กลยุทธ์เทรด Jim Simons: ทำไม Renaissance ถึงชนะตลาด
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

กลยุทธ์เทรด Jim Simons: ทำไม Renaissance ถึงชนะตลาด

ผู้เขียน: Rylan Chase

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-30

Jim Simons ไม่ได้ชนะตลาดจากการค้นพบสัญญาณลับเพียงตัวเดียว เขาสร้าง “เครื่องจักรวิจัย” ที่มองตลาดเป็นชุดข้อมูลที่มีสัญญาณรบกวนสูง (noisy dataset) แล้วค่อย ๆ เก็บความได้เปรียบเล็ก ๆ ที่เกิดซ้ำได้จริง ในสเกลใหญ่ ทุกวัน และในสินทรัพย์จำนวนมาก


นี่คือเหตุผลที่ผู้คนยังพูดถึง Renaissance Technologies ว่าเป็นบริษัทเทรดระดับตำนาน หนึ่งเดียวในยุค และเป็นหนึ่งในเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งที่แทบไม่มีใครนอกองค์กรเคยเห็นโค้ดจริงของพวกเขาเลย


บทความนี้อธิบายกลยุทธ์ในแบบที่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรารู้ ชัดเจนกับสิ่งที่เราไม่รู้ และให้แนวคิดสำหรับเทรดเดอร์ที่อยากเรียนรู้ “วิธีคิด” โดยไม่ตกหลุมพรางตำนานเลียนแบบ


ประเด็นสำคัญ

  • Renaissance ประสบความสำเร็จจากการทำงานเหมือน “โรงงานผลิตกลยุทธ์” ที่สะสมความได้เปรียบเล็ก ๆ จำนวนมากซึ่งทำซ้ำได้จริง แทนที่จะพึ่งไอเดียเทรดไม้เดียวเปลี่ยนชีวิต


  • ผลตอบแทนของกอง Medallion ที่ถูกรายงานนั้นโดดเด่นมาก แต่กองทุนถูกปิด ไม่รับเงินใหม่ มีข้อจำกัดด้านขนาด และตั้งใจทำให้ไม่โปร่งใส จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะลอกเลียนแบบในทางปฏิบัติ


  • บทเรียนที่นำไปใช้ได้จริง คือวินัยด้านการวิจัย การบริหารความเสี่ยง และการใส่ใจกับต้นทุน มากกว่าการหาอินดิเคเตอร์หรือรูปแบบกราฟใดรูปแบบหนึ่ง



Jim Simons คือใคร และเขาสร้างอะไรต่อโลก?

Jim Simons Trading Strategy

Simons เป็นนักคณิตศาสตร์ ก่อนจะกลายเป็นนักลงทุนชื่อดัง และเขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เทรดเดอร์สายดิสเครชันนารีจำนวนมากทำได้ยาก นั่นคือ การเชื่อมั่นในกระบวนการมากกว่าความรู้สึก


เขามองตลาดเหมือนโจทย์วิศวกรรม เป้าหมายไม่ใช่การทำนายถูกครั้งใหญ่ แต่คือการค้นหาสัญญาณที่อาจเล็กมาก ทว่ามีความน่าเชื่อถือเชิงสถิติ แล้วจัดขนาดความเสี่ยงให้เหมาะสม


Simons ยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างจากห้องเทรดทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ในการบรรยายปี 2007 เขาระบุว่าบริษัทเลือกจ้างนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเงินเลย


การตัดสินใจเลือกบุคลากรนั้นคือกลยุทธ์หลัก หากจุดแข็งของคุณอยู่ที่ข้อมูลและการจดจำรูปแบบกราฟ คุณจำเป็นต้องมีบุคคลที่อุทิศชีวิตให้กับข้อมูลและการจดจำรูปแบบเหล่านั้น


Jim Simons เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2024 ด้วยวัย 86 ปี และมีคำไว้อาลัยหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก โดยเน้นย้ำว่าเขาคือหนึ่งในผู้กำหนดทิศทางของการเทรดเชิงปริมาณสมัยใหม่อย่างแท้จริง


สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Medallion

บริษัท Renaissance ไม่เคยเปิดเผยคู่มือการเทรดของ Medallion ดังนั้นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือ เริ่มจากข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือจากรายงานสาธารณะและเอกสารทางการ

หัวข้อ สิ่งที่ถูกรายงานต่อสาธารณะ ความสำคัญ
การก่อตั้ง บริษัท Medallion เริ่มดำเนินการในปี 1988 มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานพอที่จะครอบคลุมสภาวะตลาดหลายรูปแบบ
การเข้าถึงของนักลงทุน ตามรายงานข่าวที่อ้างอิงกันอย่างกว้างขวาง บริษัท Medallion ได้ปิดรับนักลงทุนภายนอกมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว การปิดทำการบ่งชี้ถึงข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตและความต้องการที่จะปกป้องส่วนปลายของตลาด
สไตล์กลยุทธ์ กล่าวกันว่าเป็นกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นเชิงปริมาณในสินทรัพย์หลากหลายประเภท การลงทุนระยะสั้นควบคู่กับการกระจายความเสี่ยง มักหมายถึงการลงทุนในโอกาสเล็กๆ หลายครั้ง
ผลตอบแทนระยะยาว รายงานสาธารณะระบุว่า รายได้ก่อนหักค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 66% ต่อปี และรายได้หลังหักค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 39% ต่อปี ในระยะยาว (เช่น ปี 1988–2021) ตัวเลขนั้นสุดขั้วมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม "วิธีการ" จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ค่าธรรมเนียม แหล่งข่าวสาธารณะระบุถึงค่าธรรมเนียมที่สูงมาก รวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดการที่อยู่ในหลักหน่วยกลาง ๆ และค่าธรรมเนียมจูงใจที่อาจสูงมากเช่นกัน ค่าธรรมเนียมที่สูงอาจยังคงสมเหตุสมผลได้หากผลตอบแทนสุทธิดีเยี่ยม


กลยุทธ์การเทรดแบบ Jim Simons

Jim Simons Trading Strategy

1) คุณภาพข้อมูล สำคัญกว่าความฉลาดของโมเดล

คนส่วนใหญ่มักโฟกัสที่โมเดลซับซ้อนหรือสูตรล้ำ ๆ แต่ความได้เปรียบที่แท้จริงมักอยู่ที่ “ข้อมูลต้นทาง”


เอกสารเปิดเผยการให้คำปรึกษาของ Renaissance ระบุว่า กระบวนการเชิงปริมาณของบริษัทใช้การให้คะแนนและจัดอันดับหลักทรัพย์ด้วยปัจจัยเชิงคาดการณ์ ซึ่งอาจรวมถึงความแข็งแรงทางการเงิน การเติบโตในอดีต ความคาดหวังกำไรในอนาคต และระดับมูลค่า ก่อนจะนำไปผ่านการคัดกรองเพิ่มเติม


แม้โมเดลของ Medallion จะเปลี่ยนไปตามเวลา แต่ปรัชญาพื้นฐานยังเหมือนเดิม คือ ข้อมูลสกปรกให้ผลลัพธ์ที่มีสัญญาณรบกวนสูง


ข้อคิดเชิงปฏิบัติ : เทรดเดอร์ที่จดบันทึกอย่างเป็นระบบ และใช้ชุดข้อมูลที่สม่ำเสมอ มักทำผลงานได้ดีกว่าเทรดเดอร์ที่เปลี่ยนอินดิเคเตอร์ทุกสัปดาห์


2) ข้อได้เปรียบเล็กๆ น้อยๆ เอาชนะการเทรดใหญ่ๆ เพียงครั้งเดียวได้

เรื่องเล่าในตำนานของเทรดเดอร์จำนวนมาก มักผูกกับการตัดสินใจครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่เรื่องราวของ Renaissance สร้างขึ้นจาก “ขนาดและความถี่”


