简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลัง OPEC+ ขยายมาตรการคุมอุปทานยาวถึงปี 2026

ผู้เขียน: Ethan Vale

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-01

ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลัง OPEC+ ตัดสินใจระงับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตที่ประกาศไว้ก่อนหน้า แม้ว่ายังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ฟื้นกลับมาอยู่ในช่วงต้นของระดับ 60 ดอลลาร์ ขณะที่ WTI เคลื่อนไหวใกล้บริเวณ 60 ดอลลาร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความมุ่งมั่นครั้งใหม่ของกลุ่มพันธมิตรในการป้องกันภาวะอุปทานล้นตลาดในช่วงต้นปี 2026


ภาพรวมตลาดน้ำมันปัจจุบัน: วิเคราะห์ Brent และ WTI

แม้ตลอดปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันจะอยู่ในภาวะเป็นขาลง แต่ราคาก็ปรับตัวขึ้นหลังการประชุม OPEC+ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม

  • ระดับราคา:
    ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 63.33 ดอลลาร์ สหรัฐฯ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 59.40–59.50 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบ WTI วันนี้

ราคาน้ำมันเบรนท์วันนี้

  • โมเมนตัมตลาด:
    การปรับตัวขึ้นรายวันราว 1.5% สะท้อนถึงภาวะ “ดีดตัวคลายกังวล” (relief rally) หลังนักเทรดเคยกังวลว่าตลาดอาจเผชิญภาวะอุปทานล้นเกิน แต่การยืนยันขยายเวลาการลดกำลังการผลิตได้ช่วยพยุงระดับราคาขั้นต่ำไว้

  • บริบทรายปี:
    ราคาน้ำมันยังคงต่ำกว่าปีก่อน (ลดลงประมาณ 15%) และยังไม่สามารถทะลุแนวต้านบริเวณ 70 ดอลลาร์ ได้ เนื่องจากแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่กว้างขึ้น


ปัจจัยหลักที่หนุนราคาน้ำมัน: การปรับทิศทางนโยบายของ OPEC+

แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยพยุงราคาน้ำมันในปัจจุบัน คือยุทธศาสตร์เชิงป้องกันของกลุ่ม OPEC+ ต่อความเสี่ยงอุปทานส่วนเกินในปี 2026

การหยุดเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาส 1 ปี 2026

OPEC+ ได้เห็นชอบระงับการเพิ่มกำลังการผลิต สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 (มกราคม–มีนาคม)

  • แผนเดิม:
    กลุ่มมีแนวโน้มที่จะทยอยส่งน้ำมันกลับเข้าสู่ตลาด

  • การตัดสินใจใหม่:
    ด้วยเหตุผลด้าน “ความเสี่ยงของตลาด” และความต้องการตามฤดูกาลที่อ่อนตัว ทำให้ปริมาณการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ส่วนใหญ่ยังคงมีผลต่อไป

  • ผลกระทบ:
    การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ปริมาณอุปทานที่อาจไหลเข้าสู่ตลาดในไตรมาส 1 ออกไปหลายล้านบาร์เรล ช่วยป้องกันการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมัน ซึ่งนักวิเคราะห์จำนวนมากเคยคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น


ปัจจัยพื้นฐานด้านความต้องการน้ำมัน

ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2026

ต่างจากไตรมาสก่อน ๆ ที่มีการพูดถึง “ความต้องการที่แข็งแกร่ง” ข้อมูลล่าสุดสะท้อนภาพที่แตกต่างออกไปในแต่ละภูมิภาค

  • การเจริญเติบโตที่เชื่องช้า:
    การเติบโตของความต้องการน้ำมันทั่วโลกอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.8–0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2025


  • การชะลอตัวของจีน:
    กิจกรรมอุตสาหกรรมในจีนอ่อนแรงลง ทำให้การนำเข้าน้ำมันต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และสต็อกเชิงพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูง


