เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-15
ราคาเงินกำลังมีปีที่เทรดเดอร์จะพูดถึงไปอีกเป็นสิบปี โลหะสีขาวชนิดนี้พุ่งทะลุทุกระดับประวัติศาสตร์ ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเหนือระดับ 64 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในปี 2025
ราคาทองคำเคลื่อนไหวตามมาอย่างใกล้ชิด โดยทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์กลับซบเซาอยู่แถว 61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มเผชิญหนึ่งในปีที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020
บทความนี้จะพาไปดูว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักอยู่ตรงไหนในปัจจุบัน อะไรคือปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของทองคำ เงิน และน้ำมันดิบ รวมถึงระดับทางเทคนิคใดที่มีความสำคัญ หากคุณวางแผนเทรดต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายปีและตลอดปี 2026
| สินทรัพย์ | ราคาล่าสุด (โดยประมาณ) * | การเคลื่อนไหว 1 เดือน | ภาพรวม 12 เดือน | ประเด็นสำคัญ |
|---|---|---|---|---|
| ทองคำ (สปอต) | 4,320 ดอลลาร์/ออนซ์ | ปรับขึ้นเล็กน้อย | ใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังปรับขึ้นราว 50–60% ในปีนี้ | แนวโน้มขาขึ้นจากบทบาทสินทรัพย์ปลอดภัยและความคาดหวังการลดดอกเบี้ยยังคงอยู่ |
| เงิน (สปอต) | เหนือ 62 ดอลลาร์/ออนซ์ | ปรับขึ้นแรง | เพิ่มขึ้นราว 95–130% ในปีนี้ ขึ้นอยู่กับตลาดและสกุลเงิน | โลหะมีค่าที่ได้แรงหนุนทั้งด้านการเงินและอุตสาหกรรม ทำผลงานเหนือกว่าทองคำ |
| น้ำมันดิบ Brent | 61.4 ดอลลาร์/บาร์เรล | ลดลงราว 4–5% | ลดลงประมาณ 17% เมื่อเทียบรายปี | ความกังวลอุปทานล้นตลาดและแนวโน้มอุปสงค์ที่ระมัดระวังกดดันราคา |
| น้ำมันดิบ WTI | 57.7 ดอลลาร์/บาร์เรล | ลดลงราว 3–4% | ลดลงเกือบ 18% เมื่อเทียบรายปี | ตลาดยังอยู่ในแนวโน้มขาลง แม้มีแรงกระตุ้นจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์เป็นระยะ |
*ราคาเป็นค่าประมาณ อ้างอิงข้อมูลช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025
เมื่อพิจารณาดัชนีอ้างอิงหลักของโลก จะเห็นความแตกต่างของทิศทางอย่างชัดเจน
ราคาเงินซื้อขายอยู่แถว 62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% นับตั้งแต่ต้นปี หลังทำจุดสูงสุดใหม่ใกล้ 64.60 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนธันวาคม
ราคาทองคำยืนอยู่ใกล้ระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลราว 1–2% จากระดับประมาณ 4,381 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม
ขณะที่น้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวบริเวณ 61–61.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงราว 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังคงติดอยู่ในแนวโน้มขาลงในภาพรวม
ปัจจัยมหภาคที่เชื่อมโยงทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2025 ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงเริ่มลดลง
ขณะเดียวกัน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA), ING และสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) ต่างอธิบายสถานการณ์นี้ว่าเป็น “ความแตกต่างครั้งใหญ่” (Great Divergence) โดยตลาดโลหะมีค่าพุ่งขึ้นแรง ในขณะที่ตลาดพลังงานถูกกดดันจากสต็อกที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของอุปสงค์ที่อยู่ในระดับจำกัด

เงินได้เปลี่ยนบทบาทจากสินทรัพย์ที่เคยเป็นเพียง “การไล่ตามราคา” (catch-up trade) มาเป็นประเด็นมหภาคระดับแนวหน้าของตลาดอย่างเต็มตัว ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ราคาเงินในตลาดสปอตเคลื่อนไหวบริเวณราว 62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% แล้วในปี 2025 เพียงปีเดียว
โลหะชนิดนี้สร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 64.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม
ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันแถว 64.3–64.6 ดอลลาร์ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25%
ทะลุระดับ 60 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่านับตั้งแต่ต้นปี
ตลาดฟิวเจอร์สของอินเดีย (MCX) สะท้อนแรงบีบซื้อเช่นเดียวกัน โดยสัญญาส่งมอบเดือนมีนาคมพุ่งทะลุระดับ 2 แสนรูปีต่อกิโลกรัม ยิ่งตอกย้ำภาพรวมของตลาดเงินโลกที่กำลังร้อนแรงอย่างรวดเร็ว
เงินได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยด้านการเงินและภาคอุตสาหกรรม:
