简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ตลาดร่วงแรงวันนี้เพราะอะไร? วิเคราะห์ปัจจัยกระทบและสัญญาณสำคัญ

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-18

ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) ในวงกว้าง โดยดัชนีหุ้นสำคัญในสหรัฐฯ และยุโรปปรับตัวลดลง พร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น


สินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันและทองคำอยู่ภายใต้แรงกดดัน ขณะที่บิตคอยน์ปรับตัวลงและคืนกำไรที่สะสมไว้ก่อนหน้า ท่ามกลางกระแสความเสี่ยงที่ลดลงของนักลงทุน


ภาพรวมตลาด

ภาพรวมตลาด

ในสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ร่วงประมาณ 0.9% มาที่ 6,625 และปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (ประมาณ 6,708) เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ สะท้อนถึงโมเมนตัมระยะสั้นที่อ่อนแรงลง ขณะที่ Nasdaq และ Dow ก็ปรับตัวลดลง 0.8–1.2% เช่นกัน


ในยุโรป ดัชนี STOXX 600 ลดลงจากสถิติสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว (~584) ลงมาที่ประมาณ 572 ส่วน FTSE 100 ร่วงติดต่อกันเป็นวันที่สาม แตะบริเวณ 9,675 (-0.2%)


ระดับความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก โดยดัชนี VIX กระโดดจากระดับกลาง 17 ขึ้นมามากกว่า 22 เพิ่มขึ้นกว่า 20% ภายในไม่กี่วัน


กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ก็ถูกกดดันเช่นกัน น้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวแถว ๆ 64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความกังวลอุปทานล้นตลาด ขณะที่ทองคำเคลื่อนไหวเหนือ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เล็กน้อย ลดลงราว 7% ในรอบเดือน จากแรงกดดันของดอลลาร์ที่แข็งค่าและความหวังการลดดอกเบี้ยที่เริ่มจางหาย


บิตคอยน์ร่วงลงต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์ ลบกำไรตั้งแต่ต้นปี 2025 และปรับตัวลงประมาณ 25–27% จากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจากผู้ถือรายใหญ่เริ่มขายทำกำไร และความต้องการความเสี่ยงของตลาดลดลง


สรุปคือ ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งที่แย่ในวันนี้ แต่เป็นภาวะ Risk-off แบบกว้างขวาง ครอบคลุมทั้งหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และบิตคอยน์ แล้วอะไรคือสาเหตุสำคัญ?


ปัจจัยกระตุ้นมหภาคที่สำคัญ: ธนาคารกลางและอัตราดอกเบี้ย

สาเหตุสำคัญที่สุดของการเทขายในรอบนี้ มาจากความคาดหวังต่อทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังเปลี่ยนไป


ตลอดช่วงปี 2025 ตลาดเคยตั้งราคาไว้กับ “เรื่องราวที่สวยงาม” ว่าเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ลดลง เศรษฐกิจยังเติบโตพอใช้ได้ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงประเทศอื่น ๆ จะทยอยลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2026 แต่ตอนนี้เรื่องราวนั้นกำลังถูกตั้งคำถาม


ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาแข็งกว่าคาด ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจยัง “ร้อนแรง” อยู่ ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรองประธาน Philip Jefferson ออกมาเบรกความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยย้ำว่าจะต้องดำเนินการอย่าง “ระมัดระวัง”


ผลลัพธ์คือ ความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมร่วงลงอย่างหนัก จากระดับ “เกือบชัวร์” เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เหลือเพียงประมาณ 40% ในตอนนี้


เมื่อความหวังการลดดอกเบี้ย หรือที่เรียกว่า rate-cut hopes เริ่มจางลง ตลาดจะตอบสนองแบบอัตโนมัติ 2 อย่าง:


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่สูงนานกว่าเดิม


ส่วนลดกระแสเงินสดในอนาคตเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ระยะยาว เช่น หุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยี


และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ดัชนีหุ้นทั่วโลกลดลงในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น


อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ดอลลาร์ และการประเมินมูลค่า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น บวกกับดอลลาร์ที่แข็งค่า คือส่วนผสมที่ “ไม่เป็นมิตร” อย่างยิ่งต่อสินทรัพย์ที่มูลค่าตึงตัวอยู่แล้ว


