简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ตลาดน้ำมันร่วงแรง! ราคาน้ำมัน WTI แตะ 57.51 ดอลลาร์ ขณะที่ Brent อยู่ที่ 60 ดอลลาร์

ผู้เขียน: Ethan Vale

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-21

ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงราว 1.78% ในวันนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ (WTI) อยู่ที่ 57.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงประมาณ 2.00%

ราคาน้ำมันดิบ Brent วันนี้

ราคาน้ำมันดิบ WTI วันนี้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนกำลังชั่งน้ำหนักสัญญาณที่ขัดแย้งกันระหว่างอุปทาน อุปสงค์ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ การปรับตัวลงของราคาน้ำมันบ่งชี้ถึงความระมัดระวังของนักลงทุน ท่ามกลางความคาดหวังต่อภาวะสินค้าคงคลังล้นตลาด และการขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจนในระยะสั้น


ด้านล่างนี้คือการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างมืออาชีพเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ ครอบคลุมประเด็นด้านสินค้าคงคลัง พลวัตอุปทาน การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และผลกระทบต่อตลาด


ตัวชี้วัดด้านอุปทานและสินค้าคงคลังหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง

มีปัจจัยพื้นฐานสำคัญหลายประการที่เป็นแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบในวันนี้

  • ข้อมูลสินค้าคงคลังและการคาดการณ์ทั่วโลกชี้ว่าการเติบโตของอุปทานกำลังแซงหน้าความต้องการ รายงานนักวิเคราะห์คาดว่า ปี 2026 ตลาดน้ำมันอาจเข้าสู่ภาวะล้นตลาด

  • แม้ว่าสินค้าคงคลังบางภูมิภาค โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะลดลงบ้าง แต่ภาพรวมสมดุลอุปสงค์-อุปทานยังคงอ่อนแอ ข้อมูลรายสัปดาห์ของฟิวเจอร์ส WTI แสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงลบต่อเนื่อง

  • OPEC+ ส่งสัญญาณปรับลดการผลิตเพียงเล็กน้อย ซึ่งถูกตีความว่าไม่เพียงพอในการหนุนราคาน้ำมันให้กลับมาแข็งแกร่ง


สรุปแล้ว แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะตอบสนองต่อสัญญาณระยะสั้น แต่พื้นฐานตลาดยังเอียงไปทางภาวะอุปทานส่วนเกิน ทำให้ทิศทางราคายังคงโน้มถ่วงลง


มุมมองทางเทคนิคต่อราคาน้ำมันดิบ (WTI เป็นตัวแทน)

เมื่อพิจารณาจากกราฟ ราคาน้ำมันดิบ WTI มีโซนแนวรับและแนวต้านสำคัญที่นักลงทุนจับตา:

  • แนวรับ: ประมาณ 57.10–57.50 ดอลลาร์ การหลุดต่ำกว่าโซนนี้อย่างชัดเจนอาจเปิดทางลงสู่ระดับ 56 ดอลลาร์หรือต่ำกว่า

  • แนวต้าน: ประมาณ 60.40–61.00 ดอลลาร์ หากสามารถทะลุขึ้นไปได้อาจช่วยปรับอารมณ์ตลาด แต่จากปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันแล้ว โอกาสยังถือว่าจำกัด

  • สัญญาณทางเทคนิคยังสะท้อนมุมมองซึมตัวถึงอ่อนตัว โดยโมเมนตัมอ่อนแอและราคายังคงถูกกดดันจากปัจจัยอุปทานส่วนเกิน

ดังนั้น โครงสร้างทางเทคนิคยังคงสนับสนุนทิศทางขาลงของราคาน้ำมันดิบ พร้อมความเสี่ยงที่จะปรับลดลงต่อ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเปลี่ยนทิศทางตลาดอย่างมีนัยสำคัญ


ผลกระทบต่อตลาดและแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ

ราคาน้ำมันลดลง

1. ผลกระทบ

  1. หุ้นพลังงานและหุ้นที่เชื่อมโยงกับน้ำมัน:

    มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะบริษัทที่มีต้นทุนคุ้มทุนสูง

  2. ผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ:
    ราคาน้ำมันที่ลดลงอาจช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบให้กับภาคขนส่งและการผลิต แต่ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำสัญญาณอุปสงค์ที่อ่อนแรง ซึ่งอาจสร้างความกังวลต่อทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ

  3. สำหรับผู้บริโภค/ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง:
    ราคาน้ำมันดิบบางส่วนอาจส่งผ่านไปยังราคาน้ำมันหน้าปั๊มในที่สุด แต่ความล่าช้าและโครงสร้างภาษีในแต่ละประเทศอาจทำให้ผลประโยชน์ไม่เกิดขึ้นทันที


2. แนวโน้ม

  1. ระยะสั้น:
    ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 57–61 ดอลลาร์ โดยมีน้ำหนักไปทางด้านลบ หากไม่มีสัญญาณความต้องการฟื้นตัว หรืออุปทานถูกจำกัดมากกว่าคาด

  2. ระยะกลาง:
    หากยังไม่มีการลดกำลังการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ หรืออุปสงค์ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงไม่มีเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง ราคาน้ำมันอาจฟื้นกลับขึ้นไปได้อย่างจำกัด

  3. ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง:
    แถลงการณ์นโยบายของกลุ่ม OPEC+ รายงานสินค้าคงคลังสัปดาห์ของสหรัฐฯ (จาก EIA) ข้อมูลความต้องการพลังงานทั่วโลก (โดยเฉพาะจากจีน/อินเดีย) และความเสี่ยงด้านอุปทานจากเหตุการณ์รบกวนหรือภัยภูมิรัฐศาสตร์


ข้อควรพิจารณาเชิงกลยุทธ์ ท่ามกลางการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ

ราคาน้ำมันดิบลดลง

เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง นักลงทุนและผู้ประกอบการควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:

1. การป้องกันความเสี่ยง:

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เช่น บริษัทพลังงานหรือภาคขนส่ง ควรตรวจสอบมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือการตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-loss) เพื่อจำกัดผลกระทบ

2. การเข้าลงทุนอย่างเลือกสรร:

การเข้าซื้อสถานะ Long ในน้ำมันดิบอาจต้องรอให้ราคาทะลุแนวต้านหรือมีสัญญาณพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มากกว่าการ “เสี่ยงจับจุดต่ำสุด”

3. การกระจายความเสี่ยงและการวางแผนสถานการณ์:

วางแผนตามกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีฐาน (ราคายังคงเคลื่อนไหวในกรอบเดิม) กรณีขาลง (หลุดต่ำกว่า 56 ดอลลาร์) กรณีขาขึ้น (เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ดันราคาพุ่งขึ้น)

4. การติดตามต้นทุนและอุปสงค์ปลายทาง:

แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุน แต่ก็อาจสะท้อนถึงความต้องการปลายทางที่อ่อนแอ จึงต้องประเมินทั้งสองด้านควบคู่กัน


การคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในช่วง 3 เดือนข้างหน้า

ช่วงเวลา ต่ำกว่า 56 ดอลลาร์ 56–60 ดอลลาร์ มากกว่า 60 ดอลลาร์ สรุปมุมมอง
เดือนที่ 1 (4 สัปดาห์ข้างหน้า) 35% 50% 15% ราคาปัจจุบันที่ราว 57.51 ดอลลาร์ (WTI) มีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 56–60 ดอลลาร์ แต่ความเสี่ยงลงต่ำกว่า 56 ดอลลาร์ยังคงมีถึง 35% จากแรงกดดันอุปทาน ส่วนโอกาสฟื้นขึ้นเหนือ 60 ดอลลาร์ยังต่ำ
เดือนที่ 2 (สัปดาห์ที่ 4–8) 40% 45% 15% ความกังวลต่อสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นและท่าทีระมัดระวังของ OPEC+ ทำให้ความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เดือนที่ 3 (สัปดาห์ที่ 8–12) 45% 40% 15% หากปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ตลาดมีโอกาสไหลลงต่อ ความน่าจะเป็นที่ราคาจะเหนือ 60 ดอลลาร์ยังคงต่ำ เว้นแต่มีเหตุการณ์คาดไม่ถึง


บทสรุป

โดยสรุป ราคาน้ำมันดิบยังคงเผชิญแรงกดดันในวันนี้ โดย Brent อยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ WTI อยู่ที่ 57.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สะท้อนถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการเติบโตของอุปทานที่ยังคงต่อเนื่อง และท่าทีระมัดระวังของ OPEC+


แม้ว่าสินค้าคงคลังในสหรัฐฯ จะปรับลดลงเล็กน้อยซึ่งช่วยพยุงราคาได้บ้าง แต่ความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทานในระดับโลกยังคงจำกัดโอกาสการปรับขึ้นในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ


สัญญาณทางเทคนิคยังสนับสนุนมุมมองอ่อนตัวถึงทรงตัวในระยะสั้น โดยราคาน้ำมัน WTI มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 57–61 ดอลลาร์ เว้นแต่จะมีปัจจัยบวกสำคัญเข้ามากระตุ้นตลาด


คำถามที่พบบ่อย

Q1: ทำไมหากมีการพูดถึงการลดกำลังการผลิต ราคาน้ำมัน WTI ยังลดลงอยู่?

แม้จะมีสัญญาณการลดกำลังการผลิต แต่ตลาดมองว่ามาตรการยังมีขนาดจำกัดหรืออาจเกิดขึ้นล่าช้า ขณะที่การผลิตและสินค้าคงคลังทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดไม่มั่นใจต่อความตึงตัวของอุปทานในระยะสั้น

Q2: ปัจจัยใดจะผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรงได้?

ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดการหยุดชะงักด้านอุปทานจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์หรือภัยธรรมชาติ มีนโยบายลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม หรืออุปสงค์น้ำมันทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

Q3: ตัวเลขสินค้าคงคลังมีผลต่อราคาน้ำมันอย่างไร?

ตัวเลขสินค้าคงคลังบ่งชี้ภาวะตลาด หากสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นจะสะท้อนภาวะอุปทานส่วนเกินและกดดันราคา ขณะที่การลดลงของสต็อกสามารถช่วยหนุนราคาขึ้นได้

Q4: บริษัทพลังงานควรรับมือกับสภาพตลาดเช่นนี้อย่างไร?

ควรบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ทบทวนการลงทุนในโครงการที่มีต้นทุนคุ้มทุนสูง ป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน และติดตามแนวโน้มความต้องการพลังงานในระยะยาวอย่างใกล้ชิด

Q5: ราคาน้ำมันดิบระยะสั้นน่าจะอยู่ในกรอบใด?

คาดว่าราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 57–61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมีความเสี่ยงด้านลบหากราคาหลุดแนวรับสำคัญ ระหว่างรอปัจจัยบวกที่ชัดเจนเข้ามาหนุนตลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
สาเหตุราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่า 62 ดอลลาร์?
จากเหตุการณ์จริงสู่บทเรียนใหญ่ของการขาดสภาพคล่อง (Illiquidity)
ตลาดร่วงแรงวันนี้เพราะอะไร? วิเคราะห์ปัจจัยกระทบและสัญญาณสำคัญ
ทองคำสะดุดก่อนตัวเลขเงินเฟ้อ WTI ยืนเหนือแรงขาย
น้ำมันพุ่งรับข่าวคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะ Netflix ผิดหวังกำไรต่ำกว่าคาด