ราคาน้ำมันดิบร่วงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี บ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ราคาน้ำมันดิบร่วงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี บ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่?

ผู้เขียน: Rylan Chase

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-17

ราคาน้ำมันดิบไม่ได้แค่ปรับตัวลดลงเท่านั้น แต่ได้หลุดลงสู่ระดับที่ตลาดไม่เคยเห็นมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 โดยสัปดาห์นี้น้ำมัน Brent ปิดใกล้ระดับ 58.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่แถว 55.27 ดอลลาร์ เมื่อราคาน้ำมันร่วงลงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 58 เดือน กระแสพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักจะกลับมารุนแรงขึ้น เพราะในอดีต การปรับฐานแรงของราคาน้ำมันมักเกิดขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกด้านอุปสงค์

น้ำมันดิบใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

คำตอบอย่างตรงไปตรงมาคือ ราคาน้ำมันสามารถร่วงแรงได้จาก สองเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหตุผลแรกคือ อุปสงค์อ่อนแอ ซึ่งเป็นที่มาของสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย เหตุผลที่สองคือ อุปทานล้นตลาด ซึ่งบนกราฟอาจดูเหมือนภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทั้งที่เศรษฐกิจจริงยังคงเดินหน้าต่อไป การปรับตัวลงรอบนี้มีองค์ประกอบของทั้งสองปัจจัย แต่เมื่อพิจารณาหลักฐานโดยรวมแล้ว น้ำหนักยังคงเอนเอียงไปทางฝั่ง อุปทานส่วนเกิน มากกว่า


บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ว่าอะไรคือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สัญญาณเศรษฐกิจถดถอยใดที่กำลังส่งสัญญาณจริง และนักเทรดควรจับตาอะไรต่อไป ทั้งในแง่ของสเปรดราคา ข้อมูลสต็อกน้ำมัน และระดับสำคัญบนกราฟ


ราคาน้ำมันอยู่ตรงไหนในตอนนี้ และเหตุใดจึงสำคัญ?

เกณฑ์อ้างอิง ระดับล่าสุด (กลางเดือน ธ.ค. 2025) หมุดหมายสำคัญ สิ่งที่นักเทรดกำลังรับรู้
WTI (CL) ประมาณ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2021 กระแสหลักของตลาดคือ “อุปทานล้นตลาด”
Brent (LCO) ประมาณ 59 ดอลลาร์/บาร์เรล ซื้อขายต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ ความหวังว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะผ่อนคลายลง กดดัน Risk Premium


ดังที่กล่าวไปข้างต้น Brent และ WTI ร่วงลงสู่ระดับราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 โดย Brent อยู่ใกล้ 58.92 ดอลลาร์ และ WTI ใกล้ 55.27 ดอลลาร์


จากกราฟนั้น นี่ไม่ใช่การย่อตัวตามปกติ แต่เป็นการกลับเข้าสู่ระบอบราคาพลังงานแบบ “ก่อนแรงกระแทกเงินเฟ้อ” ครั้งใหญ่ กล่าวคือก่อนวิกฤตอุปทานในปี 2022 ที่ทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกถูกปรับประเมินใหม่แทบทุกบาร์เรล


บริเวณราคานี้มีความสำคัญด้วย 3 เหตุผลหลัก

  • เป็นโซนความทรงจำระยะยาวของกองทุนที่เทรดตามแนวโน้มราคาน้ำมัน โดยกุมภาพันธ์ 2021 คือครั้งสุดท้ายที่น้ำมันซื้อขายต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ได้อย่างยั่งยืน

  • กดดันกระแสเงินสดและแผนการลงทุน (Capex) ของผู้ผลิตพลังงาน โดยเฉพาะนอกตะวันออกกลาง ซึ่งมีจุดคุ้มทุนทางการคลังสูงกว่า

  • เปลี่ยนกรอบเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เพราะราคาพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความคาดหวังเงินเฟ้อโดยรวมได้เร็วที่สุด


อะไรคือปัจจัยที่กำลังกดดันราคาน้ำมันดิบในขณะนี้?