  • ดัชนีหุ้นโลกของ MSCI ปรับตัวลง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Treasury yields) ปรับขึ้น และธนาคารกลางต่าง ๆ ออกมาลดความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยแบบ aggressive

  • ดัชนี MSCI World Index ยังซื้อขายที่ระดับ P/E ราว 24 เท่า ซึ่งถือว่าไม่ถูกตามมาตรฐานในอดีต ทำให้ตลาดมี “กันชน” น้อย เมื่อเรื่องราวด้านดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยก็กระทบแรง


พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเริ่มต้นจากจุดที่ “ราคาแพง” คุณไม่จำเป็นต้องเจอวิกฤตใหญ่ แค่แรงสะกิดเล็ก ๆ ก็ทำให้ตลาดสั่นได้แล้ว และแรงสะกิดนั้นมาจากเฟดและข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งกว่าคาด ทำให้ตลาดต้องรีโพรไฟล์ความเสี่ยงกันใหม่ทั้งกระดาน


แรงขายในหุ้นเทค: เมื่อกระแส AI เผชิญหน้ากับความจริง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: S&P 500, Nasdaq และหุ้นเติบโต

Wall Street เพิ่งเผชิญวันที่แย่ที่สุดในรอบประมาณหนึ่งเดือน โดยมีหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเกี่ยวกับ AI ขนาดใหญ่เป็นตัวนำการร่วงลง


ดัชนี S&P 500 ร่วงลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ขณะที่ Nasdaq ลดลงราว 0.8–0.9% ในการซื้อขายล่าสุด พร้อมความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับ “ฟองสบู่ AI”


อย่าลืมว่า หุ้นเทคขนาดใหญ่เป็นพลังขับเคลื่อนตลาดตลอดปี 2025 เมื่อหุ้นนำตลาดเริ่มสั่นไหว กระแสเงินจากกองทุนแบบ Passive ก็ไหลย้อน และแรงขายกระจายไปทั่วทั้งตลาด แม้ในกลุ่มที่ดูไม่แพงก็ตาม จึงเห็นแรงขายกว้างขวางในหลายเซกเตอร์


จากมุมมองทางเทคนิค:


  • ขณะนี้ S&P 500 กำลังทดสอบโซน 6,670 ซึ่งเป็นแนวรับจากจุดต่ำก่อนหน้าและสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน

  • หากหลุดลงไป ระดับถัดไปที่จับตาคือบริเวณ 6,500 ซึ่งเป็นตัวเลขกลมสำคัญและเป็นโซน breakout เดิม


ตราบใดที่ราคายังยืนเหนือ 6,500 โครงสร้างยังถือเป็น “การย่อแรงภายในเทรนด์ขาขึ้น” ไม่ใช่สัญญาณเข้าสู่ตลาดหมีระยะยาวอย่างเป็นทางการ


ดัชนียุโรปและสหราชอาณาจักรถูกกดดันหนัก

ดัชนียุโรปและสหราชอาณาจักรถูกกดดันหนัก

ยุโรปและสหราชอาณาจักรกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสหรัฐฯ พร้อมความกังวลเฉพาะในภูมิภาค


  • ดัชนี STOXX 600 ซึ่งปิดทำสถิติสูงสุดราว 571 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปรับตัวลงมากกว่า 2% หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น และเฟดส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย ทำให้ความต้องการความเสี่ยงลดลง

  • ดัชนี FTSE 100 ร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่สาม อยู่แถว 9,675 ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มการเงินและเหมืองแร่ นักลงทุนกำลังรอข้อมูลเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรและงบประมาณใหม่


ยุโรปยังต้องรับมือกับความกังวลด้านการเติบโตและเสียงรบกวนทางการเมืองของตัวเอง แต่แรงขับเคลื่อนหลักยังเหมือนเดิม นั่นคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกที่สูงขึ้น และความเชื่อมั่นต่อสภาพคล่องง่าย ๆ ที่ลดลง


สินค้าโภคภัณฑ์ถูกกดดัน: น้ำมันและทองคำ

น้ำมันดิบ: อุปทานพุ่ง + กระแส Risk-off

น้ำมันดิบกำลังถูกกดดันจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและบรรยากาศตลาด


Goldman Sachs คาดว่าราคาน้ำมันอาจร่วงลงในปี 2026 จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยประเมิน Brent ที่ 56 ดอลลาร์ และ WTI ที่ 52 ดอลลาร์ และอาจหลุดลงไปในช่วง 40 ดอลลาร์ หากเกิดภาวะถดถอย


สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวราว 63–64 ดอลลาร์ ต่ำกว่าต้นปี โดยมีการปรับลงรายวันเล็กน้อย ระดับปัจจุบันเป็นเขตแนวรับระยะกลางในช่วงต้น 60 ดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงสะสมราคาต้นปี


หากหลุดแนวรับดังกล่าว มีโอกาสเปิดทางสู่ช่วงกลาง 50 ดอลลาร์ ซึ่งไม่ห่างจากคาดการณ์ปี 2026 ที่เริ่มแพร่หลาย


ในด้านความเชื่อมั่น กระแสหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) ที่กดดันหุ้นก็กระทบน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์เชิงวัฏจักร ทำให้เทรดเดอร์ลดการถือครองสินทรัพย์ที่ไวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ — และน้ำมันคือกลุ่มบนสุดในลิสต์นั้น


ทองคำ: ดอลลาร์แข็งค่ากดดัน Safe Haven

ทองคำกลายเป็นจุดที่เทรดเดอร์รายย่อยหลายคนสับสน: “ถ้าตลาดร่วง ทำไมทองไม่พุ่งแรง?”

ราคาทองคำสปอตเดือนพฤศจิกายน 2568

ความจริงตอนนี้ ทองคำกำลังลง ไม่ใช่ขึ้น:


  • ราคาทองคำสปอตอยู่แถว 4,038–4,040 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลงราว 7% ในรอบเดือน และร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4

  • ตัวการสำคัญคือ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และความหวังลดดอกเบี้ยที่ลดลง อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real yields) ที่สูงขึ้นทำให้ “ต้นทุนโอกาส” ของการถือทองซึ่งไม่มีดอกผลสูงขึ้นตาม


แม้ทองจะอ่อนตัวในระยะสั้น แต่ระดับราคายังสูงเมื่อเทียบกับไม่กี่ปีก่อน เพราะได้รับแรงหนุนจากการซื้อของธนาคารกลางและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นกำลังสร้างแรงกดดัน แม้ว่าหุ้นจะถูกเทขายก็ตาม


บิตคอยน์อยู่ตรงไหนในรอบการเทขายครั้งนี้?

บิตคอยน์กำลังแสดงพฤติกรรม ไม่ใช่ “ทองคำดิจิทัล” แต่เป็น สินทรัพย์เสี่ยงความผันผวนสูง (High-beta risk asset) มากขึ้น


เหรียญร่วงลงทำจุดต่ำสุดรอบ 6 เดือน ต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์ ลบกำไรทั้งหมดที่ทำได้ในปี 2025 และอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนตุลาคมราว 27%


นักวิเคราะห์ชี้ว่า สาเหตุหลักมาจากการขายของ “วาฬ” (Whale Selling)  การลดความเสี่ยงโดยรวมของนักลงทุน (De-risking) และแรงกดดันเดียวกับที่ถาโถมใส่หุ้นเติบโต ได้แก่ Bond yields สูงขึ้น และ ดอลลาร์แข็งค่า


จากมุมมองข้ามสินทรัพย์ บิตคอยน์กำลังเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเทคโนโลยี ไม่ใช่สวนทางกับเทคโนโลยี เมื่อ Nasdaq ร่วง บิตคอยน์ก็มักร่วงแรงกว่า ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ Risk-off แบบสอดคล้องกัน ไม่ใช่สินทรัพย์หลบภัย


สิ่งที่เทรดเดอร์และนักลงทุนกำลังถามมากที่สุดตอนนี้

นี่คือปี 2008 ซ้ำรอยเดิมหรือไม่?

