เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-19
Value at Risk (VaR) หรือที่มักเรียกสั้น ๆ ว่า VaR คือวิธีการประเมินว่า ในช่วงเวลาที่กำหนด การเทรดหรือพอร์ตการลงทุนอาจขาดทุนได้มากแค่ไหน โดยตอบคำถามพื้นฐานแต่สำคัญว่า หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับเรา สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอาจเป็นอย่างไร?
สำหรับนักเทรดแล้ว VaR มีความสำคัญ เพราะช่วยแปลงความเสี่ยงด้านขาลงให้เป็นตัวเลขที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจเข้าเทรด ทำให้ความกลัวและการคาดเดาถูกแทนที่ด้วยข้อมูลที่วัดได้จริง การตัดสินใจจึงตั้งอยู่บนขอบเขตความเสี่ยง ไม่ใช่อารมณ์
Value at Risk (VaR) คือเครื่องมือวัดความเสี่ยงที่ใช้ประเมินว่า การลงทุนหรือพอร์ตการลงทุนอาจขาดทุนได้มากที่สุดเท่าใด ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ภายใต้สมมติฐานว่าสภาวะตลาดเป็นปกติ

VaR แสดงผลออกมาเป็นตัวเลขเพียงค่าเดียว และมักระบุควบคู่กับระดับความเชื่อมั่น เช่น 95% หรือ 99% โดยระดับความเชื่อมั่นนี้แสดงถึงความน่าจะเป็นที่การขาดทุนจริงจะไม่เกินจำนวนที่ประเมินไว้
VaR ไม่ได้ทำนายผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่เป็นการประเมินการขาดทุนในระดับที่สมเหตุสมผล โดยอ้างอิงจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและพฤติกรรมของตลาดโดยทั่วไป
การแปลงความไม่แน่นอนให้เป็นตัวเลขที่วัดได้ ช่วยให้ Value at Risk เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดและผู้บริหารความเสี่ยง ในการเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่างดีลต่าง ๆ กำหนดขีดจำกัดการขาดทุน และตัดสินใจว่าจะนำเงินทุนไปเสี่ยงมากน้อยเพียงใดก่อนเปิดสถานะ
ลองนึกถึง VaR ว่าเป็นคำถามว่า “ถ้าสถานการณ์ผิดพลาดในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันอาจขาดทุนได้เท่าไร?” VaR ไม่ได้พยายามทำนายอนาคต แต่จะดูการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต แล้วใช้ข้อมูลนั้นมากำหนดขอบเขตการขาดทุน
VaR ยังใช้แนวคิดที่เรียกว่าระดับความเชื่อมั่น (confidence level) ซึ่งหมายถึงระดับความมั่นใจที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น หาก VaR รายวันเท่ากับ 5,000 ดอลลาร์ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% หมายความว่า ในวันส่วนใหญ่ การขาดทุนควรอยู่ต่ำกว่า 5,000 ดอลลาร์ และมีเพียงส่วนน้อยประมาณ 5 วันจาก 100 วันที่อาจขาดทุนมากกว่านั้น
นักเทรดและผู้บริหารความเสี่ยงมักพบ VaR ในรายงานความเสี่ยง สรุปพอร์ตการลงทุน และบางครั้งแสดงอยู่บนแพลตฟอร์มเทรดขั้นสูง VaR เป็นตัวชี้วัดที่ธนาคาร กองทุน และสถาบันการเงินให้ความสำคัญอย่างมาก ขณะเดียวกันนักเทรดรายย่อยก็สามารถใช้ VaR เพื่อกำหนดขนาดการเปิดสถานะ จำกัดความเสี่ยง และเปรียบเทียบความเสี่ยงระหว่างตลาดต่าง ๆ ได้เช่นกัน
VaR ไม่ได้เป็นค่าคงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด
ความผันผวนของตลาด: เมื่อราคาผันผวนมากขึ้น VaR มักจะสูงขึ้น เพราะความสูญเสียอาจเกิดขึ้นได้เร็วและรุนแรงกว่า ในช่วงที่ตลาดสงบ VaR มักลดลง
ขนาดของตำแหน่งการลงทุน: การถือสถานะที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มโอกาสขาดทุน VaR จึงสูงขึ้นตามขนาดการเทรด
ระยะเวลาการถือครอง: ระยะเวลาถือครองที่ยาวขึ้นมักทำให้ VaR สูงขึ้น เพราะราคามีเวลาขยับตัวมากกว่า
