เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-13
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวอ่อนลงในการซื้อขายล่าสุด ขณะที่ตลาดกำลังประเมินปัจจัยผสมผสานระหว่างการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิต การปรับราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการ (OSP) จากผู้ผลิตรายใหญ่ และสัญญาณสต็อกจากสหรัฐฯ ที่ยังคงผสมทั้งบวกและลบ ปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงการปรับประมาณการจากหน่วยงานด้านพลังงาน ได้กดดัน Sentiment ของตลาดให้เอนไปในทิศทางที่อ่อนตัวมากขึ้นในระยะสั้นสำหรับน้ำมันดิบ Brent และ West Texas Intermediate (WTI)
Brent crude ซื้อขายอยู่บริเวณประมาณ 62.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ West Texas Intermediate (WTI) อยู่ใกล้ระดับ 58.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งสองเกณฑ์อ้างอิงปรับตัวลงในช่วงไม่กี่วันมานี้ เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองต่อคาดการณ์อุปทานที่เพิ่มขึ้น และการสะสมสต็อกน้ำมันในตลาดโลกที่ดำเนินต่อเนื่อง


ส่วนต่างราคา (spread) ระหว่าง Brent และ WTI ยังคงอยู่ใกล้ 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สะท้อนความแตกต่างด้านการผลิตและรูปแบบการส่งออกของแต่ละภูมิภาค นักลงทุนยังคงจับตาสัญญาณจาก OPEC+ และการปรับราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการของผู้ผลิตรายใหญ่ เพื่อหาทิศทางระยะสั้นของตลาดน้ำมันดิบ
| เกณฑ์มาตรฐาน | ราคาล่าสุด (ดอลลาร์/บาร์เรล) | การเปลี่ยนแปลงรายสัปดาห์ | หมายเหตุตลาด |
|---|---|---|---|
| น้ำมันดิบเบรนท์ | 62.61 | ลดลงเล็กน้อย | ถูกกดดันจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตและการสะสมสต็อก |
| น้ำมันดิบ WTI | 58.38 | ลดลงปานกลาง | ถูกกดดันจากการผลิตในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นและระดับสต็อกที่เพิ่มขึ้น |
OPEC และพันธมิตรยังคงปรับระดับการผลิตในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยรวมแล้วประเทศสมาชิกได้เพิ่มโควตาการผลิตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้ความคาดหวังด้านอุปทานในระยะสั้นเพิ่มขึ้น และกดดันให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง
ในขณะเดียวกัน Saudi Aramco ได้ปรับลด Official Selling Prices (OSP) สำหรับน้ำมันที่จัดสรรให้เอเชียในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นสัญญาณด้านราคาที่สำคัญต่อภูมิภาคนี้ โดยปกติแล้วการปรับลด OSP มักกดดันราคาน้ำมันอ้างอิง (benchmark) เนื่องจากทำให้ผลตอบแทนสุทธิของตลาดเอเชียลดลง
ตลาดตีความการปรับลดครั้งนี้ว่า Aramco ต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาด ท่ามกลางอุปทานที่เพิ่มสูงขึ้น[1]

นักวิเคราะห์และนักลงทุนจับตาตัวเลขคาดการณ์จาก American Petroleum Institute (API) รวมถึงรายงานสต็อกรายสัปดาห์อย่างเป็นทางการจาก EIA เพื่อเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับปริมาณคงคลัง
ประเมินล่าสุดจากอุตสาหกรรมชี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเมื่อข้อมูลจริงจาก EIA ออกมาสูงกว่าคาดหรือยืนยันแนวโน้มดังกล่าว ก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันเชิงลบต่อราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น[2]
รายงานตัวเลขรายสัปดาห์จาก EIA ยังขึ้นชื่อว่ามักทำให้ Sentiment ในตลาดผันผวนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเผยแพร่
หน่วยงานพลังงานหลักทั่วโลกต่างปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในระยะกลาง
EIA ของสหรัฐฯ คาดว่า สต็อกน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 อีกทั้งคาดว่าราคาเฉลี่ยของ Brent ในช่วงต้นปี 2026 จะอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