เหตุใดราคาน้ำมันดิบจึงลดลง

1) ภูมิรัฐศาสตร์ช่วยลด “Risk Premium”

ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรับตัวลงล่าสุด คือความหวังเชิงบวกที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณของความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ที่ลดลง และในระยะยาวอาจหมายถึงแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรต่อการไหลเวียนของพลังงานที่เบาบางลง


แม้ข้อตกลงจะยังไม่ใกล้เกิดขึ้นจริง แต่ราคาน้ำมันมักเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของการรับรู้ความเสี่ยง เมื่อเทรดเดอร์มองว่าความเสี่ยงจากการหยุดชะงักเริ่มจางหาย ราคาโดยทั่วไปจะปรับตัวลงก่อนเสมอ ก่อนที่น้ำมันจริง ๆ จะเข้าสู่ตลาดเสียอีก


2) ตลาดกำลังกังวลความเสี่ยงอุปทานล้นในปี 2026

ฝั่งอุปทานยังคงเป็นแรงกดดันหลักที่สุด


  • สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดว่าสต็อกน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 โดยราคาน้ำมัน Brent มีแนวโน้มเฉลี่ยใกล้ 55 ดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปี 2026 และทรงตัวอยู่แถวระดับดังกล่าวหลังจากนั้น

  • ขณะที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่าปี 2026 จะเกิดภาวะอุปทานส่วนเกินขนาดใหญ่ ราว 3.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน


นี่คือแก่นของมุมมองขาลง เพราะเป็นเรื่องยากที่ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นได้ ในสภาวะที่สต็อกกำลังสะสม และสมดุลอุปสงค์–อุปทานในอนาคตยังคงตึงไปทางฝั่งล้นตลาด


3) การผลิตของสหรัฐยังทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง

ภาวะอุปทานล้นไม่ใช่แค่สมมติฐาน แต่กำลังเกิดขึ้นจริง สหรัฐยังคงผลิตน้ำมันในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ราคาจะอ่อนตัวลง


โดยข้อมูลจาก EIA ระบุว่าการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐทำสถิติสูงสุดที่ 13.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนกันยายน 2025 ซึ่งหมายความว่าน้ำมันยังคงไหลเข้าสู่ระบบโลกอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาที่ไม่เอื้อต่อการพยุงราคาเลย


4) OPEC+ เน้นบริหารภาพรวม มากกว่าการเข้ากู้ตลาด

มุมมองของ OPEC เองไม่ได้เป็นลบเท่ากับ IEA โดย OPEC เห็นว่าตลาดในปี 2026 น่าจะใกล้สมดุลมากกว่า แตกต่างจากการประเมินอุปทานล้นของ IEA


อย่างไรก็ตาม OPEC+ ตัดสินใจคงนโยบายการผลิตไว้ในไตรมาสแรกของปี 2026 เนื่องจากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด


การตัดสินใจนี้สะท้อนว่ากลุ่มผู้ผลิตเองก็รับรู้ถึงความเสี่ยงเช่นกัน กล่าวคือ อุปสงค์ในปัจจุบันยังไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง


5) จีนยังนำเข้าน้ำมัน แต่ยังไม่ได้ใช้เร็วพอ

จีนไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย แต่ก็ยังไม่สามารถดึงราคาน้ำมันให้ฟื้นตัวขึ้นได้เช่นกัน รายงานของ Reuters ระบุว่า จีนเร่งสะสมสต็อกน้ำมันในเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยมีส่วนเกินราว 1.88 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำลังการกลั่น


ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ นั่นคือ ความแข็งแกร่งของการนำเข้า ไม่ได้เท่ากับความแข็งแกร่งของอุปสงค์ การสะสมสต็อกอาจช่วยพยุงตลาดกายภาพได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ยังอ่อนแอในภาพรวม


นี่คือสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย หรือเป็นการปรับฐานจากฝั่งอุปทาน?

คำถาม โดยปกติหมายถึงอะไร สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบัน
อุปทานเพิ่มเร็วกว่าอุปสงค์หรือไม่? ตลาดขาลงที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งอุปทาน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเศรษฐกิจถดถอย IEA เตือนถึงภาวะอุปทานส่วนเกินขนาดใหญ่ในปี 2026 ขณะที่ EIA มองว่าสต็อกกำลังสะสมเพิ่มขึ้น
ผู้ผลิตยังเร่งผลิตในระดับสูงสุดหรือไม่? แรงกดดันด้านราคาสามารถยืดเยื้อได้ แม้เศรษฐกิจยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การผลิตน้ำมันของสหรัฐทำสถิติสูงสุดที่ 13.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ก.ย.)
จีนยังนำเข้าแต่เน้นเก็บสต็อกหรือไม่? อัตราการใช้น้ำมันต่ำ อุปสงค์ไม่ตึงตัว การสะสมสต็อกของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังการนำเข้าแซงกำลังการกลั่น
ภูมิรัฐศาสตร์ช่วยลด Risk Premium หรือไม่? ราคาสามารถปรับลดลงได้โดยไม่จำเป็นต้องเกิดเศรษฐกิจถดถอย ความคาดหวังเรื่องสันติภาพรัสเซีย–ยูเครนถูกมองเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา


น้ำมันจะเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอยที่ดี ก็ต่อเมื่อราคาปรับตัวลงเป็นหลักจากการชะลอตัวของอุปสงค์ปลายทาง แต่การปรับตัวลงรอบนี้ดูเหมือนถูกขับเคลื่อนจากฝั่งอุปทานมากกว่าฝั่งอุปสงค์ จึงทำให้สัญญาณ “เศรษฐกิจถดถอยโดยอัตโนมัติ” อ่อนแรงลง


อะไรจะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอยที่แท้จริง?

