนไหวของตลาดได้


ข้อมูลจาก CFTC ชี้ว่า สถานะสุทธิของนักลงทุนประเภทเก็งกำไร (non-commercial net positions) ในฝั่งเงินเยนลดลงจากประมาณ 79,500 สัญญาในเดือนกันยายน เหลือราว 46,300 สัญญาในสัปดาห์ล่าสุด สะท้อนว่าการถือสถานะในทิศทางเดียวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการปรับพอร์ตอย่างรุนแรงได้ หากมีข้อมูลใหม่ที่บังคับให้นักลงทุนต้องรีบาลานซ์อย่างเร่งด่วน


นอกจากนี้ ตลาดยังเห็นการเบ้ของออปชัน (option skew) ในระดับสูงและต้นทุนการเฮดจ์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้การเดิมพันในทิศทางเดียว (one-way bets) มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน


กระแสเงินทุนของภาคธุรกิจและความต้องการนำเงินกลับประเทศของบริษัทญี่ปุ่นในช่วงปิดไตรมาสก็มีผลเช่นกัน เมื่อกระทรวงการคลัง (MOF) แสดงท่าทีพร้อมดำเนินการหากจำเป็น การผสมผสานระหว่างกระแสเก็งกำไรขนาดใหญ่ และสัญญาณความพร้อมด้านนโยบายภาครัฐ จึงสร้างความเป็นไปได้ที่จะเกิดความผันผวนรุนแรงแบบฉับพลันจากปัจจัยเชิงนโยบาย


กรอบการวิเคราะห์ทางเทคนิคและระดับสำคัญสำหรับนักเทรด

USD/JPY ใน 1 เดือน

ในเชิงเทคนิค คู่เงิน USDJPY เคลื่อนไหวในกรอบระยะสั้นระหว่างประมาณ 155–157.7 ตลอดสัปดาห์นี้ โดยมีโซนแนวรับใกล้ระดับต้น ๆ ของช่วง 150 และแนวต้านในช่วงกลางถึงปลายของช่วง 150 นักลงทุนจำนวนมากมองว่า ระดับ 160 เป็น “แนวต้านเชิงจิตวิทยา” และเป็นเขตที่มีความอ่อนไหวต่อการแทรกแซงจากภาครัฐ


หากราคาทะลุเหนือ 157.5 อย่างมั่นคง โอกาสที่ราคาจะเร่งตัวขึ้นแตะ 160 ภายในไม่กี่สัปดาห์จะเพิ่มขึ้น แต่หากราคาหลุดลงต่ำกว่า 152 อย่างชัดเจน จะเป็นสัญญาณของการแข็งค่าของเงินเยน และสะท้อนการปรับมุมมองตลาดต่อส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรกลับลงมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ค่า Implied Volatility ของออปชันระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนความคาดหวังต่อความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้นในระดับสูง


ความเสี่ยงการแทรกแซง เครื่องมือนโยบาย และบริบททางประวัติศาสตร์

โตเกียวยังคงถือครอง ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก และมีเครื่องมือหลายรูปแบบ เช่น การส่งสัญญาณด้วยถ้อยแถลง (verbal intervention) การประสานงานกับสหรัฐฯ และการเข้าแทรกแซงโดยตรงผ่านการเข้าซื้อเงินเยนในตลาด ที่ปรึกษาระดับสูงของนายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังได้ย้ำว่า ญี่ปุ่นพร้อมใช้ทุนสำรองในการซื้อเงินเยนหากจำเป็น


ประวัติศาสตร์ชี้ว่า การแทรกแซงสามารถช่วยเปลี่ยนโมเมนตัมระยะสั้นของตลาดได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะปรับสมดุลระยะยาว เว้นแต่จะมีการปรับนโยบายร่วมกันในวงกว้าง ในตอนนี้ ราคาตลาดสะท้อนความเป็นไปได้ที่สูงขึ้นของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติ (rate normalisation) พร้อมกับความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจแทรกแซงอย่างเป็นทางการ หาก USDJPY ทะลุและยืนเหนือระดับ 160 ได้