ในด้านนโยบายการเงิน ราคาเงินมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทองคำ เมื่อความคาดหวังต่ออัตราดอกเบี้ยลดลงและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ในด้านอุตสาหกรรม ความต้องการใช้เงินในแผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน อุปทานกลับเติบโตอย่างจำกัดจากการขาดการลงทุนในเหมืองใหม่ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินยังเริ่มต้นปีจากระดับราคาที่ต่ำกว่าทองคำมาก ทำให้การปรับตัวขึ้นส่วนหนึ่งสะท้อนการ “ไล่ตามราคา” หลังจากทำผลงานด้อยกว่าทองคำมาเป็นเวลาหลายปี
ความเสี่ยงหลักในระยะนี้คือการที่สถานะเก็งกำไรอาจเริ่มหนาแน่นเกินไป
เมื่อราคาเงินทะลุระดับจิตวิทยาสำคัญหลายระดับ ความสนใจของนักลงทุนรายย่อยและการใช้เลเวอเรจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่าน ETF และออปชันระยะสั้น
ราคาเงินมีความผันผวนสูงกว่าทองคำมาก ดังนั้น การย่อตัวลง 10–15% สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน แม้ตลาดจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นก็ตาม
จากมุมมองการเทรด เงินจึงควรถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความไวต่อปัจจัยมหภาค (high-beta) ในทิศทางเดียวกับทองคำ แต่มีแรงหนุนจากอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติม และมีความผันผวนที่รุนแรงทั้งขาขึ้นและขาลง

ราคาทองคำถูกผลักดันให้ปรับตัวสูงขึ้นจากกระแสปัจจัยมหภาคชุดเดียวกับเงิน แม้กระแสความสนใจของตลาดจะเทไปทางฝั่งเงินมากกว่าในช่วงนี้
ราคาทองคำในตลาดสปอตซื้อขายอยู่บริเวณราว 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยทองคำได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลใกล้ระดับ 4,381 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม และมีการขึ้นไปทดสอบระดับเหนือ 4,300 ดอลลาร์หลายครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม
ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ประเมินว่า ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 60% นับตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับการปรับขึ้นระดับสองหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
BIS ถึงกับระบุว่า ทั้งทองคำและหุ้นสหรัฐฯ เริ่มแสดงลักษณะคล้ายภาวะ “ฟองสบู่” โดยได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างมากจากกระแสเงินของนักลงทุนรายย่อยและการขยายความคาดหวังผ่านสื่อ
ปัจจัยสนับสนุนทองคำในรอบนี้เป็นภาพที่คุ้นเคยสำหรับนักลงทุนที่ผ่านวัฏจักรนโยบายผ่อนคลายหลังปี 2008 มาแล้ว
ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2025 และตลาดยังคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้งในปี 2026 แม้แผนภูมิคาดการณ์ดอกเบี้ย (dot plot) จะมีท่าทีค่อนข้างเข้มงวดก็ตาม
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิอย่างต่อเนื่อง ดังที่ปรากฏในงานวิจัยและรายงานแนวโน้มกลางปีของสภาทองคำโลก (World Gold Council)
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง ตั้งแต่ยุโรปตะวันออกไปจนถึงตะวันออกกลาง ส่งผลให้ทองคำยังได้รับแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัจจัยเดียวกันที่หนุนราคาเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่ลดลง และการแสวงหาสินทรัพย์นอกระบบธนาคาร ต่างหลั่งไหลเข้ามาหนุนราคาทองคำโดยตรงเช่นกัน

เมื่อเทียบกับความร้อนแรงของโลหะมีค่า น้ำมันกลายเป็นสินทรัพย์ที่ตามหลังตลาดอย่างชัดเจน
น้ำมันดิบ WTI ซื้อขายอยู่บริเวณราว 57–58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเกือบ 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่น้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวแถว 61–62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเกือบ 17% ในรอบ 12 เดือน และอ่อนตัวลงราว 4–5% ภายในช่วงเดือนที่ผ่านมา
โครงสร้างเส้นอัตราราคาฟิวเจอร์สของทั้งสองสัญญาอยู่ในลักษณะค่อนข้างแบนหรือเอียงไปทางคอนแทงโกเล็กน้อย สะท้อนการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมัน และความคาดหวังของตลาดว่าอุปทานส่วนเกินในระดับปานกลางอาจดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026
แม้สถานการณ์จะยังไม่ถึงขั้น “พังทลาย” แต่ก็ชัดเจนว่าตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะอ่อนตัว มากกว่าจะเป็นตลาดที่ตึงตัว
ปัจจัยพื้นฐานเป็นคำอธิบายหลักว่าทำไมน้ำมันจึงอ่อนแรง ในขณะที่โลหะมีค่าปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 830,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2025 และราว 860,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2026 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างชะลอ เมื่อเทียบกับวัฏจักรก่อนหน้า