ควรมองราคาน้ำมันเป็นธงแดงของเศรษฐกิจถดถอย ก็ต่อเมื่อเห็นสัญญาณยืนยันจากปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากน้ำมันดิบ เช่น

  • การปรับตัวลดลงในวงกว้างของ ดัชนี PMI ทั่วโลก และตัวชี้วัดด้านการขนส่ง

  • การปรับลดคาดการณ์กำไรของภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะนอกภาคพลังงาน

  • ความตึงเครียดด้านเครดิตที่รุนแรงจนก่อให้เกิดการทำลายอุปสงค์ในวงกว้าง



การพึ่งพาราคาน้ำมันดิบเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ตีความผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อุปทานกำลังเพิ่มขึ้น และผู้ผลิตพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเอง


การวิเคราะห์ทางเทคนิคราคาน้ำมันดิบ: WTI และ Brent ที่จุด Breakdown

ตัวชี้วัด Brent (ICE) WTI (NYMEX) เหตุใดจึงสำคัญ
ระดับราคาล่าสุด ประมาณ 58.9 ดอลลาร์ ประมาณ 55.3 ดอลลาร์ ทั้งสองตลาดอยู่ที่ราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2021
แนวโน้ม (กราฟรายวัน) ขายแรง (Strong Sell) เป็นกลาง / ผสม Brent เสียโครงสร้างทางเทคนิคมากกว่า WTI จากการสรุปสัญญาณอินดิเคเตอร์
RSI (14) 44.77 (ขาย) 50.36 (เป็นกลาง) โมเมนตัมอ่อนแอ แต่ยังไม่ถึงภาวะ “ขายมากเกินไปจากความตื่นตระหนก”
MACD (12,26) -0.40 (ขาย) -0.24 (ขาย) โมเมนตัมของแนวโน้มยังคงเป็นลบในทั้งสองเกณฑ์
ADX (14) 51.59 (ขาย) 38.53 (ซื้อ) Brent แสดงแนวโน้มที่แข็งแรงและชัดเจนกว่า ขณะที่ความแข็งแรงของแนวโน้มใน WTI ยังด้อยกว่า
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่สำคัญ MA50 ~60.31, MA200 ~61.92 MA50 ~56.30, MA200 ~58.09 ราคายังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางและยาว ทำให้การรีบาวด์ถูกจำกัด
จุด Pivot ระยะสั้น Pivot ~58.84 Pivot ~55.60 มีประโยชน์สำหรับนักเทรดระยะสั้น แสดงบริเวณที่แรงขายมักปรากฏในระหว่างวัน


ภาพรวมทางเทคนิคสอดคล้องกับตลาดที่ยังอ่อนแอ มีความผันผวนสูง และกำลังเผชิญความยากลำบากในการกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


ระดับราคาสำคัญที่นักเทรดควรจับตา

  1. WTI : ระดับ 55 ดอลลาร์ เป็นแนวจิตวิทยาสำคัญ ขณะนี้นักเทรดเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ที่ 50 ดอลลาร์ อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักถัดไป

  2. Brent: ระดับ 60 ดอลลาร์ เคยเป็นแนวรับสำคัญ การหลุดลงมาต่ำกว่าระดับนี้ทำให้ตลาดหันมาโฟกัสที่โซน 58–59 ดอลลาร์ (ฐานราคาปัจจุบัน) และหากแรงขายเร่งตัว อาจเห็นราคาลงไปทดสอบบริเวณ กลาง 50 ดอลลาร์


ในตลาดลักษณะนี้ สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการสร้างจุดต่ำสุดอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การดีดขึ้นแรงเพียงวันเดียว แต่คือการที่ราคากลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และสามารถทำจุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Lows) ต่อเนื่องได้


นักลงทุนและนักเทรดควรติดตามอะไรต่อไป?