การปรับประมาณการอุปสงค์ที่ชะลอ ทั้งในจีน ยุโรป และตลาดเกิดใหม่ ล้วนมีผลต่อความยั่งยืนของทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้นและระยะกลาง[3]
ในเชิงเทคนิค เทรดเดอร์กำลังจับตาบริเวณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ของ Brent ซึ่งถือเป็นระดับแนวรับทางจิตวิทยา ขณะที่สำหรับ WTI ช่วง 58–60 ดอลลาร์ ก็ทำหน้าที่เป็นโซนแนวรับระยะสั้นเช่นกัน
นอกจากนี้ โครงสร้างเส้นอัตราฟิวเจอร์ส สภาพคล่องในช่วงวันหมดอายุของออปชัน และการเปลี่ยนแปลงสถานะของบัญชีเก็งกำไร ล้วนสามารถขยายการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ให้กลายเป็นความผันผวนที่มากขึ้นได้ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อทั้งข้อมูลเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดยังคงตอบสนองอย่างไวต่อความเสี่ยงด้านอุปทานและเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคว่ำบาตร การหยุดชะงักของการผลิตแบบฉับพลัน หรือปัญหาด้านโลจิสติกส์ ซึ่งล้วนสามารถทำให้สมดุลอุปสงค์–อุปทานตึงตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวสูงขึ้นได้
ในทางกลับกัน หากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในภาวะที่ความต้องการใช้น้ำมันอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ความต้องการน้ำมันจากจีนยังคงเป็นตัวแปรมหภาคสำคัญ เนื่องจากจีนมีบทบาทสูงต่อการบริโภคผลิตภัณฑ์พลังงานทั่วโลก

EIA ในรายงาน Short-Term Energy Outlook เดือนพฤศจิกายน คาดว่า Brent จะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสแรกของปี 2026 และเฉลี่ย ราว 55 ดอลลาร์สำหรับทั้งปี 2026 สถาบันการเงินและโบรกเกอร์ต่าง ๆ มีประมาณการระยะสั้นที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ปรับลดคาดการณ์ลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านล่างเป็น 3 ช่วงฉากทัศน์ (Scenario Ranges) ที่สรุปเส้นทางราคาที่เป็นไปได้มากที่สุด พร้อมปัจจัยกระตุ้นในแต่ละกรณี:
| ฉากทัศน์ | ช่วงราคาเบรนท์ (ดอลลาร์/บาร์เรล) | ปัจจัยกระตุ้นหลัก |
|---|---|---|
| กรณีฐาน | $52 – $70 | OPEC+ เพิ่มกำลังผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความต้องการยังทรงตัว สต็อกทั่วโลกขยับเพิ่มทีละน้อย |
| กรณีด้านลบ | <$52 | สต็อกสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ความต้องการในจีนและยุโรปชะลอตัว |
| กรณีอัพไซด์ | >$75 | อุปทานหยุดชะงักแบบไม่คาดคิด ความต้องการในจีนแข็งแกร่งขึ้น หรือ OPEC+ คุมการผลิตเข้มงวดกว่าที่ส่งสัญญาณไว้ |
ช่วงราคาข้างต้นไม่ใช่การคาดการณ์แบบยืนยัน แต่เป็น “กรอบเงื่อนไข” เพื่อช่วยให้ผู้อ่านทำความเข้าใจความเสี่ยงและปัจจัยที่อาจทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนทิศทาง ควรมีการอ้างอิงถึงข้อมูลของ EIA และแหล่งข่าวสำคัญเมื่อมีการเผยแพร่ช่วงราคาเหล่านี้
ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบของโรงกลั่น แต่ก็อาจทำให้ส่วนต่างกำไรจากการกลั่น (refining margins) แคบลง ขึ้นอยู่กับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (product cracks) ในขณะนั้น สำหรับผู้บริโภค ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมักเป็นผลดีในท้ายที่สุด เนื่องจากเมื่อถูกถ่ายทอดผ่านโครงสร้างภาษีและระบบกระจายสินค้าของแต่ละภูมิภาคแล้ว จะช่วยให้ราคาขายปลีกเชื้อเพลิงลดลง
ในมุมของนักลงทุน หุ้นพลังงานและสเปรดของตลาดตราสารหนี้ตอบสนองต่างกันเมื่อราคาน้ำมันอ่อนตัว ผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มพลังงานที่มีอันดับเครดิตต่ำอาจเผชิญความกดดัน หากราคาน้ำมันอ่อนแอต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมักมีภูมิต้านทานดีกว่า พอร์ตโฟลิโอที่เชื่อมกับสินค้าโภคภัณฑ์ควรพิจารณาความเสี่ยงตามฉากทัศน์ที่กล่าวไว้ก่อนหน้าในการจัดขนาดการลงทุน
