โบรกเกอร์ (Broker) คืออะไรในการเทรด?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

โบรกเกอร์ (Broker) คืออะไรในการเทรด?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-17   
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-18

โบรกเกอร์คือตัวกลางทางการเงิน ที่เชื่อมโยงนักเทรดและนักลงทุนเข้ากับตลาดการเงิน


บุคคลทั่วไปส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อขายได้โดยตรงในตลาดหลักทรัพย์หรือกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ดังนั้นโบรกเกอร์จึงทำหน้าที่จัดหาช่องทาง ระบบ และสิทธิ์ในการเข้าถึงตลาด เพื่อให้สามารถซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี และตราสารอนุพันธ์ได้


สำหรับนักเทรดแล้ว โบรกเกอร์มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นผู้กำหนดว่าคำสั่งซื้อขายถูกส่งอย่างไร ราคาแสดงผลแบบใด และคำสั่งถูกดำเนินการเร็วและมีประสิทธิภาพเพียงใด คุณภาพของโบรกเกอร์จึงส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการเทรด ความเร็วในการส่งคำสั่ง และความเสี่ยงโดยรวมของการซื้อขาย


คำนิยาม

ในแง่ของการเทรด โบรกเกอร์คือบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งทำหน้าที่ส่งและดำเนินการคำสั่งซื้อขายแทนลูกค้า โบรกเกอร์จัดเตรียมแพลตฟอร์มการเทรดที่แสดงราคา และเป็นช่องทางให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายได้

โบรกเกอร์คืออะไร?

ขึ้นอยู่กับตลาดและรูปแบบการทำงานของโบรกเกอร์ คำสั่งซื้อขายอาจถูกส่งไปยังตลาดหลักทรัพย์โดยตรง ส่งต่อไปยังผู้ให้สภาพคล่องภายนอก หรือถูกจัดการภายในระบบของโบรกเกอร์เอง


นักเทรดติดต่อและใช้งานโบรกเกอร์ผ่านกราฟราคา หน้าต่างส่งคำสั่ง ยอดเงินในบัญชี และการยืนยันผลการซื้อขาย ทั้งนักเทรดรายย่อย นักเทรดมืออาชีพ และสถาบันต่างพึ่งพาโบรกเกอร์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ระดับการบริการและเงื่อนไขจะแตกต่างกันไปตามประเภทของลูกค้า


บริการที่โบรกเกอร์มักมอบให้

โบรกเกอร์ให้บริการหลากหลายรูปแบบเพื่อช่วยให้นักเทรดเข้าถึงตลาด จัดการการซื้อขาย และควบคุมความเสี่ยง แม้ว่ารายละเอียดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทและประเภทสินทรัพย์ แต่โดยทั่วไปโบรกเกอร์จะมีบริการหลักดังต่อไปนี้


ประการแรก การเข้าถึงตลาดและการดำเนินคำสั่งซื้อขาย โบรกเกอร์ให้ราคาตลาดแบบเรียลไทม์ รองรับคำสั่งซื้อขายหลายประเภท และมีระบบส่งคำสั่งเพื่อให้เกิดการจับคู่และดำเนินการจริง คุณภาพของบริการส่วนนี้ส่งผลโดยตรงต่อความเร็ว ราคา และปัญหา slippage


ประการที่สอง แพลตฟอร์มและเครื่องมือการเทรด แพลตฟอร์มการเทรดจะแสดงกราฟ ตัวชี้วัด ยอดเงินในบัญชี และประวัติการซื้อขาย หลายแพลตฟอร์มยังมีเครื่องมือวิเคราะห์พื้นฐาน ระบบแจ้งเตือน และฟังก์ชันบริหารจัดการคำสั่ง


ประการที่สาม บริการด้านบัญชี รวมถึงการเปิดและดูแลบัญชีเทรด การฝาก–ถอนเงิน การกำหนดมาร์จิ้น และการคิดค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยจากสถานะการถือครองที่เปิดอยู่


ประการที่สี่ การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ  โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลต้องปฏิบัติตามกฎเกี่ยวกับการแยกเงินลูกค้า การรายงานข้อมูล และความโปร่งใส นอกจากนี้ยังมีการควบคุมมาร์จิ้น และอาจจำกัดการซื้อขายในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง


นอกจากนี้ โบรกเกอร์บางรายยังมีสื่อการศึกษาและบริการสนับสนุน เช่น บทวิเคราะห์ตลาด สัมมนาออนไลน์ หรือฝ่ายบริการลูกค้า แม้ว่าบริการเหล่านี้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการส่งคำสั่ง แต่ก็ช่วยให้นักเทรดเข้าใจผลิตภัณฑ์และการใช้งานแพลตฟอร์มได้ดียิ่งขึ้น