ระบบของ Medallion อาศัยการซื้อขายจำนวนมากที่ทำงานประสานกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงภายใต้ความเสี่ยงต่ำ ครอบคลุมหลายสินทรัพย์ โดยใช้รูปแบบที่ยังคงซ่อนจากสายตาเทรดเดอร์ทั่วไป


ระบบแบบ ensemble คือมีสัญญาณย่อยหลายสิบหรือหลายร้อยตัว แต่ละตัวให้ความได้เปรียบเพียงเล็กน้อย


ข้อคิดเชิงปฏิบัติ : เป้าหมายควรอยู่ที่ไอเดียที่ทำซ้ำได้ ทดสอบได้ และนำไปใช้ได้หลายครั้ง เพราะการเทรดครั้งเดียว ไม่ได้สร้างสถิติผลงานระยะยาว


3) ระยะเวลาการถือครองสั้น เนื่องจากส่วนต่างกำไรมีน้อย

กลยุทธ์ระยะสั้นไม่ใช่เรื่องสไตล์การเทรด แต่เป็นการตัดสินใจเชิงธุรกิจ


เมื่อความได้เปรียบของคุณมีขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะมีสองทางเลือกคือ ทำซ้ำให้ได้จำนวนมาก หรือเพิ่มขนาดการถือครองและยอมรับการแกว่งตัวที่รุนแรงขึ้น


Medallion มักอธิบายว่าเป็นระบบเทรดหลายสินทรัพย์ ระยะเวลาสั้น ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างผลตอบแทนจากการทำซ้ำความได้เปรียบเล็ก ๆ จำนวนมาก กระจายการเดิมพันไปหลายเครื่องมือ มากกว่าการฝากความหวังไว้กับ “ไม้ใหญ่” เพียงครั้งเดียว


ข้อคิดเชิงปฏิบัติ : ความได้เปรียบในระยะสั้นจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อต้นทุนของคุณต่ำและการดำเนินการของคุณมีวินัย


4) ต้นทุนและการส่งคำสั่ง คือส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ไม่ใช่ส่วนเสริม

สำหรับการเทรดเชิงระบบ คำว่า “ต้นทุนธุรกรรม” ไม่ใช่แค่ตัวเลขในตาราง แต่คือเส้นแบ่งระหว่างโมเดลที่ทำกำไรได้ กับโมเดลที่ตายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ Medallion เลียนแบบได้ยาก เทรดเดอร์รายย่อยต้องเผชิญสเปรดที่กว้างกว่า การไถลของราคา และข้อจำกัดด้านการส่งคำสั่ง ที่สถาบันขนาดใหญ่ไม่ต้องเจอ


ข้อคิดเชิงปฏิบัติ : หากคุณต้องการซื้อขายบ่อยๆ คุณควรให้ความสำคัญกับสเปรด สภาพคล่อง และวินัยเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะมีข้อได้เปรียบหรือไม่


5) การควบคุมความเสี่ยง คือเคล็ดลับที่แท้จริง

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ล้มเหลวเนื่องจากการถือออเดอร์มากเกินไปหรือการเดิมพันที่สัมพันธ์กัน


การรายงานต่อสาธารณะระบุว่า Medallion สร้างผลตอบแทนสูงด้วยความเสี่ยงต่ำผ่านการซื้อและขายอย่างเป็นระบบในสินทรัพย์หลากหลายประเภท คำอธิบายนี้มีความสำคัญเพราะมันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงนั้นถูกวางแผนไว้ ไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังไว้


ข้อคิดที่นำไปใช้ได้จริง : คุณควรนิยามความเสี่ยงก่อน แล้วค่อยนิยามผลตอบแทน เพราะผลตอบแทนนั้นไม่แน่นอน แต่ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เลือกได้


6) วงจรงานวิจัยต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นรอบ ๆ

นักลงทุนที่ใช้ดุลยพินิจมักจะมี "แผนการซื้อขาย" ส่วนบริษัทที่ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณจะมี "แผนงานการซื้อขาย"


