เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-21
ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงราว 1.78% ในวันนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ (WTI) อยู่ที่ 57.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงประมาณ 2.00%


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนกำลังชั่งน้ำหนักสัญญาณที่ขัดแย้งกันระหว่างอุปทาน อุปสงค์ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ การปรับตัวลงของราคาน้ำมันบ่งชี้ถึงความระมัดระวังของนักลงทุน ท่ามกลางความคาดหวังต่อภาวะสินค้าคงคลังล้นตลาด และการขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจนในระยะสั้น
ด้านล่างนี้คือการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างมืออาชีพเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ ครอบคลุมประเด็นด้านสินค้าคงคลัง พลวัตอุปทาน การวิเคราะห์เชิงเทคนิค และผลกระทบต่อตลาด
มีปัจจัยพื้นฐานสำคัญหลายประการที่เป็นแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบในวันนี้
ข้อมูลสินค้าคงคลังและการคาดการณ์ทั่วโลกชี้ว่าการเติบโตของอุปทานกำลังแซงหน้าความต้องการ รายงานนักวิเคราะห์คาดว่า ปี 2026 ตลาดน้ำมันอาจเข้าสู่ภาวะล้นตลาด
แม้ว่าสินค้าคงคลังบางภูมิภาค โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะลดลงบ้าง แต่ภาพรวมสมดุลอุปสงค์-อุปทานยังคงอ่อนแอ ข้อมูลรายสัปดาห์ของฟิวเจอร์ส WTI แสดงการเปลี่ยนแปลงเชิงลบต่อเนื่อง
OPEC+ ส่งสัญญาณปรับลดการผลิตเพียงเล็กน้อย ซึ่งถูกตีความว่าไม่เพียงพอในการหนุนราคาน้ำมันให้กลับมาแข็งแกร่ง
สรุปแล้ว แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะตอบสนองต่อสัญญาณระยะสั้น แต่พื้นฐานตลาดยังเอียงไปทางภาวะอุปทานส่วนเกิน ทำให้ทิศทางราคายังคงโน้มถ่วงลง
เมื่อพิจารณาจากกราฟ ราคาน้ำมันดิบ WTI มีโซนแนวรับและแนวต้านสำคัญที่นักลงทุนจับตา:
แนวรับ: ประมาณ 57.10–57.50 ดอลลาร์ การหลุดต่ำกว่าโซนนี้อย่างชัดเจนอาจเปิดทางลงสู่ระดับ 56 ดอลลาร์หรือต่ำกว่า
แนวต้าน: ประมาณ 60.40–61.00 ดอลลาร์ หากสามารถทะลุขึ้นไปได้อาจช่วยปรับอารมณ์ตลาด แต่จากปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันแล้ว โอกาสยังถือว่าจำกัด
สัญญาณทางเทคนิคยังสะท้อนมุมมองซึมตัวถึงอ่อนตัว โดยโมเมนตัมอ่อนแอและราคายังคงถูกกดดันจากปัจจัยอุปทานส่วนเกิน
ดังนั้น โครงสร้างทางเทคนิคยังคงสนับสนุนทิศทางขาลงของราคาน้ำมันดิบ พร้อมความเสี่ยงที่จะปรับลดลงต่อ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเปลี่ยนทิศทางตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

หุ้นพลังงานและหุ้นที่เชื่อมโยงกับน้ำมัน:
มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะบริษัทที่มีต้นทุนคุ้มทุนสูง
ผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ:
ราคาน้ำมันที่ลดลงอาจช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบให้กับภาคขนส่งและการผลิต แต่ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำสัญญาณอุปสงค์ที่อ่อนแรง ซึ่งอาจสร้างความกังวลต่อทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับผู้บริโภค/ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง:
ราคาน้ำมันดิบบางส่วนอาจส่งผ่านไปยังราคาน้ำมันหน้าปั๊มในที่สุด แต่ความล่าช้าและโครงสร้างภาษีในแต่ละประเทศอาจทำให้ผลประโยชน์ไม่เกิดขึ้นทันที
ระยะสั้น:
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 57–61 ดอลลาร์ โดยมีน้ำหนักไปทางด้านลบ หากไม่มีสัญญาณความต้องการฟื้นตัว หรืออุปทานถูกจำกัดมากกว่าคาด
ระยะกลาง:
หากยังไม่มีการลดกำลังการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ หรืออุปสงค์ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงไม่มีเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง ราคาน้ำมันอาจฟื้นกลับขึ้นไปได้อย่างจำกัด
ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง:
แถลงการณ์นโยบายของกลุ่ม OPEC+ รายงานสินค้าคงคลังสัปดาห์ของสหรัฐฯ (จาก EIA) ข้อมูลความต้องการพลังงานทั่วโลก (โดยเฉพาะจากจีน/อินเดีย) และความเสี่ยงด้านอุปทานจากเหตุการณ์รบกวนหรือภัยภูมิรัฐศาสตร์

เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง นักลงทุนและผู้ประกอบการควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เช่น บริษัทพลังงานหรือภาคขนส่ง ควรตรวจสอบมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือการตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-loss) เพื่อจำกัดผลกระทบ
การเข้าซื้อสถานะ Long ในน้ำมันดิบอาจต้องรอให้ราคาทะลุแนวต้านหรือมีสัญญาณพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มากกว่าการ “เสี่ยงจับจุดต่ำสุด”
วางแผนตามกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีฐาน (ราคายังคงเคลื่อนไหวในกรอบเดิม) กรณีขาลง (หลุดต่ำกว่า 56 ดอลลาร์) กรณีขาขึ้น (เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ดันราคาพุ่งขึ้น)
แม้ว่าราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุน แต่ก็อาจสะท้อนถึงความต้องการปลายทางที่อ่อนแอ จึงต้องประเมินทั้งสองด้านควบคู่กัน
| ช่วงเวลา | ต่ำกว่า 56 ดอลลาร์ | 56–60 ดอลลาร์ | มากกว่า 60 ดอลลาร์ | สรุปมุมมอง |
|---|---|---|---|---|
| เดือนที่ 1 (4 สัปดาห์ข้างหน้า) | 35% | 50% | 15% | ราคาปัจจุบันที่ราว 57.51 ดอลลาร์ (WTI) มีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 56–60 ดอลลาร์ แต่ความเสี่ยงลงต่ำกว่า 56 ดอลลาร์ยังคงมีถึง 35% จากแรงกดดันอุปทาน ส่วนโอกาสฟื้นขึ้นเหนือ 60 ดอลลาร์ยังต่ำ |
| เดือนที่ 2 (สัปดาห์ที่ 4–8) | 40% | 45% | 15% | ความกังวลต่อสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นและท่าทีระมัดระวังของ OPEC+ ทำให้ความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย |
| เดือนที่ 3 (สัปดาห์ที่ 8–12) | 45% | 40% | 15% | หากปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ตลาดมีโอกาสไหลลงต่อ ความน่าจะเป็นที่ราคาจะเหนือ 60 ดอลลาร์ยังคงต่ำ เว้นแต่มีเหตุการณ์คาดไม่ถึง |
โดยสรุป ราคาน้ำมันดิบยังคงเผชิญแรงกดดันในวันนี้ โดย Brent อยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ WTI อยู่ที่ 57.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สะท้อนถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการเติบโตของอุปทานที่ยังคงต่อเนื่อง และท่าทีระมัดระวังของ OPEC+
แม้ว่าสินค้าคงคลังในสหรัฐฯ จะปรับลดลงเล็กน้อยซึ่งช่วยพยุงราคาได้บ้าง แต่ความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทานในระดับโลกยังคงจำกัดโอกาสการปรับขึ้นในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ
สัญญาณทางเทคนิคยังสนับสนุนมุมมองอ่อนตัวถึงทรงตัวในระยะสั้น โดยราคาน้ำมัน WTI มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 57–61 ดอลลาร์ เว้นแต่จะมีปัจจัยบวกสำคัญเข้ามากระตุ้นตลาด
แม้จะมีสัญญาณการลดกำลังการผลิต แต่ตลาดมองว่ามาตรการยังมีขนาดจำกัดหรืออาจเกิดขึ้นล่าช้า ขณะที่การผลิตและสินค้าคงคลังทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดไม่มั่นใจต่อความตึงตัวของอุปทานในระยะสั้น
ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดการหยุดชะงักด้านอุปทานจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์หรือภัยธรรมชาติ มีนโยบายลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม หรืออุปสงค์น้ำมันทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ตัวเลขสินค้าคงคลังบ่งชี้ภาวะตลาด หากสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นจะสะท้อนภาวะอุปทานส่วนเกินและกดดันราคา ขณะที่การลดลงของสต็อกสามารถช่วยหนุนราคาขึ้นได้
ควรบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ทบทวนการลงทุนในโครงการที่มีต้นทุนคุ้มทุนสูง ป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน และติดตามแนวโน้มความต้องการพลังงานในระยะยาวอย่างใกล้ชิด
คาดว่าราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 57–61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมีความเสี่ยงด้านลบหากราคาหลุดแนวรับสำคัญ ระหว่างรอปัจจัยบวกที่ชัดเจนเข้ามาหนุนตลาด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