3 สถานการณ์ที่เป็นไปได้ในอีก 3–6 เดือนข้างหน้า

เงินเยนของญี่ปุ่น

กรณีขาขึ้น (Bull Case) สำหรับ USDJPY

หากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตดีกว่าคาด และบรรยากาศการรับความเสี่ยงของตลาดโลกอ่อนแอลง ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและมีโอกาสทดสอบช่วง 160–165 โดยเฉพาะในกรณีที่ BOJ ปรับนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป และรัฐบาลญี่ปุ่นไม่เข้าแทรกแซงในวงกว้าง ภายใต้สภาพเช่นนี้ ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงด้วยออปชัน (option hedging) จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กรณีกลาง (Base Case) สำหรับ USDJPY

ความเป็นไปได้สูงที่สุดคือการเคลื่อนไหวแบบทรงตัวในกรอบ 152–158 ตลาดจะจับตากำหนดการใหม่ของข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐ การประชุม BOJ เดือนธันวาคม และสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับขอบเขตของการแทรกแซงค่าเงิน คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวแบบเป็นกรอบ (range trading) สลับกับการแกว่งตัวตามข่าวพาดหัวในช่วงเวลาสั้น ๆ

กรณีขาลง (Bear Case) สำหรับ USDJPY

หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาดเมื่อมีการเผยแพร่ หรือหากรัฐบาลญี่ปุ่นลงมือแทรกแซงเร็วและได้ผล พร้อมกับ BOJ ส่งสัญญาณว่าการปรับนโยบายกลับสู่ภาวะปกติจะช้าลง USDJPY อาจอ่อนลงกลับไปแถวช่วง ต่ำกว่า 150 กลาง ๆ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันระยะสั้นบางส่วน


ในทุกสถานการณ์นักลงทุนควรประเมินขนาดสถานะลงทุนตามระดับความผันผวนที่คาดการณ์ได้ และติดตามการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด


ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับนักเทรดและฝ่ายบริหารเงิน

  1. ประเมินอายุสัญญาเฮดจ์ (hedge tenor) ใหม่ เนื่องจากค่า Implied Volatility อยู่ในระดับสูงและมีความเป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายอย่างฉับพลัน

  2. พิจารณาใช้โครงสร้างออปชัน เพื่อบริหารความเสี่ยงปลายหาง (tail risk) ในช่วงที่ต้นทุนเฮดจ์แบบตรงไปตรงมามีราคาแพง

  3. ติดตามความเคลื่อนไหวของ JGB รายวัน, ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US Treasury yields) และข้อมูลสถานะการถือครองเก็งกำไรจาก CFTC เพื่อจับสัญญาณการไหลของเงินทุน

  4. จับตาคำแถลงของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นและสุนทรพจน์จาก BOJ รวมถึงผลประมูลพันธบัตรที่อาจส่งผลต่อสภาพคล่อง โดยตารางประมูลล่าสุดของ MOF บ่งชี้ถึงการออกพันธบัตรและโครงการซื้อคืนที่ยังเดินหน้าต่อ ซึ่งล้วนส่งผลต่อโครงสร้างอัตราผลตอบแทน

ปฏิทินข้อมูลและเหตุการณ์ที่ต้องติดตาม

  1. ความเคลื่อนไหวและคำแถลงของ BOJ ตลอดจนบันทึกการประชุมก่อนช่วง “หน้าต่างนโยบายเดือนธันวาคม”

  2. การเผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐที่ถูกกำหนดใหม่ และข้อมูลการจ้างงานถัดจากนั้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการปรับความคาดหวังเส้นทางดอกเบี้ยของเฟด

  3. ตารางประมูล JGB และแผนการออกพันธบัตร โดยตัวเลขการออกพันธบัตรเดือนพฤศจิกายนที่ ราว ¥250 พันล้าน ถูกระบุไว้ในเอกสารล่าสุดของ MOF


