เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-17
ราคาน้ำมันดิบไม่ได้แค่ปรับตัวลดลงเท่านั้น แต่ได้หลุดลงสู่ระดับที่ตลาดไม่เคยเห็นมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 โดยสัปดาห์นี้น้ำมัน Brent ปิดใกล้ระดับ 58.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่แถว 55.27 ดอลลาร์ เมื่อราคาน้ำมันร่วงลงใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 58 เดือน กระแสพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักจะกลับมารุนแรงขึ้น เพราะในอดีต การปรับฐานแรงของราคาน้ำมันมักเกิดขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกด้านอุปสงค์

คำตอบอย่างตรงไปตรงมาคือ ราคาน้ำมันสามารถร่วงแรงได้จาก สองเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหตุผลแรกคือ อุปสงค์อ่อนแอ ซึ่งเป็นที่มาของสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย เหตุผลที่สองคือ อุปทานล้นตลาด ซึ่งบนกราฟอาจดูเหมือนภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทั้งที่เศรษฐกิจจริงยังคงเดินหน้าต่อไป การปรับตัวลงรอบนี้มีองค์ประกอบของทั้งสองปัจจัย แต่เมื่อพิจารณาหลักฐานโดยรวมแล้ว น้ำหนักยังคงเอนเอียงไปทางฝั่ง อุปทานส่วนเกิน มากกว่า
บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ว่าอะไรคือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สัญญาณเศรษฐกิจถดถอยใดที่กำลังส่งสัญญาณจริง และนักเทรดควรจับตาอะไรต่อไป ทั้งในแง่ของสเปรดราคา ข้อมูลสต็อกน้ำมัน และระดับสำคัญบนกราฟ
| เกณฑ์อ้างอิง | ระดับล่าสุด (กลางเดือน ธ.ค. 2025) | หมุดหมายสำคัญ | สิ่งที่นักเทรดกำลังรับรู้ |
|---|---|---|---|
| WTI (CL) | ประมาณ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล | ราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2021 | กระแสหลักของตลาดคือ “อุปทานล้นตลาด” |
| Brent (LCO) | ประมาณ 59 ดอลลาร์/บาร์เรล | ซื้อขายต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ | ความหวังว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะผ่อนคลายลง กดดัน Risk Premium |
ดังที่กล่าวไปข้างต้น Brent และ WTI ร่วงลงสู่ระดับราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 โดย Brent อยู่ใกล้ 58.92 ดอลลาร์ และ WTI ใกล้ 55.27 ดอลลาร์
จากกราฟนั้น นี่ไม่ใช่การย่อตัวตามปกติ แต่เป็นการกลับเข้าสู่ระบอบราคาพลังงานแบบ “ก่อนแรงกระแทกเงินเฟ้อ” ครั้งใหญ่ กล่าวคือก่อนวิกฤตอุปทานในปี 2022 ที่ทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกถูกปรับประเมินใหม่แทบทุกบาร์เรล
บริเวณราคานี้มีความสำคัญด้วย 3 เหตุผลหลัก
เป็นโซนความทรงจำระยะยาวของกองทุนที่เทรดตามแนวโน้มราคาน้ำมัน โดยกุมภาพันธ์ 2021 คือครั้งสุดท้ายที่น้ำมันซื้อขายต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ได้อย่างยั่งยืน
กดดันกระแสเงินสดและแผนการลงทุน (Capex) ของผู้ผลิตพลังงาน โดยเฉพาะนอกตะวันออกกลาง ซึ่งมีจุดคุ้มทุนทางการคลังสูงกว่า
เปลี่ยนกรอบเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เพราะราคาพลังงานยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความคาดหวังเงินเฟ้อโดยรวมได้เร็วที่สุด

ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรับตัวลงล่าสุด คือความหวังเชิงบวกที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณของความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ที่ลดลง และในระยะยาวอาจหมายถึงแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรต่อการไหลเวียนของพลังงานที่เบาบางลง