1. ทิศทางของสต็อกน้ำมันและโครงสร้างราคาในตลาดล่วงหน้า (Forward Curve)

มุมมองของ EIA ที่ว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 เป็นสมอหลักของฝั่งขาลง หากโครงสร้างราคาในตลาดล่วงหน้ายังคงหนัก และสต็อกยังสะสมเพิ่มขึ้น การรีบาวด์ของราคามักจะไปไม่ไกล เพราะเทรดเดอร์เลือกขายทำกำไรเมื่อราคาเด้งขึ้น


2. ท่าทีของ OPEC+ ในช่วงต้นปี 2026

การที่ OPEC+ คงกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2026 ไม่ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกในตัวเอง ตลาดจะจับตาว่ากลุ่มผู้ผลิตจะส่งสัญญาณคุมอุปทานเข้มข้นขึ้น หรือยังคงให้ความสำคัญกับ การรักษาส่วนแบ่งตลาด ต่อไป


3. ความคืบหน้ารัสเซียและเส้นทางของมาตรการคว่ำบาตร

ราคาน้ำมันตอบสนองอย่างมากต่อความเป็นไปได้ที่มาตรการคว่ำบาตรจะผ่อนคลาย หากความพยายามทางการทูตมีความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาชะงัก ราคาน้ำมันอาจรีบาวด์ได้ แต่การปรับขึ้นใด ๆ ควรถูกประเมินควบคู่กับความจริงที่ว่าอุปทานในตลาดยังคงล้นอยู่มาก


คำถามที่พบบ่อย

1. น้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 5 ปีจริงหรือไม่?

ใช่ ทั้ง WTI และ Brent ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 (ต่ำสุดในรอบ 58 เดือน) โดย Brent อยู่ใกล้ 58.92 ดอลลาร์ และ WTI ประมาณ 55.27 ดอลลาร์


2. ราคาน้ำมันที่ลดลงหมายความว่าเศรษฐกิจถดถอยกำลังจะมาเสมอหรือไม่?

ไม่เสมอไป ราคาน้ำมันอาจลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ หรือจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ในช่วงปลายปี 2025 หลักฐานชี้ไปทางเรื่องอุปทานล้นและการสะสมสต็อก มากกว่าการทรุดตัวของอุปสงค์อย่างแท้จริง


3. OPEC+ สามารถหยุดการร่วงของราคาได้หรือไม่?

OPEC+ สามารถชะลอการปรับลงของราคาได้ด้วยการคุมอุปทานให้ตึงขึ้น แต่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการพยุงราคา กับการปกป้องส่วนแบ่งตลาดของตนเอง


4. EIA คาดการณ์ราคาน้ำมัน Brent ในช่วงต้นปี 2026 อย่างไร?

EIA คาดว่า Brent จะมีราคาเฉลี่ยราว 55 ดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปี 2026 และจะเคลื่อนไหวใกล้ระดับดังกล่าวตลอดปี 2026 เนื่องจากสต็อกน้ำมันทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น


บทสรุป

โดยสรุป ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี เป็นสัญญาณที่มีความหมาย แต่ยังไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย หลักฐานในปัจจุบันเอนเอียงไปทาง ตลาดขาลงที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งอุปทาน มากกว่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง นอกจากนี้ EIA ระบุชัดว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 ขณะที่ IEA ประเมินว่าจะเกิดอุปทานส่วนเกินจำนวนมากในปีหน้า และการผลิตของสหรัฐยังคงทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง


อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยก็ไม่อาจมองข้ามได้ หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจยังเป็นบวก นั่นสะท้อนถึงปัญหาฝั่งอุปทาน และทำหน้าที่เป็นแรงกดเงินเฟ้อในระบบ


แต่หากราคาน้ำมันหลุดลงไปมากกว่านี้ พร้อมกับข้อมูลอุปสงค์ทั่วโลกที่เริ่มอ่อนแรง น้ำมันดิบจะกลายเป็นสัญญาณเตือนที่ดังขึ้น สำหรับตอนนี้ ข้อความของตลาดยังไม่ใช่ “เศรษฐกิจถดถอยมาถึงแล้ว” แต่คือ “น้ำมันล้นตลาด และตลาดเชื่อเช่นนั้น”


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ตลาดร่วงแรงวันนี้เพราะอะไร? วิเคราะห์ปัจจัยกระทบและสัญญาณสำคัญ
คาดการณ์ XNGUSD 6 เดือนหน้า: ความต้องการในฤดูหนาวจะดันราคาขึ้นได้หรือไม่?
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน เงิน–ทองพุ่ง ส่วนน้ำมันอ่อนแรง
ตลาดในสัปดาห์นี้: ฟอเร็กซ์ หุ้น น้ำมัน ทองคำ และการตัดสินใจของเฟด
ปี 2025 จะมี Santa Claus Rally หรือไม่?