โมเดลหนึ่งจะถูกทดสอบ นำไปใช้งาน เฝ้าติดตาม และถูกปรับปรุงหรือปลดระวางอย่างเป็นระบบ เมื่อโครงสร้างตลาดเปลี่ยน สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การที่โมเดลล้มเหลว แต่คือคุณตรวจจับความล้มเหลวได้เร็วแค่ไหน และลดขนาดความเสี่ยงได้ไวเพียงใด


ข้อคิดที่นำไปใช้ได้จริง : คุณควรจัดการกับการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์เหมือนกับการอัปเดตซอฟต์แวร์ เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และวิธีการของคุณก็ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย


ทำไม Medallion ถึงลอกเลียนแบบได้ยากมาก

หลายคนพยายามจะลอก Renaissance ด้วยการมองหาสัญญาณลับหรืออินดิเคเตอร์วิเศษ ซึ่งนั่นคือการเล็งเป้าผิดตั้งแต่ต้น


ส่วนที่ยากต่อการลอกเลียนแบบ คือ ส่วนโครงสร้าง:

  1. คุณต้องการบุคลากรด้านการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถทำการทดลองได้หลายพันครั้งโดยไม่เกิดความผิดพลาด

  2. คุณต้องการคุณภาพการดำเนินงานที่ช่วยควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด

  3. คุณต้องมีขนาดและการกระจายการลงทุนที่มากพอ แต่ไม่มากจนทำลายความไร้ประสิทธิภาพของตลาดที่กำลังเก็บเกี่ยว

  4. คุณต้องมีวินัยทางอารมณ์ในการทำตามโมเดล ทั้งในช่วงที่ตลาดน่าเบื่อ และช่วงที่กดดันสูง ซึ่งยากกว่าที่หลายคนคิด


จะนำแนวคิดการเทรดแบบ Jim Simons มาใช้ได้อย่างไร โดยไม่ต้องแกล้งทำเป็น Renaissance

ชั้น ความหมาย ส่งผลต่อประสิทธิภาพอย่างไร สิ่งที่สามารถลอกเลียนแบบได้
ข้อมูล ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ สะอาด และสม่ำเสมอ ช่วยลดสัญญาณรบกวนและเพิ่มความเสถียรของสัญญาณ คุณสามารถดูแล watchlist ให้คงที่ และทำบันทึกการเทรดที่สะอาดเป็นระบบ
วิจัย การทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ช่วยป้องกันการ “เทรดตามเรื่องเล่า” และความมั่นใจเกินจริง คุณสามารถทำ backtest แบบง่าย ๆ และบันทึกผลลัพธ์อย่างตรงไปตรงมา
โมเดล สัญญาณหลายอย่างทำงานร่วมกัน มันช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งที่มาของความได้เปรียบ คุณสามารถใช้เช็คลิสต์แบบมีกฎเกณฑ์แทนการใช้แรงกระตุ้นได้
พอร์ตการลงทุน การจายการลงทุน ไม่ใส่ตัวเดียวหนักๆ  ช่วยลดการพึ่งพาผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวลง คุณสามารถจำกัดขนาดของตำแหน่งการลงทุนและหลีกเลี่ยงการซื้อขายที่มีความสัมพันธ์กันได้
การส่งคำสั่ง การควบคุมและวินัยด้านต้นทุน ช่วยให้ความได้เปรียบเล็ก ๆ ยังอยู่รอด คุณสามารถหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำและหลีกเลี่ยงคำสั่งซื้อขายตามราคาตลาดในสภาวะที่หุ้นมีสภาพคล่องน้อยได้
ความเสี่ยง ขีดจำกัดความเสี่ยงที่เข้มงวดและมีการติดตาม ปกป้องพลังการทบต้นของพอร์ต คุณสามารถตั้งขาดทุนสูงสุดต่อวัน และทำตามกฎนั้นอย่างเคร่งครัด