แม้ข้อตกลงจะยังไม่ใกล้เกิดขึ้นจริง แต่ราคาน้ำมันมักเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของการรับรู้ความเสี่ยง เมื่อเทรดเดอร์มองว่าความเสี่ยงจากการหยุดชะงักเริ่มจางหาย ราคาโดยทั่วไปจะปรับตัวลงก่อนเสมอ ก่อนที่น้ำมันจริง ๆ จะเข้าสู่ตลาดเสียอีก
ฝั่งอุปทานยังคงเป็นแรงกดดันหลักที่สุด
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดว่าสต็อกน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 โดยราคาน้ำมัน Brent มีแนวโน้มเฉลี่ยใกล้ 55 ดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปี 2026 และทรงตัวอยู่แถวระดับดังกล่าวหลังจากนั้น
ขณะที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่าปี 2026 จะเกิดภาวะอุปทานส่วนเกินขนาดใหญ่ ราว 3.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นี่คือแก่นของมุมมองขาลง เพราะเป็นเรื่องยากที่ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นได้ ในสภาวะที่สต็อกกำลังสะสม และสมดุลอุปสงค์–อุปทานในอนาคตยังคงตึงไปทางฝั่งล้นตลาด
ภาวะอุปทานล้นไม่ใช่แค่สมมติฐาน แต่กำลังเกิดขึ้นจริง สหรัฐยังคงผลิตน้ำมันในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ราคาจะอ่อนตัวลง
โดยข้อมูลจาก EIA ระบุว่าการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐทำสถิติสูงสุดที่ 13.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนกันยายน 2025 ซึ่งหมายความว่าน้ำมันยังคงไหลเข้าสู่ระบบโลกอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาที่ไม่เอื้อต่อการพยุงราคาเลย
มุมมองของ OPEC เองไม่ได้เป็นลบเท่ากับ IEA โดย OPEC เห็นว่าตลาดในปี 2026 น่าจะใกล้สมดุลมากกว่า แตกต่างจากการประเมินอุปทานล้นของ IEA
อย่างไรก็ตาม OPEC+ ตัดสินใจคงนโยบายการผลิตไว้ในไตรมาสแรกของปี 2026 เนื่องจากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด
การตัดสินใจนี้สะท้อนว่ากลุ่มผู้ผลิตเองก็รับรู้ถึงความเสี่ยงเช่นกัน กล่าวคือ อุปสงค์ในปัจจุบันยังไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างจริงจัง
จีนไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย แต่ก็ยังไม่สามารถดึงราคาน้ำมันให้ฟื้นตัวขึ้นได้เช่นกัน รายงานของ Reuters ระบุว่า จีนเร่งสะสมสต็อกน้ำมันในเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยมีส่วนเกินราว 1.88 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำลังการกลั่น
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ นั่นคือ ความแข็งแกร่งของการนำเข้า ไม่ได้เท่ากับความแข็งแกร่งของอุปสงค์ การสะสมสต็อกอาจช่วยพยุงตลาดกายภาพได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ยังอ่อนแอในภาพรวม
| คำถาม | โดยปกติหมายถึงอะไร | สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบัน |
|---|---|---|
| อุปทานเพิ่มเร็วกว่าอุปสงค์หรือไม่? | ตลาดขาลงที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งอุปทาน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเศรษฐกิจถดถอย | IEA เตือนถึงภาวะอุปทานส่วนเกินขนาดใหญ่ในปี 2026 ขณะที่ EIA มองว่าสต็อกกำลังสะสมเพิ่มขึ้น |