ความสัมพันธ์ของตลาด: หากหลายสถานะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน VaR รวมจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากความขาดทุนอาจซ้อนทับกัน
เมื่อความผันผวนพุ่งสูง หรือขนาดสถานะเพิ่มมากเกินไป Value at Risk มักจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
Value at Risk (VaR) มีผลโดยตรงต่อการวางแผนจุดเข้า (Entry), จุดออก (Exit) และระดับการเปิดรับความเสี่ยงโดยรวม หาก VaR อยู่ในระดับสูง อาจเป็นสัญญาณว่าควรลดขนาดสถานะหรือใช้จุดตัดขาดทุนที่แคบลง ในทางกลับกัน หาก VaR อยู่ในระดับต่ำ จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นยังอยู่ภายใต้การควบคุม

VaR ยังส่งผลต่อต้นทุนการเทรดและการวางแผนความเสี่ยง ด้วยความเสี่ยงที่สูงมักมาพร้อมกับสเปรดที่กว้างขึ้น การขาดทุนที่เกิดเร็วขึ้น และแรงกดดันทางอารมณ์ที่มากกว่า การควบคุม VaR ให้อยู่ในระดับที่รับได้ ช่วยให้นักเทรดสามารถเทรดได้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย
VaR อยู่ภายในขีดจำกัดการขาดทุนรายวันหรือรายสัปดาห์ที่วางไว้
ขนาดสถานะสอดคล้องกับระดับความผันผวนในปัจจุบัน
แม้การเทรดจะล้มเหลว ความเสี่ยงยังรู้สึกว่าสามารถรับมือได้
VaR สูงเกินกว่าระดับการขาดทุนที่คุณยอมรับได้
ตลาดผันผวนสูง แต่ขนาดสถานะยังไม่ถูกปรับลด
การเทรดเพียงครั้งเดียวอาจสร้างความเสียหายให้กับพอร์ต
สมมติว่าคุณเทรดพอร์ตมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ จากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่ผ่านมา ค่า Value at Risk รายวัน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ถูกประเมินไว้ที่ 300 ดอลลาร์
ซึ่งหมายความว่า ในวันส่วนใหญ่ การขาดทุนควรอยู่ต่ำกว่า 300 ดอลลาร์ หากคุณเพิ่มขนาดสถานะเป็นสองเท่าโดยที่สภาวะตลาดไม่เปลี่ยนแปลง VaR อาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 600 ดอลลาร์ และหากความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน VaR ก็อาจสูงกว่านั้นได้อีก
แนวคิดสำคัญไม่ใช่เรื่องของตัวเลขคำนวณ แต่คือ ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดสถานะและการแกว่งของราคา ยิ่งเปิดสถานะใหญ่ และราคาผันผวนมากเท่าไร ความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นก็ยิ่งสูงขึ้น ซึ่ง VaR ช่วยให้คุณมองเห็นล่วงหน้า
ก่อนกดปุ่มซื้อหรือขาย นักเทรดสามารถประเมิน VaR ได้จากขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
ตรวจสอบความผันผวนล่าสุดจากกราฟ เช่น ช่วงการแกว่งเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Range)
ทบทวนขนาดสถานะและความเสี่ยงรวมจากทุกสถานะที่เปิดอยู่
ใช้เครื่องมือวัดความเสี่ยงหรือเครื่องคำนวณบนแพลตฟอร์ม หากมีให้ใช้งาน
เปรียบเทียบการขาดทุนที่ประเมินได้กับขีดจำกัดความเสี่ยงรายวันหรือรายสัปดาห์ของคุณ
สถานการณ์ปกติคือ เมื่อการขาดทุนที่คาดการณ์ไว้ยังอยู่ภายในแผนที่วางไว้ ส่วนสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงคือ เมื่อการเทรดเพียงครั้งเดียวอาจทำลายแผนนั้นได้ สร้างนิสัยตรวจสอบ Value at Risk ก่อนเปิดทุกสถานะใหม่ ไม่ใช่หลังจากที่การขาดทุนเกิดขึ้นแล้ว
มอง VaR เป็นหลักประกันความปลอดภัย: VaR เป็นเพียงการประเมินความเสี่ยง ไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะไม่ขาดทุน เหตุการณ์รุนแรงหรือผิดปกติอาจทำให้ขาดทุนเกิน VaR ได้
ไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาด: การใช้ข้อมูลเก่าในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนรูปแบบใหม่ อาจทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง
