เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-18
ตลาดน้ำมันกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2026 ท่ามกลางแรงขับเคลื่อนที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งมีหลักฐานชัดว่าปริมาณอุปทานล้นตลาดและสต๊อกน้ำมันกำลังเพิ่มขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง ตลาดก็อยู่ห่างจากภาวะช็อกด้านอุปทานเพียงแค่ข่าวพาดหัวเดียว โดยเฉพาะหากการคว่ำบาตรรัสเซียเข้มงวดขึ้น หรือการส่งออกจากเวเนซุเอลาถูกสะดุด
วิธีมองปี 2026 อย่างตรงประเด็นคือ ครึ่งปีแรกจะมีลักษณะคล้ายตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยงบดุล โดยให้น้ำหนักกับการเพิ่มขึ้นของสต๊อกและต้นทุนทางการเงิน ขณะที่ครึ่งปีหลังจะถูกกำหนดทิศทางมากขึ้นจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และวินัยของ OPEC+ ซึ่งสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้ Brent และ WTI สามารถแกว่งตัวอยู่ในกรอบกว้างได้ แม้ค่าเฉลี่ยทั้งปีอาจดูไม่น่าตื่นเต้นนักก็ตาม

ราคาน้ำมัน Brent และ WTI เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดในรอบหลายปี โดยล่าสุด WTI ปิดที่ระดับ 55.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ Brent ที่ 58.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021
การปรับตัวลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากความกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาด รวมถึงความหวังที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร
ในช่วงการซื้อขายล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 ราคาน้ำมัน WTI เคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 56.38 ดอลลาร์ ขณะที่ Brent อยู่แถว 60.10 ดอลลาร์ หลังตลาดตอบสนองต่อรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของมาตรการคว่ำบาตรใหม่จากสหรัฐฯ ต่อภาคพลังงานของรัสเซีย ควบคู่กับความเสี่ยงด้านอุปทานจากเวเนซุเอลาที่ยังคงดำเนินอยู่
ประเด็นนี้มีความสำคัญ เนื่องจากเมื่อราคาน้ำมันเริ่มต้นปีใหม่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ความคาดหวังพื้นฐานของตลาดมักจะเปลี่ยนจากการเกิดแนวโน้มขาขึ้นแบบชัดเจน ไปสู่การเคลื่อนไหวในกรอบและการกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย (mean reversion) มากกว่าการเป็นตลาดกระทิงโดยตรง
| แนวโน้มปี 2026 | ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก | กรอบราคา Brent | กรอบราคา WTI | สัญญาณที่มักเห็นก่อน |
|---|---|---|---|---|
| กรณีฐาน (มีความเป็นไปได้สูงสุด) | สต๊อกน้ำมันยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การลดกำลังการผลิตเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป | 52–62 ดอลลาร์สหรัฐ | 48–58 ดอลลาร์สหรัฐ | ราคาเคลื่อนไหวในกรอบ การรีบาวด์มักอ่อนแรงและถูกขายใกล้แนวต้าน |
| กรณีขาลง (Bear case) | อุปทานส่วนเกินขยายตัว มาตรการคว่ำบาตรถูกผ่อนคลาย อุปสงค์ต่ำกว่าคาด | 45–55 ดอลลาร์สหรัฐ | 40–50 ดอลลาร์สหรัฐ | หลุดและยืนต่ำกว่าแนวรับสำคัญ เส้นโค้งราคา (Forward Curve) ยังคงอ่อนแอ |
| สถานการณ์ที่ย่ำแย่กรณีขาขึ้น (Bull case) | การหยุดชะงักของอุปทาน ผสานกับวินัยการผลิตของฝั่งผู้ผลิต | 62–80 ดอลลาร์สหรัฐ | 58–75 ดอลลาร์สหรัฐ | เกิดภาวะ Backwardation ชัดเจน และแรงซื้อหนาแน่นในสัญญาใกล้เดือนส่งมอบ |
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่า สต๊อกน้ำมันทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดปี 2026
ด้วยเหตุนี้ EIA จึงประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสแรกของปี 2026 และมีแนวโน้มทรงตัวใกล้ระดับดังกล่าวไปตลอดทั้งปี
จากตารางคาดการณ์ STEO เดือนธันวาคมของ EIA ระบุว่า ราคาน้ำมัน WTI แบบ spot จะเฉลี่ยอยู่ที่ 51.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2026 โดยราคาเฉลี่ยรายไตรมาสอยู่ที่ประมาณ