คุณสามารถดึงบทเรียนเชิงปฏิบัติจากเรื่องราวของ Renaissance มาใช้ได้ แม้ว่าคุณจะไม่มีวันบริหารกองทุนควอนต์ก็ตาม


เช็กลิสต์เทรดเดอร์สไตล์ Simons

  1. คุณควรพิจารณาการซื้อขายทุกครั้งเสมือนเป็นสมมติฐานที่อาจผิดพลาดได้

  2. คุณควรวัดผลลัพธ์ เพราะความจำของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด

  3. คุณควรสร้างกฎที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้แม้ในวันที่แย่ที่สุด

  4. คุณควรวางแผนไอเดียที่หลากหลาย เพราะการที่ธุรกิจหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อปีของคุณ

  5. คุณควรเลือกขนาดที่เล็กกว่าเมื่อไม่แน่ใจ เพราะความไม่แน่นอนมีอยู่เสมอ


นิสัยเหล่านี้อาจดูน่าเบื่อ แต่บ่อยครั้งที่มันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ


คำถามที่พบบ่อย

1. กลยุทธ์การเทรดของ Jim Simons คืออะไร?

Jim Simons พัฒนาระบบการเทรดแบบเป็นกระบวนการ ใช้ข้อมูลและสถิติเป็นหลัก ค้นหารูปแบบเล็ก ๆ ที่เกิดซ้ำได้ในราคาและสัญญาณต่าง ๆ แล้วนำมาใช้อย่างเป็นระบบในสเกลที่ใหญ่


2. Jim Simons เลือกหุ้นด้วยตัวเองหรือไม่

ไม่ใช่ แนวทางของ Renaissance เป็นระบบเทรดอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยทางคณิตศาสตร์และสถิติ ไม่ใช่การเลือกหุ้นตามดุลยพินิจของบุคคล


3. ทำไมกองทุน Medallion ถึงปิดไม่รับนักลงทุนภายนอก

เพราะกลยุทธ์ที่อาศัยความไม่มีประสิทธิภาพเล็ก ๆ ในตลาด หากมีเงินเข้ามามากเกินไป จะทำให้ความได้เปรียบหายไปจากผลกระทบของตลาดและความแออัดของผู้เล่น


4. เทรดเดอร์รายย่อยสามารถลอกเลียนกลยุทธ์ของ Jim Simons ได้หรือไม่?

รายย่อยสามารถนำ “วิธีคิด” มาใช้ได้ แต่ไม่สามารถลอกโครงสร้างทั้งหมดได้ สิ่งที่ทำได้คือการเทรดตามกฎ มีการกำหนดความเสี่ยงที่เหมาะสม และติดตามผลการเทรดอย่างมีวินัย


บทสรุป

โดยสรุป ความสำเร็จของ Renaissance เกิดจากการมองการเทรดเป็น “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” บริษัทเก็บข้อมูล ทดสอบแนวคิด รวมความได้เปรียบเล็ก ๆ จำนวนมากเข้าด้วยกัน และควบคุมความเสี่ยงด้วยความสม่ำเสมอ โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์หรือเรื่องเล่าของตลาดเข้ามามีอิทธิพล


กลยุทธ์การเทรดของ Jim Simons และมรดกที่แท้จริงของเขา ไม่ได้อยู่ที่เซตอัพลับใด ๆ แต่คือแนวคิดที่ว่า ความสม่ำเสมอในตลาดไม่ได้มาจากการทำนายถูกครั้งใหญ่ แต่มาจาก “กระบวนการ” ที่ทำซ้ำได้อย่างมีวินัย


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ


บทความแนะนำ
เปิดกลยุทธ์นักเทรดที่รวยที่สุดในโลก
เทคนิคการลงทุนโดย Jim Rogers
วิธีคิดของ Jim Rogers จากหนังสือ Investment Biker
ราคาทองคำวันนี้ (XAU/USD) ปรับตัวลดลง นักลงทุนจับตาข้อมูล GDP สหรัฐ
สิ่งที่คาดหวังจากผลประกอบการของ “Magnificent 7” สัปดาห์นี้