| ผู้ผลิตยังเร่งผลิตในระดับสูงสุดหรือไม่? | แรงกดดันด้านราคาสามารถยืดเยื้อได้ แม้เศรษฐกิจยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง | การผลิตน้ำมันของสหรัฐทำสถิติสูงสุดที่ 13.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ก.ย.) |
| จีนยังนำเข้าแต่เน้นเก็บสต็อกหรือไม่? | อัตราการใช้น้ำมันต่ำ อุปสงค์ไม่ตึงตัว | การสะสมสต็อกของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังการนำเข้าแซงกำลังการกลั่น |
| ภูมิรัฐศาสตร์ช่วยลด Risk Premium หรือไม่? | ราคาสามารถปรับลดลงได้โดยไม่จำเป็นต้องเกิดเศรษฐกิจถดถอย | ความคาดหวังเรื่องสันติภาพรัสเซีย–ยูเครนถูกมองเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา |
น้ำมันจะเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอยที่ดี ก็ต่อเมื่อราคาปรับตัวลงเป็นหลักจากการชะลอตัวของอุปสงค์ปลายทาง แต่การปรับตัวลงรอบนี้ดูเหมือนถูกขับเคลื่อนจากฝั่งอุปทานมากกว่าฝั่งอุปสงค์ จึงทำให้สัญญาณ “เศรษฐกิจถดถอยโดยอัตโนมัติ” อ่อนแรงลง
ควรมองราคาน้ำมันเป็นธงแดงของเศรษฐกิจถดถอย ก็ต่อเมื่อเห็นสัญญาณยืนยันจากปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากน้ำมันดิบ เช่น
การปรับตัวลดลงในวงกว้างของ ดัชนี PMI ทั่วโลก และตัวชี้วัดด้านการขนส่ง
การปรับลดคาดการณ์กำไรของภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะนอกภาคพลังงาน
ความตึงเครียดด้านเครดิตที่รุนแรงจนก่อให้เกิดการทำลายอุปสงค์ในวงกว้าง
การพึ่งพาราคาน้ำมันดิบเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ตีความผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อุปทานกำลังเพิ่มขึ้น และผู้ผลิตพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเอง
| ตัวชี้วัด | Brent (ICE) | WTI (NYMEX) | เหตุใดจึงสำคัญ |
|---|---|---|---|
| ระดับราคาล่าสุด | ประมาณ 58.9 ดอลลาร์ | ประมาณ 55.3 ดอลลาร์ | ทั้งสองตลาดอยู่ที่ราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2021 |
| แนวโน้ม (กราฟรายวัน) | ขายแรง (Strong Sell) | เป็นกลาง / ผสม | Brent เสียโครงสร้างทางเทคนิคมากกว่า WTI จากการสรุปสัญญาณอินดิเคเตอร์ |
| RSI (14) | 44.77 (ขาย) | 50.36 (เป็นกลาง) | โมเมนตัมอ่อนแอ แต่ยังไม่ถึงภาวะ “ขายมากเกินไปจากความตื่นตระหนก” |
| MACD (12,26) | -0.40 (ขาย) | -0.24 (ขาย) | โมเมนตัมของแนวโน้มยังคงเป็นลบในทั้งสองเกณฑ์ |
| ADX (14) | 51.59 (ขาย) | 38.53 (ซื้อ) | Brent แสดงแนวโน้มที่แข็งแรงและชัดเจนกว่า ขณะที่ความแข็งแรงของแนวโน้มใน WTI ยังด้อยกว่า |
| ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่สำคัญ | MA50 ~60.31, MA200 ~61.92 | MA50 ~56.30, MA200 ~58.09 | ราคายังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางและยาว ทำให้การรีบาวด์ถูกจำกัด |
| จุด Pivot ระยะสั้น | Pivot ~58.84 | Pivot ~55.60 | มีประโยชน์สำหรับนักเทรดระยะสั้น แสดงบริเวณที่แรงขายมักปรากฏในระหว่างวัน |
ภาพรวมทางเทคนิคสอดคล้องกับตลาดที่ยังอ่อนแอ มีความผันผวนสูง และกำลังเผชิญความยากลำบากในการกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
WTI : ระดับ 55 ดอลลาร์ เป็นแนวจิตวิทยาสำคัญ ขณะนี้นักเทรดเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ที่ 50 ดอลลาร์ อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักถัดไป
Brent: ระดับ 60 ดอลลาร์ เคยเป็นแนวรับสำคัญ การหลุดลงมาต่ำกว่าระดับนี้ทำให้ตลาดหันมาโฟกัสที่โซน 58–59 ดอลลาร์ (ฐานราคาปัจจุบัน) และหากแรงขายเร่งตัว อาจเห็นราคาลงไปทดสอบบริเวณ กลาง 50 ดอลลาร์