คำตอบสั้นๆ คือ ไม่ อย่างน้อยตามข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้


ตลาดกำลังปรับฐานลงจากระดับสูงสุดหรือใกล้สูงสุดในสหรัฐฯ และยุโรป ขณะที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นสู่ช่วง low-20s ซึ่งยังต่ำมากเมื่อเทียบกับระดับ 50–80 ที่มักเกิดในวิกฤตการเงินเต็มรูปแบบ


ตลาดเครดิตและระบบการระดมทุนยังทำงานได้ตามปกติ ไม่มีสัญญาณของความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Stress) แม้ว่าตลาดอาจลงได้อีก แต่ภาพตอนนี้สะท้อนการปรับราคาแรง (Repricing) ในด้านอัตราดอกเบี้ยและมูลค่า มากกว่าจะเป็นปัญหาจากภาคธนาคาร


คิดแบบมืออาชีพ: ใช้ความน่าจะเป็น ไม่ใช่พาดหัวข่าว

ในตลาดแบบนี้ มืออาชีพจะไม่ถามว่า “ตลาดจะพังไหม?” แต่จะโฟกัสที่ “ความน่าจะเป็น” ของแต่ละสถานการณ์แทน


เช่น ความน่าจะเป็นว่าหากความหวังการลดดอกเบี้ยเริ่มจาง การปรับราคา (repricing) จะลงไปได้ลึกแค่ไหน ระดับแนวรับสำคัญอยู่ตรงไหนบ้าง (S&P 500 แถว 6,500; STOXX 600 ประมาณ 560–550; FTSE 100 ใกล้ 9,500) และมุมมองด้านการจัดพอร์ตบ่งชี้หรือไม่ว่ามีการบังคับขาย หรือเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการลดความเสี่ยง


แนวคิดแบบนี้ช่วยให้จุดสนใจขยับออกจากพาดหัวข่าว ไปสู่ระดับราคา ข้อมูล และกรอบเวลา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญจริง ๆ ต่อการประเมินตลาด


คู่มือปฏิบัติจริง: วิธีรับมือเมื่อตลาดถูกเทขายเป็นวงกว้าง

1. ยึดตามระดับ ไม่ใช่ตามอารมณ์

  • สำหรับ S&P 500 ช่วง 6,650–6,600 คือด่านทดสอบแรก หากหลุดลงไป ระดับ 6,500 คือเส้นสำคัญที่ต้องจับตา

  • ยุโรปและสหราชอาณาจักรก็มีโครงสร้างคล้ายกัน โดย STOXX 600 จับตาบริเวณ 584 และ FTSE 100 มองโซน 9,500–9,600


2. แยกให้ออกอะไร “เสียหายจริง” และอะไรแค่ “ถูกปรับราคา”

  • หุ้นกลุ่ม AI และเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงเกินตัว (high-multiple) สามารถร่วง 20–30% ได้ง่าย ๆ โดยที่เศรษฐกิจจริงไม่ได้ “พัง” แต่อย่างใด

  • ในขณะที่ธุรกิจที่มีเงินสดแข็งแรงมักถูกลากลงตามไปเพราะ ETF และกองทุนดัชนีปรับลดความเสี่ยงแบบกลไก


3. ให้ความสำคัญกับสัญญาณจากหลายสินทรัพย์

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น + ดอลลาร์แข็งค่า + น้ำมันอ่อนตัว + บิตคอยน์ถูกเทขายหนัก = สภาวะการเงินตึงตัว

  • ตราบใดที่ชุดสัญญาณนี้ยังอยู่ การดีดกลับรูปตัว V แบบรวดเร็วในสินทรัพย์เสี่ยงจะเกิดได้ยาก


4. คิดเป็น “ชั้น ๆ” ไม่ใช่แบบทุ่มหมดหน้าตักหรือถอนหมดหน้าตัก

  • มืออาชีพแทบไม่เคยขยับจาก 0% ไป 100% ความเสี่ยงในทันที แต่จะค่อย ๆ ปรับระดับ: ขายทำกำไรเมื่อราคาแพงเกินไป และทยอยเข้าซื้อเมื่อราคาแตะโซนแนวรับและความคุ้มค่าเริ่มดีขึ้น

  • นักลงทุนรายย่อยมักเจ็บหนักที่สุดเมื่อ “ใช้อารมณ์” คือขายทั้งหมดตอนต่ำสุด หรือไล่ซื้อจุดสูงสุด


คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. ตอนนี้คือตลาดพัง (Crash) หรือเป็นแค่การปรับฐาน?