ไตรมาส 1: 50.93 ดอลลาร์
ไตรมาส 2: 50.68 ดอลลาร์
ไตรมาส 3–4: 52.00 ดอลลาร์
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ยังส่งสัญญาณถึง ภาวะอุปทานล้นตลาดในปี 2026 โดยประเมินว่าปริมาณส่วนเกินอยู่ที่ประมาณ 3.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะเดียวกัน สต๊อกน้ำมันทั่วโลกที่ถูกบันทึกไว้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี
กรอบราคากรณีฐานสำหรับปี 2026 :
Brent: 52–62 ดอลลาร์ โดยระดับ 55 ดอลลาร์ทำหน้าที่เสมือน “แม่เหล็กราคา” ในช่วงครึ่งปีแรก
WTI: 48–58 ดอลลาร์ โดยการรีบาวด์ของราคามักถูกจำกัด เว้นแต่ภาวะอุปทานจะเริ่มตึงตัวอย่างชัดเจน
โดยภาพรวม เราให้น้ำหนักกับกรณีฐาน (Base case) เป็นหลัก พร้อมมุมมองว่าครึ่งปีแรกของ 2026 จะกดดันราคามากกว่าครึ่งปีหลัง ซึ่งสอดคล้องกับแบบจำลองราคาของ EIA และพฤติกรรมปกติของตลาดที่มีอุปทานส่วนเกิน

เมื่อสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ตลาดกำลังส่งสัญญาณชัดเจนเพียงอย่างเดียว คือ อุปทานกำลังแซงหน้าอุปสงค์ในระดับส่วนเพิ่ม (margin)
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) คาดว่า สต๊อกน้ำมันทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดปี 2026 ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันในทิศทางขาลง
Goldman Sachs คาดว่าจะเห็น การเพิ่มขึ้นของอุปทานอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงการผลิตที่ล่าช้ามาเป็นเวลานานเริ่มแล้วเสร็จ ขณะเดียวกัน OPEC ก็เริ่มทยอยยกเลิกมาตรการลดกำลังการผลิต ด้วยเหตุนี้ สถาบันดังกล่าวจึงคาดการณ์ว่า ราคาเฉลี่ยน้ำมันจะอยู่ในระดับต่ำลงตลอดปี 2026
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ยังคงมองว่า ปี 2026 จะเผชิญกับอุปทานส่วนเกินในระดับสูง แม้จะมีการปรับประมาณการลงแล้วก็ตาม โดย IEA เน้นถึงการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า “ตลาดคู่ขนาน (parallel markets)” ซึ่งหมายถึงตลาดน้ำมันดิบอาจมีอุปทานเหลือเฟือ แต่ตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันกลับตึงตัว เนื่องจากข้อจำกัดด้านการกลั่นและมาตรการคว่ำบาตรที่ยังคงอยู่
นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตรและการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียและเวเนซุเอลา อาจทำให้อุปทานตึงตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มุมมองหลักของตลาดยังเชื่อว่า กำลังการผลิตโดยรวมยังมีอยู่ และสามารถกลับคืนสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว หากข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ถูกผ่อนคลาย
รายงานตลาดน้ำมันประจำเดือนธันวาคม 2025 ของ IEA คาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 860,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2026
แม้จะเป็นการเติบโตในเชิงบวก แต่ก็ยังไม่ใช่แรงกระตุ้นด้านอุปสงค์ในระดับที่เพียงพอจะผลักดันราคาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ในสภาพแวดล้อมที่อุปทานนอกกลุ่ม OPEC และโครงการระยะยาวกำลังเพิ่มขึ้น
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวน คือ ความเห็นที่แตกต่างกันของหน่วยงานหลักเกี่ยวกับดุลอุปสงค์–อุปทาน
รายงานตลาดน้ำมันรายเดือนของ OPEC ยังคงประเมินว่าอุปสงค์ในปี 2026 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสนับสนุนมุมมองของ OPEC ว่าตลาดน้ำมันอาจกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น
ในทางกลับกัน IEA ยังคงยืนยันว่าตลาดโลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินขนาดใหญ่ แม้จะมีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลงแล้วก็ตาม
สำหรับนักเทรด ควรมองประเด็นนี้เป็นสัญญาณเตือนเชิงปฏิบัติ: หากตลาดยังคงมีอุปทานล้นจริง ราคาน้ำมันอาจถูกจำกัดอยู่ด้านบน แต่หากการประเมินของ OPEC ใกล้เคียงความจริงมากกว่า และอุปทานออกมาต่ำกว่าคาด ตลาดก็อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับราคาที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