บทสรุป: ความผันผวนยังสูง โดยนโยบายยังเป็นปัจจัยนำตลาด

USDJPY กำลังเคลื่อนไหวในสภาวะที่เงินเฟ้อญี่ปุ่นและผลตอบแทน JGB ที่เพิ่มขึ้นกลับมามีบทบาทสำคัญ ขณะเดียวกัน ท่าทีพร้อมแทรกแซงของรัฐบาลโตเกียว ทำให้ระดับเหนือ 160 มีมิติทางการเมืองมากขึ้นกว่าปกติ


การยกเลิกการรายงาน CPI สหรัฐประจำเดือนตุลาคม เพิ่มความไม่แน่นอนในระยะสั้นเกี่ยวกับเส้นทางนโยบายของเฟด ทำให้ทั้ง การแกว่งตัวในกรอบ และ การดีดตัวรวดเร็วตามข่าว ล้วนเป็นไปได้ในช่วงนี้ ผู้เข้าตลาดควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม การประเมินต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และการติดตามคำแถลงทางการเงินและข้อมูลสถานะการถือครองอย่างใกล้ชิด


คำถามที่พบบ่อย

1. อัตรา Core CPI ล่าสุดของญี่ปุ่นอยู่ที่เท่าไหร่ และมีผลต่อ USDJPY อย่างไร?

Core CPI ทั่วประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 3.0% เมื่อเทียบรายปีในเดือนตุลาคม เงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงทำให้ ความเป็นไปได้ที่ BOJ จะเข้มงวดนโยบายเพิ่มขึ้น, ดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (JGB yields) สูงขึ้น และส่งผลต่อค่าเงิน USDJPY โดยตรงผ่าน ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตร (yield differentials)

2. ระดับใดของ USDJPY ที่ทำให้ความเสี่ยงการแทรกแซงจากรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น?

นักลงทุนมักมองว่าโซน 160 เยนต่อดอลลาร์ คือระดับที่มีความเสี่ยงต่อการแทรกแซงมากที่สุด โตเกียวได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมดำเนินการหากความเคลื่อนไหวของค่าเงินเริ่มกระทบเสถียรภาพ ทำให้การทะลุระดับนี้แบบยืนราคา (sustained breach) มี ความอ่อนไหวทางการเมืองสูงขึ้น

3. การยกเลิกการรายงาน CPI สหรัฐส่งผลอย่างไรต่อตลาด FX และ USDJPY?

การยกเลิก CPI เดือนตุลาคมของสหรัฐทำให้ตลาดขาดจุดยึดสำคัญในการประเมินเส้นทาง ดอกเบี้ยของเฟดในระยะสั้น, เพิ่มความไม่แน่นอนและผลักดันให้ Implied Volatility ในตลาด FX สูงขึ้น นักเทรดจำเป็นต้องรอข้อมูลชุดถัดไปเพื่อปรับความคาดหวังใหม่

4. ฝ่ายบริหารเงิน (Corporate Treasurers) ควรปรับกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงอย่างไรท่ามกลางความเสี่ยงของ USDJPY ในปัจจุบัน?

ควรประเมินอายุสัญญาเฮดจ์ (hedge tenor) ใหม่ ใช้โครงสร้างออปชันเพื่อลดความเสี่ยงปลายหาง (tail risk) ติดตามความเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรและสัญญาณจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนจากการดำเนินนโยบาย การใช้กลยุทธ์แบบแบ่งชั้น (layered strategies) จะช่วยกระจายต้นทุนและบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
USD/JPY พุ่งขึ้นท่ามกลางความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่น
หุ้นเอเชีย–แปซิฟิกฟื้นตัวแรง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เฟดอาจลดดอกเบี้ย
USD/JPY ทะยานต่อ รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ ที่ยังทรงตัวสูง
USDJPY ทะลุ 157 ทำจุดสูงใหม่! ความเสี่ยงแทรกแซงค่าเงินเพิ่มสูงขึ้น
เฟดลดดอกเบี้ยแรงสุดรอบ 3 ปี สัญญาณจบรอบหรือเริ่มใหม่?