  • จุดสว่าง:
    ความต้องการด้านการบินยังแข็งแรง จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และความต้องการพลังงานทำความร้อนในฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ คาดว่าจะช่วยหนุนความต้องการน้ำมันกลั่นในระยะสั้น


ภูมิรัฐศาสตร์น้ำมันดิบและข้อมูลสต็อกน้ำมัน

สต็อกน้ำมันทั่วโลก

  • ระดับสต็อก:
    สต็อกน้ำมันทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2025 ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม รายงานสต็อกน้ำมันล่าสุดของสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่าสต็อกที่เมืองคุชชิง (Cushing, Oklahoma) เริ่มทรงตัวมากขึ้น ช่วยหนุนโครงสร้างราคา WTI ให้แข็งแรงขึ้น


  • ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์:
    ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยที่สร้าง “พรีเมียมความเสี่ยง” ให้กับราคาน้ำมัน หากไม่มีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้ แบบจำลองพื้นฐานบ่งชี้ว่าราคาน้ำมันอาจจะต่ำกว่าปัจจุบันราว 5–10 ดอลลาร์


แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ: ฉากทัศน์ปี 2026

หน่วยงานวิเคราะห์หลักทั่วโลกได้ปรับลดแนวโน้มปี 2026 ลง สะท้อนถึงภาวะอุปทานส่วนเกินที่ค่อนข้างสบายตัว

  • สถานการณ์พื้นฐาน (มีความเป็นไปได้มากที่สุด):
    ราคาน้ำมันเบรนท์เฉลี่ยในช่วง 58–66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสมมติว่า OPEC+ สามารถบริหารอุปทานให้สอดคล้องกับการเติบโตของดีมานด์ที่ยังซบเซาได้สำเร็จ


  • สถานการณ์ขาขึ้น:
    หากการเติบโตของ GDP โลกเร่งตัวเกินคาด หรือเกิดเหตุขัดข้องด้านอุปทานจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมันเบรนท์อาจกลับไปทดสอบระดับ กลาง 70 ดอลลาร์


  • สถานการณ์ขาลง:
    หากวินัยการลดกำลังผลิตของ OPEC+ แตกออก หรืออุปทานจากนอกกลุ่ม (เช่น สหรัฐฯ บราซิล กายอานา) เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด ราคาน้ำมันอาจอ่อนตัวลงสู่ช่วง 50–55 ดอลลาร์


ความเสี่ยงหลักต่อแนวโน้มราคาน้ำมันปัจจุบัน

ราคาน้ำมันดิบ

  • การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐฯ:
    การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงปลายปี 2025 ประมาณ 13.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากการผลิตยังคงขยายตัวต่อไป อาจหักล้างผลของการลดกำลังการผลิตจาก OPEC+


  • ความร่วมมือในการปฏิบัติตามโควตา:
    ตลาดติดตามอย่างใกล้ชิดว่า สมาชิก OPEC+ ทุกประเทศจะปฏิบัติตามโควตาที่ขยายเวลาออกไปหรือไม่ โดยเฉพาะอิรัก และคาซัคสถาน


  • ความแข็งแกร่งของดอลลาร์:
    การแข็งค่ากลับขึ้นของดอลลาร์อาจกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตลอดปี 2026


ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องจับตา (Tracker Indicators)

เพื่อคาดการณ์ทิศทางครั้งต่อไปของราคาน้ำมัน ควรติดตามข้อมูลสำคัญต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด:

  • ความร่วมมือของ OPEC+: รายงานการประชุม JMMC รายเดือน

  • PMI ของจีน: ข้อมูลภาคการผลิตเพื่อประเมินผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • สต็อกน้ำมันสหรัฐฯ: รายงานประจำสัปดาห์ของ EIA (ทุกวันพุธ)

  • น้ำมันในเรือ (Floating Storage): ปริมาณที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ถึงภาวะน้ำมันล้นตลาด