พึ่งพา VaR เพียงอย่างเดียว: VaR ควรใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ไม่ใช่ใช้แทนจุดตัดขาดทุนหรือกฎการบริหารความเสี่ยง
ใช้ข้อมูลย้อนหลังสั้นเกินไป: ข้อมูลที่จำกัดอาจสร้างความรู้สึกว่าตลาดมีเสถียรภาพมากกว่าความเป็นจริง
ลืมความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์: การเปิดหลายสถานะที่มีลักษณะคล้ายกัน อาจทำให้ความเสี่ยงรวมสูงกว่าที่คาดไว้
ความผันผวน : ตัวชี้วัดว่าราคาเคลื่อนไหวมากเพียงใด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ VaR
การบริหารความเสี่ยง : กระบวนการระบุ วัด และจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น โดย VaR ถูกใช้เพื่อกำหนดขีดจำกัดความเสี่ยงที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด
สภาพคล่องของตลาด : ความสามารถในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งมีผลต่อ VaR เพราะสภาพคล่องต่ำอาจเพิ่มความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
อัตราผลตอบแทน : กำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนตามช่วงเวลา ซึ่งนักเทรดนำมาเปรียบเทียบกับ VaR เพื่อประเมินว่าผลตอบแทนที่คาดหวังคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
Value at Risk ประเมินว่า นักเทรดอาจขาดทุนได้มากเท่าใดภายในช่วงเวลาที่กำหนด ภายใต้สภาวะตลาดปกติ ช่วยกำหนดตัวเลขที่ชัดเจนของความเสี่ยงด้านขาลง เพื่อใช้ตัดสินใจว่าความเสี่ยงของการเทรดนั้นยอมรับได้หรือไม่ก่อนเข้าเทรด
ไม่ VaR ไม่ได้แสดงการขาดทุนสูงสุดที่เป็นไปได้ หรือเหตุการณ์รุนแรงสุดขั้ว แต่เป็นการประเมินช่วงการขาดทุนที่มีโอกาสเกิดขึ้น โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมราคาในอดีตและระดับความเชื่อมั่นที่เลือกใช้
ระดับความเชื่อมั่นแสดงถึงความถี่ที่คาดว่าการขาดทุนจะไม่เกินขีดจำกัด VaR เช่น ระดับความเชื่อมั่น 95% หมายความว่า ในวันส่วนใหญ่ การขาดทุนควรอยู่ต่ำกว่า VaR และมีเพียงโอกาสเล็กน้อยที่จะเกินระดับนั้น
Stop Loss คือคำสั่งที่ตั้งไว้ในตลาดเพื่อปิดสถานะเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด ส่วน VaR เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ก่อนเริ่มเทรด VaR ช่วยกำหนดขนาดสถานะและขีดจำกัดความเสี่ยง ขณะที่ Stop Loss ทำหน้าที่บังคับใช้แผนระหว่างการเทรด
นักเทรดรายย่อยสามารถ และควรใช้ VaR ในรูปแบบที่เรียบง่าย แม้เพียงการประเมินการขาดทุนคร่าว ๆ ก็ช่วยควบคุมขนาดสถานะ บริหารการเปิดรับความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการเทรดที่อาจทำลายพอร์ตได้
ไม่ VaR เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ไม่ใช่ระบบบริหารความเสี่ยงที่สมบูรณ์ ควรใช้ควบคู่กับจุดตัดขาดทุน กฎการกำหนดขนาดสถานะ และการติดตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
Value at Risk คือเครื่องมือที่ช่วยประเมินว่า นักเทรดอาจขาดทุนได้มากเพียงใดภายใต้สภาวะตลาดปกติ โดยช่วยแปลงความไม่แน่นอนให้เป็นตัวเลขที่วัดได้ และทำให้ความเสี่ยงสอดคล้องกับขีดจำกัดที่วางแผนไว้
เมื่อใช้อย่างถูกต้อง VaR จะช่วยสนับสนุนการกำหนดขนาดสถานะอย่างมีวินัย และการตัดสินใจที่สม่ำเสมอ แต่หากใช้เพียงลำพัง หรือใช้โดยไม่ผสานกับเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอื่น ๆ อาจสร้างความรู้สึกปลอดภัยที่ผิดพลาดได้
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