ปัจจัยทำให้เงื่อนไขของโบรกเกอร์เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน

เงื่อนไขของโบรกเกอร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย ได้แก่


  • ความผันผวนของตลาด: ตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วหรือไม่เสถียร อาจทำให้สเปรดกว้างขึ้นและการส่งคำสั่งช้าลง

  • ระดับสภาพคล่อง: ภาวะตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ อาจทำให้คุณภาพของราคาแย่ลง

  • เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหรือการตัดสินใจของธนาคารกลาง อาจทำให้โบรกเกอร์ปรับเงื่อนไขการเทรดชั่วคราว

  • การควบคุมความเสี่ยง: โบรกเกอร์อาจปรับข้อกำหนดมาร์จิ้นเพื่อบริหารความเสี่ยง


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถส่งผลต่อผลลัพธ์ของการเทรดได้ แม้ว่าทิศทางของตลาดจะถูกต้องก็ตาม


โบรกเกอร์ส่งผลต่อการเทรดของคุณอย่างไร?

โบรกเกอร์มีอิทธิพลต่อการเทรดใน 3 ด้านหลัก ด้านแรกคือราคา (Pricing) รวมถึงสเปรดและค่าคอมมิชชั่น ซึ่งส่งผลต่อจุดเข้าและจุดออกของการเทรด


ด้านที่สองคือ คุณภาพการส่งคำสั่ง (Execution quality) ความเร็ว การเกิด slippage และวิธีจัดการคำสั่ง จะกำหนดว่าการซื้อขายเกิดขึ้นใกล้กับราคาที่ตั้งใจไว้มากน้อยเพียงใด


ด้านที่สามคือ การบริหารความเสี่ยง (Risk management) กฎมาร์จิ้น การทำงานของคำสั่งหยุดขาดทุน และการคุ้มครองบัญชี ล้วนขึ้นอยู่กับระบบของโบรกเกอร์


สถานการณ์ที่พบได้บ่อย:


  • สถานการณ์ที่ดี: ราคาเสถียร การส่งคำสั่งรวดเร็ว กฎการเทรดชัดเจน

  • สถานการณ์เลวร้าย: สเปรดกว้าง การจับคู่คำสั่งล่าช้า เงื่อนไขเปลี่ยนแปลงกะทันหัน


การเข้าใจบทบาทของโบรกเกอร์ช่วยให้นักเทรดตั้งความคาดหวังได้ถูกต้องและควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น


ตัวอย่าง

สมมติว่าราคาตลาดอยู่ที่ 1.2000 โบรกเกอร์รายหนึ่งเสนอราคาที่ 1.1998–1.2002 ขณะที่อีกรายเสนอราคา 1.1995–1.2005 นักเทรดที่ซื้อผ่านโบรกเกอร์รายที่สองจะเริ่มต้นด้วยต้นทุนที่สูงกว่า แม้ว่าราคาตลาดจะเท่ากันก็ตาม


หากความผันผวนเพิ่มขึ้นและการส่งคำสั่งช้าลง คำสั่งแบบตลาด (Market Order) อาจถูกจับคู่ที่ราคาที่แย่กว่าเดิม ตัวสินทรัพย์เองไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เงื่อนไขของโบรกเกอร์เปลี่ยนไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเลือกโบรกเกอร์สามารถส่งผลต่อผลลัพธ์การเทรดได้อย่างไร


วิธีตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ไหนดี

โบรกเกอร์ที่ดีที่สุด - EBC

ก่อนเริ่มทำการเทรด นักเทรดมักจะพิจารณาประเด็นต่อไปนี้:


  • กฎระเบียบและการออกใบอนุญาต: ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานใด

  • ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม: ทำความเข้าใจเรื่องสเปรด ค่าคอมมิชชั่น และค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย/การถือครองสถานะ

  • คุณภาพการดำเนินการ: มองหาการแสดงราคาที่สม่ำเสมอและการเกิด slippage ให้น้อยที่สุด

  • ความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถเข้าใช้งานได้อย่างเสถียรในช่วงเวลาที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวสูง


นิสัยที่ดีคือ ทบทวนเงื่อนไขของโบรกเกอร์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่รอจนเกิดปัญหาแล้วจึงตรวจสอบ


ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเลือกโบรกเกอร์

  • เลือกโบรกเกอร์จากโฆษณาที่อ้างว่าต้นทุนต่ำเพียงอย่างเดียว

  • มองข้ามเรื่องการกำกับดูแลและการคุ้มครองเงินลูกค้า

  • ไม่ทำความเข้าใจกฎมาร์จิ้นก่อนเริ่มเทรด

  • เทรดอย่างรุนแรงในช่วงข่าวใหญ่โดยไม่มีการเตรียมตัว

  • คิดว่าโบรกเกอร์ทุกรายดำเนินการเหมือนกัน


ข้อผิดพลาดเหล่านี้มักทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น


คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

  • โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์: โบรกเกอร์ที่เชี่ยวชาญในการให้บริการเข้าถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

  • Market Order: คำสั่งซื้อหรือขายทันทีที่ราคาที่ดีที่สุดซึ่งมีอยู่ในตลาด

  • ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Bid-Ask Spread): ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายที่โบรกเกอร์เสนอ

  • โบรกเกอร์ A-Book: โบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งของลูกค้าไปยังผู้ให้สภาพคล่องภายนอกโดยตรง โดยไม่รับสถานะฝั่งตรงข้าม

  • โบรกเกอร์ B-Book: โบรกเกอร์ที่รับคำสั่งซื้อขายไว้ภายในระบบและทำหน้าที่เป็นคู่สัญญากับสถานะของลูกค้า

  • บัญชีจริง: บัญชีเทรดจริงที่ใช้เงินทุนจริง ซึ่งการซื้อขายจะมีผลกำไรและขาดทุนจริง


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. โบรกเกอร์ในการเทรดคืออะไร?

โบรกเกอร์คือ ตัวกลางทางการเงินที่ช่วยให้นักเทรดสามารถซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ได้ โดยโบรกเกอร์จะจัดเตรียมการเข้าถึงตลาด ราคา และการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มการเทรด


2. โบรกเกอร์เหมือนกับธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์หรือไม่?

ไม่เหมือนกัน ธนาคารอาจทำหน้าที่เป็นผู้ให้สภาพคล่อง ส่วนตลาดหลักทรัพย์คือสถานที่ที่มีการซื้อขายสินทรัพย์จริง ขณะที่โบรกเกอร์ทำหน้าที่เชื่อมโยงนักเทรดเข้ากับตลาดเหล่านั้น โบรกเกอร์เป็นจุดเข้าถึงตลาด ไม่ใช่ตัวตลาดเอง


3. โบรกเกอร์ทำรายได้อย่างไร?

โบรกเกอร์สร้างรายได้จากสเปรด ค่าคอมมิชชั่น ค่าดอกเบี้ย/ค่าถือครองสถานะ (financing charges) หรือการผสมผสานของค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ซึ่งเป็นต้นทุนที่มาพร้อมกับการเทรด และแตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์และประเภทสินทรัพย์


4. ทำไมการเลือกโบรกเกอร์จึงสำคัญสำหรับนักเทรด?

โบรกเกอร์แต่ละรายมีราคา ความเร็วในการส่งคำสั่ง กฎมาร์จิ้น และแพลตฟอร์ม ที่แตกต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้ส่งผลต่อต้นทุนการเทรด การควบคุมความเสี่ยง และประสิทธิภาพโดยรวมของการซื้อขาย


5. โบรกเกอร์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลหรือไม่?

โบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินในประเทศหรือภูมิภาคที่ดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลช่วยคุ้มครองลูกค้า แต่ไม่สามารถขจัดความเสี่ยงจากการเทรดได้ทั้งหมด


6. โบรกเกอร์สามารถส่งผลต่อผลลัพธ์ของการเทรดได้หรือไม่?

ได้ คุณภาพการส่งคำสั่ง การเกิด slippage สเปรด และเงื่อนไขการเทรดต่าง ๆ สามารถส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายของการเทรดได้ แม้ว่าทิศทางของตลาดจะถูกต้องก็ตาม


สรุป

โบรกเกอร์เป็นผู้จัดเตรียมโครงสร้างที่ทำให้นักเทรดสามารถส่งคำสั่ง ดำเนินการซื้อขาย และบริหารจัดการสถานะในตลาดการเงินได้ โดยโบรกเกอร์เป็นผู้กำหนดว่าราคาเข้าถึงได้อย่างไร คำสั่งถูกจัดการแบบใด และกฎการเทรดถูกนำมาใช้จริงอย่างไร


การเข้าใจบทบาทของโบรกเกอร์ช่วยให้นักเทรดสามารถประเมินต้นทุน คุณภาพการส่งคำสั่ง และขอบเขตความเสี่ยง ได้อย่างเหมาะสม การมองข้ามปัจจัยเหล่านี้อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่การเคลื่อนไหวของราคาตลาดเพียงอย่างเดียวบ่งชี้


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