บทสรุป

การฟื้นตัวของราคาน้ำมันสู่ระดับ 63 ดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความไวของตลาดต่อการบริหารอุปทานของ OPEC+ แม้สภาวะราคาน้ำมันในช่วง “กลาง 80 ดอลลาร์” จะหายไปในตอนนี้ แต่การลดกำลังการผลิตเชิงรุกของกลุ่มสำหรับช่วงต้นปี 2026 ได้ช่วยพยุงราคาต่ำสุด (price floor) และป้องกันไม่ให้ราคาหลุดลงไปสู่ช่วง 50 ดอลลาร์


คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมน้ำมันถึงปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้?

ราคาน้ำมันปรับขึ้นจากวินัยการจำกัดอุปทานของ OPEC+ ความตึงตัวของตลาดน้ำมันจริง (physical market) และบรรยากาศเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ อัตราการกลั่นน้ำมันที่แข็งแกร่งและความต้องการที่มั่นคงในเอเชีย ยังช่วยเสริมแรงบวกให้กับราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI

2. OPEC+ มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดอย่างไร?

OPEC+ ช่วยสร้างเสถียรภาพของราคาโดยคงปริมาณการผลิตไว้เท่าเดิม พร้อมส่งสัญญาณว่าพร้อมปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น แนวทางที่รอบคอบนี้สร้างความมั่นใจให้กับนักเทรดว่าปริมาณอุปทานจะยังถูกควบคุม แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังมีความไม่แน่นอน

3. แนวโน้มสต็อกน้ำมันปัจจุบันหนุนราคาหรือไม่?

ใช่ การใช้กำลังการกลั่นที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ และเอเชียส่งผลให้สต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นลดลงหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง ความตึงตัวของสต็อกผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงช่วยเพิ่มความต้องการน้ำมันดิบ และผลักดันให้ราคาน้ำมันหลักแข็งแรงขึ้น

4. ความต้องการโลกมีบทบาทอย่างไรในการดีดตัวของราคา?

ความต้องการน้ำมันทั่วโลกยังคงแสดงความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กิจกรรมอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการบินที่ฟื้นตัวช่วยหนุนการบริโภค แม้บางภูมิภาคยังเผชิญภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอที่จำกัดการเติบโตโดยรวม

5. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลอย่างไรต่อราคาน้ำมัน?

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ยังคงเพิ่ม “พรีเมียมความเสี่ยง” ให้กับตลาดจากความกังวลเรื่องอุปทานสะดุด มาตรการคว่ำบาตรและความไม่แน่นอนของเส้นทางเดินเรือทำให้ตลาดตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกมากขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแรงหนุนเพิ่มเติม

6. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคมีบทบาทอย่างไร?

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นช่วยหนุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ความมั่นคงของตลาดหุ้นโลกและความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยเพิ่มความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงน้ำมันดิบ แม้ข้อมูลเศรษฐกิจบางส่วนจะยังออกมาผสมผสาน

7. ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหรือไม่?

มีความเป็นไปได้ หาก OPEC+ รักษาวินัยในการจำกัดอุปทาน และตลาดจริงยังคงตึงตัวต่อไป การฟื้นตัวของความต้องการทั่วโลกหรือเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้อุปทานสะดุด อาจเพิ่มแรงหนุนให้ราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของการปรับขึ้นอย่างยั่งยืนยังขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจมหภาคโดยรวม


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ราคาน้ำมันดิบ: แนวโน้มในอดีตและอนาคตที่อาจเกิดขึ้น
หุ้นเอเชีย–แปซิฟิกฟื้นตัวแรง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เฟดอาจลดดอกเบี้ย
หุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรง นักลงทุนควรเดินเกมอย่างไรต่อ
แรงหนุนจาก AI! หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น หลัง Nvidia โชว์งบสุดแกร่ง
ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และธนาคารกลาง ผลักดันราคาทองคำพุ่งสูง