ดูเหมือนเป็นการปรับฐานแรงจากระดับที่สูง ไม่ใช่วิกฤตแบบปี 2008 ความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีสัญญาณตึงตัวในระบบธนาคารหรือสินเชื่อ


2. ทำไมหุ้นเทคโนโลยีถึงร่วงมากขึ้น?

หุ้นเทค โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI มีมูลค่าสูงมากอยู่แล้ว เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและความหวังลดดอกเบี้ยหายไป หุ้นเติบโตที่มีระยะยาว (long-duration) จึงถูกกระทบหนักที่สุด


3. อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำร้ายตลาดอย่างไร?

ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ส่วนลดกระแสเงินสดในอนาคตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าหุ้นลดลง โดยเฉพาะหุ้นเติบโต นอกจากนี้ ดอกเบี้ยสูงทำให้พันธบัตรและเงินสดน่าสนใจกว่า จึงดึงเงินออกจากตลาดหุ้น


4. ทำไมทองคำลง ทั้งที่ตลาดกำลังกังวล?

ดอลลาร์ที่แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงสูงขึ้น ทำให้ “ต้นทุนโอกาส” ของการถือทองสูงขึ้น ทองจึงสามารถร่วงลงได้แม้จะอยู่ในช่วง Risk-off


5. บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงได้ไหม?

ตอนนี้ยังไม่ใช่ บิตคอยน์กำลังเคลื่อนไหวเหมือนสินทรัพย์เทคที่มีความผันผวนสูง เคลื่อนตามสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ มากกว่าจะให้การป้องกัน


6. ควรขายทุกอย่างตอนตลาดร่วงไหม?

ไม่ควร นักลงทุนน้ำหนักมาก (มืออาชีพ) จะปรับพอร์ตทีละระดับ ไม่ได้ขายหมดในครั้งเดียว การขายทั้งหมดมักเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์


7. ควรดูสัญญาณอะไรเพื่อประเมินว่าตลาดจะลงต่อหรือไม่?

สัญญาณสำคัญ ได้แก่

  • S&P 500 แถว 6,500

  • Credit spreads ที่เริ่มกว้างขึ้น

  • ดัชนี VIX ขยับสู่ 30+

  • ท่าทีของธนาคารกลางเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย


บทสรุป

การร่วงของตลาดวันนี้ไม่ใช่เรื่องสุ่ม แต่เป็นการ “ปรับราคาอย่างสมเหตุสมผล” หลังจากปีที่เต็มไปด้วยผลตอบแทนแรง มูลค่าที่ตึงตัว และความคาดหวังที่ดีเกินจริงเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยเร็ว ๆ และการเติบโตแบบไม่หยุดของธีม AI


ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ ความหวังต่อธนาคารกลางที่จางลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น มูลค่าหุ้นเทคที่ยืดตัวมากเกินไป ราคาน้ำมันอ่อนจากความกังวลด้านอุปทาน และการลดความเสี่ยงพร้อมกันในตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และบิตคอยน์


แม้จะรู้สึกเจ็บ แต่สิ่งนี้คือกระบวนการที่ตลาดกำลังปรับตัวเข้าหา “เงินแพง” และการคาดการณ์กำไรที่เป็นจริงมากขึ้น


หากมองให้ลึกลงไป นี่คือช่วงเวลาที่แยกการเทรดแบบใช้อารมณ์ออกจากการบริหารความเสี่ยงแบบมีวินัย: โฟกัสที่ระดับราคา สภาพคล่อง และกรอบเวลา มากกว่าพาดหัวข่าว เพื่อรับมือกับตลาดที่เริ่มกลับมาสู่ความเป็นจริง


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
5 ปัจจัยส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความสัมพันธ์กับ Forex
The Psychology of Trading ยกระดับการเทรดด้วยจิตวิทยา
วิธีการลงทุนทองคำ
ทองขึ้นเพราะอะไร? เข้าใจ 3 เทคนิคเทรด XAUUSD ให้ได้กำไร
ตลาดหุ้นออสเตรเลียร่วงแรง: สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ตอนนี้