การหารือของ OPEC+ และการปรับเพิ่มระดับการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งช่วยเพิ่มคาดการณ์อุปทานรวม
Saudi Aramco ปรับลดราคาเสนอขายน้ำมันสำหรับตลาดเอเชียในเดือนธันวาคม สะท้อนการแข่งขันที่สูงขึ้นในการแย่งชิงกระแสน้ำมันในภูมิภาค
สัญญาณเริ่มต้นจาก API และ EIA บ่งชี้ว่าสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในระดับที่เท่ากับหรือมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ กดดันราคาในระยะสั้น
EIA เผยรายงาน Short-Term Energy Outlook ประจำเดือนพฤศจิกายน คาดว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2026 และราคาเฉลี่ยของ Brent ในช่วงต้นปี 2026 จะอยู่ในระดับต่ำลง
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบกำลังทำหน้าที่เป็น “เครื่องชี้วัดสมดุล” ระหว่างอุปทานและอุปสงค์ในระยะสั้น ราคามีความอ่อนไหวอย่างมากต่อข้อมูลที่สะท้อนถึงสองปัจจัยนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นว่า ราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการ (OSP) จากผู้ผลิตรายใหญ่มีความสำคัญ เนื่องจากส่งผลต่อเส้นทางการค้าของน้ำมันและส่วนต่างราคาตามภูมิภาค
นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจจากภาครัฐและธนาคารกลางยังเป็นตัวกำหนดฉากหลังด้านมหภาค ซึ่งมีผลต่อความต้องการใช้พลังงานผ่านช่องทางการเติบโตเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวของสกุลเงิน รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศรวมถึง Reuters สะท้อนมุมมองนักวิเคราะห์ว่าการปรับราคาเสนอขายล่าสุดของ Aramco มุ่งเน้นการรักษาส่วนแบ่งตลาดท่ามกลางสภาพการแข่งขันที่รุนแรง
ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันจากหลายปัจจัยผสมผสาน ทั้งความคาดหวังอุปทานที่เพิ่มขึ้นจาก OPEC+ การปรับลดราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการ (OSP) จากผู้ผลิตรายใหญ่ รวมถึงข้อมูลสต็อกจากสหรัฐฯ ที่บ่งชี้ว่าปริมาณคงคลังอาจกำลังเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันลดแรงผลักดันขาขึ้นของตลาดในระยะสั้น
การปรับลดราคาของ Aramco มีความสำคัญอย่างมากสำหรับตลาดเอเชีย และอาจทำให้ส่วนต่างระหว่างน้ำมันตะวันออกกลางกับน้ำมันจากฝั่งแอตแลนติกกว้างขึ้น การปรับลดดังกล่าวช่วยให้ Aramco รักษาความสามารถในการแข่งขัน และอาจกดดันราคาได้ หากทำให้มีการส่งออกน้ำมันไปยังตลาดโรงกลั่นในเอเชียเพิ่มขึ้น แต่ผลกระทบทั่วโลกจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ผลิตรายอื่นและโรงกลั่นในภูมิภาคต่าง ๆ
สต็อกน้ำมันมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวในระยะสั้น เพราะสะท้อนสมดุลอุปสงค์–อุปทานในทันที อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาน้ำมันในระยะกลางขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น นโยบายของ OPEC+ สภาพเศรษฐกิจมหภาค และโครงสร้างการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้นมีแนวโน้มถูกกำหนดโดยข้อมูลเศรษฐกิจและสัญญาณนโยบายที่จะทยอยออกมาในช่วงต่อไป ปัจจัยที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ การประกาศราคาเสนอขายอย่างเป็นทางการรอบใหม่จากผู้ผลิตรายใหญ่ในอ่าวอาหรับ แถลงการณ์จาก OPEC+ และการหยุดชะงักของอุปทานที่ไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า
นอกจากนี้ ผู้อ่านควรติดตามการปรับประมาณการในรายงานจากหน่วยงานด้านพลังงาน เช่น EIA Short-Term Energy Outlook เพื่อประเมินเส้นทางสต็อกและราคาในระยะกลาง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าแนวโน้มอ่อนตัวในปัจจุบันจะพัฒนาเป็นขาลงระยะยาว หรือเป็นเพียงช่วงพักตัวก่อนที่ราคาจะฟื้นตัวอีกครั้ง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