ในตลาดลักษณะนี้ สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการสร้างจุดต่ำสุดอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การดีดขึ้นแรงเพียงวันเดียว แต่คือการที่ราคากลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และสามารถทำจุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Lows) ต่อเนื่องได้
มุมมองของ EIA ที่ว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 เป็นสมอหลักของฝั่งขาลง หากโครงสร้างราคาในตลาดล่วงหน้ายังคงหนัก และสต็อกยังสะสมเพิ่มขึ้น การรีบาวด์ของราคามักจะไปไม่ไกล เพราะเทรดเดอร์เลือกขายทำกำไรเมื่อราคาเด้งขึ้น
การที่ OPEC+ คงกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2026 ไม่ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกในตัวเอง ตลาดจะจับตาว่ากลุ่มผู้ผลิตจะส่งสัญญาณคุมอุปทานเข้มข้นขึ้น หรือยังคงให้ความสำคัญกับ การรักษาส่วนแบ่งตลาด ต่อไป
ราคาน้ำมันตอบสนองอย่างมากต่อความเป็นไปได้ที่มาตรการคว่ำบาตรจะผ่อนคลาย หากความพยายามทางการทูตมีความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาชะงัก ราคาน้ำมันอาจรีบาวด์ได้ แต่การปรับขึ้นใด ๆ ควรถูกประเมินควบคู่กับความจริงที่ว่าอุปทานในตลาดยังคงล้นอยู่มาก
ใช่ ทั้ง WTI และ Brent ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 (ต่ำสุดในรอบ 58 เดือน) โดย Brent อยู่ใกล้ 58.92 ดอลลาร์ และ WTI ประมาณ 55.27 ดอลลาร์
ไม่เสมอไป ราคาน้ำมันอาจลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ หรือจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ในช่วงปลายปี 2025 หลักฐานชี้ไปทางเรื่องอุปทานล้นและการสะสมสต็อก มากกว่าการทรุดตัวของอุปสงค์อย่างแท้จริง
OPEC+ สามารถชะลอการปรับลงของราคาได้ด้วยการคุมอุปทานให้ตึงขึ้น แต่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการพยุงราคา กับการปกป้องส่วนแบ่งตลาดของตนเอง
EIA คาดว่า Brent จะมีราคาเฉลี่ยราว 55 ดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปี 2026 และจะเคลื่อนไหวใกล้ระดับดังกล่าวตลอดปี 2026 เนื่องจากสต็อกน้ำมันทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น
โดยสรุป ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี เป็นสัญญาณที่มีความหมาย แต่ยังไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย หลักฐานในปัจจุบันเอนเอียงไปทาง ตลาดขาลงที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งอุปทาน มากกว่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง นอกจากนี้ EIA ระบุชัดว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 ขณะที่ IEA ประเมินว่าจะเกิดอุปทานส่วนเกินจำนวนมากในปีหน้า และการผลิตของสหรัฐยังคงทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยก็ไม่อาจมองข้ามได้ หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจยังเป็นบวก นั่นสะท้อนถึงปัญหาฝั่งอุปทาน และทำหน้าที่เป็นแรงกดเงินเฟ้อในระบบ
แต่หากราคาน้ำมันหลุดลงไปมากกว่านี้ พร้อมกับข้อมูลอุปสงค์ทั่วโลกที่เริ่มอ่อนแรง น้ำมันดิบจะกลายเป็นสัญญาณเตือนที่ดังขึ้น สำหรับตอนนี้ ข้อความของตลาดยังไม่ใช่ “เศรษฐกิจถดถอยมาถึงแล้ว” แต่คือ “น้ำมันล้นตลาด และตลาดเชื่อเช่นนั้น”
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