มองโซน Brent บริเวณ 55 ดอลลาร์ และ WTI แถวต้น 50 ดอลลาร์ เป็นพื้นที่ของการ กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย (mean reversion) ไม่ใช่ระดับที่ “ถูกตลอดไป”
ใช้กฎง่าย ๆ คือ เข้าซื้อก็ต่อเมื่อราคาปิดรายวันกลับขึ้นมายืนเหนือระดับที่เพิ่งหลุดลงไป จากนั้นตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของรอบการแกว่ง (swing low)
สำหรับนักลงทุนระยะยาว
อย่ายึดติดกับการคาดการณ์เพียงตัวเลขเดียว ควรใช้ กรอบราคา (range) และจัดขนาดสถานะ (position sizing) ให้สามารถรับมือกับการเคลื่อนไหวสวนทางได้อย่างน้อย 15%
หากลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ควรตระหนักว่า หุ้นเหล่านี้มีลักษณะคล้ายการลงทุนในน้ำมันแบบใช้เลเวอเรจ ทำให้ราคามีความผันผวนรุนแรงได้ทั้งขึ้นและลง
หากต้องการเกาะติดปัจจัยขับเคลื่อนจริงของตลาด มากกว่าข่าวพาดหัว ควรโฟกัสที่ประเด็นต่อไปนี้:
รายงานสต๊อกน้ำมันสหรัฐฯ รายสัปดาห์ของ EIA (น้ำมันดิบ เบนซิน และดีเซล) พร้อมประเมินว่าการลดลงของสต๊อกเป็นการลดลงจริง หรือเป็นเพียงปัจจัยตามฤดูกาล
สัญญาณการปฏิบัติตามข้อตกลงของ OPEC+ และการเปลี่ยนแปลงแนวทางเกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ
ตัวเลขการนำเข้าและอุปสงค์ของจีน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอุปสงค์ส่วนเพิ่มมักเป็นตัวชี้ขาดว่าอุปทานส่วนเกินจะอยู่ในระดับ “พอรับได้” หรือกลายเป็นแรงกดดันหนักต่อตลาด
ความเสี่ยงด้านมาตรการคว่ำบาตรและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียและเวเนซุเอลา ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของอุปทานในระยะสั้น และก่อให้เกิดการพุ่งขึ้นของราคาอย่างรวดเร็ว แม้ในปีที่ตลาดมีอุปทานส่วนเกินก็ตาม
เพราะตลาดกำลังให้น้ำหนักกับภาวะอุปทานส่วนเกินและการเพิ่มขึ้นของสต๊อกน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาที่ชัดเจน
ได้ ราคาน้ำมันสามารถปรับขึ้นได้ เมื่อปริมาณน้ำมันถูกดึงออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะจากเหตุการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักของอุปทาน หรือมาตรการจำกัดการผลิตที่เข้มงวดกว่าคาด
ไม่จำเป็นเสมอไป ในช่วงปลายปี 2025 ปัจจัยหลักที่กดดันราคาน้ำมันคือ อุปทานล้นตลาดและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งหมายความว่าสัญญาณจากราคาน้ำมันยังต้องได้รับการยืนยันเพิ่มเติมจากข้อมูลด้านการจ้างงาน สินเชื่อ และภาคอุตสาหกรรม
สำหรับ WTI ระดับ 55 ดอลลาร์ คือแนวรับระยะสั้นที่สำคัญ ขณะที่ 60 ดอลลาร์ เป็นแนวต้านแรกที่มีนัยสำคัญ ส่วน Brent โซน 58–59 ดอลลาร์ เป็นแนวรับระยะสั้น ขณะที่ช่วง 62–65 ดอลลาร์ เป็นแถบแนวต้านแรกที่จำเป็นต้องมีปัจจัยพื้นฐานมาหนุนเพื่อให้ราคาผ่านขึ้นไปได้
โดยสรุป ปี 2026 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ตลาดน้ำมันถูกขับเคลื่อนด้วยภาวะอุปทานส่วนเกิน และมีลักษณะของความผันผวนต่อเนื่องมากกว่าการเกิดแนวโน้มที่ชัดเจนและยั่งยืน
การเพิ่มขึ้นของสต๊อกน้ำมันน่าจะทำให้ Brent เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 55 ดอลลาร์ และ WTI ถูกตรึงอยู่แถวต้น 50 ดอลลาร์โดยเฉลี่ย เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้อุปทานถูกดึงออกจากตลาดอย่างจริงจัง
กลยุทธ์สำคัญสำหรับปี 2026 คือ การจับจังหวะและมีวินัยในการเทรด หากคุณมองตลาดน้ำมันเป็นตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบจนกว่าจะมีสัญญาณเปลี่ยนแปลง เคารพระดับ 55 ดอลลาร์ และเพิ่มความเสี่ยงเฉพาะเมื่อทั้งโครงสร้างราคาและเส้นโค้งราคา (curve) ยืนยันถึงภาวะอุปทานที่ตึงตัว คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดได้ นั่นคือ การรีบซื้อเพียงเพราะราคาดีดกลับ แล้วตีความว่าเป็นการเริ่มต้นตลาดกระทิงรอบใหม่
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