ในด้านอุปทาน การผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการทยอยยกเลิกมาตรการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของกลุ่ม OPEC+ ส่งผลให้สต็อกน้ำมันโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตลอดปี 2025 และลากยาวไปถึงปี 2026
รายงานล่าสุดของ OPEC ยังระบุว่า ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มกลับสู่ภาวะสมดุลในปี 2026 มากกว่าที่จะขาดแคลน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้จุดชนวนให้ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ร่วงลงมากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในวันเดียวในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2026 โดยถูกจำกัดจากระดับสต็อกที่เพิ่มขึ้นและภาวะอุปทานส่วนเกิน
แม้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะยังคงเป็นความเสี่ยงที่แฝงอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อมูลด้านสถานะการลงทุนและงานวิจัยของสถาบันการเงินชี้ว่า ในขณะนี้เทรดเดอร์มืออาชีพให้ความสำคัญกับปัจจัยอุปสงค์–อุปทานมากกว่าความเสี่ยงจากข่าวพาดหัวเป็นหลัก
ด้านล่างคือภาพรวมการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างเป็นระบบของ XAU/USD (ทองคำ), XAG/USD (เงิน) และน้ำมันดิบ WTI โดยอ้างอิงราคาตลาดสปอตและสัญญาฟิวเจอร์สเดือนหน้า ณ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2025
| สินทรัพย์และกรอบเวลา | แนวโน้มหลัก | แนวรับสำคัญ (โดยประมาณ) | แนวต้านสำคัญ (โดยประมาณ) |
|---|---|---|---|
| ทองคำ (XAU/USD): รายวัน | ขาขึ้น | 4,220–4,250 (โซนเบรกเอาต์ล่าสุด); ถัดไป 4,100; แนวรับลึกใกล้ 3,950 | 4,350–4,380 (โซนจุดสูงสุดใหม่); ถัดไป 4,450 (เป้าหมายจากการวัดระยะ) |
| ทองคำ (XAU/USD): 4 ชั่วโมง | ขาขึ้น แต่มีการสลัดรายทางบ่อย | 4,250; ถัดไปแนวรับระยะสั้นแถว 4,200 | 4,320–4,340; ถัดไป 4,380 |
| เงิน (XAG/USD): รายวัน | ขาขึ้นรุนแรง มีภาวะยืดตัวมากเกินไป | 58–59 (โซนเบรกเอาต์ล่าสุด); ถัดไป 55–56; แนวรับลึกใกล้ 50 | 62–64 (โซนพุ่งล่าสุด); ถัดไปแนวจิตวิทยาที่ 70 |
| เงิน (XAG/USD): 4 ชั่วโมง | ขาขึ้นแรง (High Beta) | 59 ระยะสั้น; ถัดไป 57–58 | 62–63 |
| น้ำมันดิบ WTI: รายวัน | ขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไป | 56–57 (จุดต่ำล่าสุด); ถัดไป 54–55 (โซนคาดการณ์ค่าเฉลี่ยปี 2026) | 60–61 (แนวต้านล่าสุด); ถัดไป 64–65 (จุดสูงก่อนหน้า) |
| น้ำมันดิบ WTI: 4 ชั่วโมง | แกว่งตัวในกรอบขาลง | 57; ถัดไป 56 | 59–60 |
ระดับราคาดังกล่าวไม่ใช่เส้นที่ตายตัว แต่เป็นกรอบอ้างอิงที่ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถวางแผนจุดเข้า–ออก และบริหารความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดอาจผันผวนจากเหตุการณ์มหภาคสำคัญ เช่น การประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และการกล่าวสุนทรพจน์ของธนาคารกลาง
ใช่ โดยราคาเงินได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ระดับประมาณ 64.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เงินได้รับแรงหนุนจากปัจจัยด้านการเงินเช่นเดียวกับทองคำ พร้อมกับอุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสีเขียว ขณะที่การเติบโตของอุปทานจากเหมืองยังค่อนข้างจำกัด
ปัจจุบันทองคำซื้อขายอยู่แถวระดับ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งห่างจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 4,381 ดอลลาร์ ซึ่งทำไว้ในเดือนตุลาคม 2025 เพียงเล็กน้อย
ใช่ โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลงราว 17% เมื่อเทียบรายปี และซื้อขายต่ำกว่าจุดสูงของช่วงต้นทศวรรษ 2020 อย่างมีนัยสำคัญ
โดยสรุป ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในปัจจุบันมีความแตกต่างของทิศทางอย่างชัดเจน ทองคำและเงินโดดเด่นจากแรงหนุนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และความต้องการสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่แน่นอน
ในทางกลับกัน น้ำมันยังเผชิญแรงกดดันจากสต็อกที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของอุปสงค์ที่อยู่ในระดับจำกัด และแนวโน้มล่วงหน้าที่ระมัดระวังมากขึ้นจากหน่วยงานอย่าง IEA และ EIA
สำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ประเด็นสำคัญไม่ใช่การไล่ตามราคาทุกจังหวะ แต่คือการเข้าใจให้ชัดเจนว่าระดับใดคือแนวรับเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของตลาด
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