เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-22
วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ (Maturity Date) คือวันที่สิ้นสุดตามที่ตกลงไว้ของสัญญาทางการเงิน เป็นวันที่สัญญาสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ การจ่ายดอกเบี้ยจะหยุดลง และเงินต้นจะถูกชำระคืนให้แก่ผู้ถือตราสาร โดยมักพบแนวคิดนี้ในพันธบัตร เงินกู้ และผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ (Fixed Income)
แม้จะดูเหมือนเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อย แต่วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้มีบทบาทสำคัญอย่างเงียบ ๆ ต่อการเคลื่อนไหวของราคา ระดับความเสี่ยง และจังหวะในการลงทุนหรือการเทรด เมื่อวันครบกำหนดใกล้เข้ามา ตลาดมักจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป การเข้าใจว่าตนเองอยู่ตรงจุดใดบนเส้นเวลานี้ จะช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถวางแผนการปิดสถานะได้อย่างชัดเจน และหลีกเลี่ยงความผันผวนหรือความไม่คาดคิดในช่วงท้ายสัญญาได้
ในทางการเทรด วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ (Maturity Date) คือวันสุดท้ายของตราสารทางการเงินที่มีอายุสัญญาแน่นอน เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง ใบรับฝากเงิน (Certificate of Deposit) และตราสารอนุพันธ์บางประเภท ซึ่งทั้งหมดจะมีการระบุวันครบกำหนดอายุไว้อย่างชัดเจน

ก่อนถึงวันดังกล่าว ผู้ถือตราสารจะได้รับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา เมื่อถึง วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ ผู้ออกตราสารจะชำระคืนมูลค่าที่ตราไว้ หรือที่เรียกว่า เงินต้น (Principal)
นักเทรดมักเห็นวันครบกำหนดอายุแสดงอยู่ในรายละเอียดของพันธบัตร สัญญาฟิวเจอร์ส และข้อมูลตลาดตราสารหนี้ ผู้จัดการพอร์ต ผู้เทรดพันธบัตร และทีมบริหารความเสี่ยงจะติดตามวันครบกำหนดเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
พวกเขาใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อวางแผนกระแสเงินสด บริหารความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย และตัดสินใจว่าจะหมุนพอร์ตไปยังสถานะใหม่เมื่อใด แม้แต่นักเทรดที่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ก็จำเป็นต้องรู้วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ เพราะสภาพคล่องและความผันผวนของตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อวันดังกล่าวใกล้เข้ามา
แม้ว่าวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผลกระทบของมันจะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพันธบัตรยังอยู่ห่างจากวันครบกำหนด ราคามักจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่า แต่เมื่อเข้าใกล้วันครบกำหนด การเคลื่อนไหวของราคามักจะชะลอลง
การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย : เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น พันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาวมักจะปรับตัวลงมากกว่าพันธบัตรอายุสั้น และเมื่อใกล้วันครบกำหนด ความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยจะลดลง
เวลาที่ผ่านไป : ทุกวันที่ผ่านไปช่วยลดความไม่แน่นอน ยิ่งใกล้วันครบกำหนด ราคาของตราสารมักจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้มูลค่าที่ตราไว้
สถานะทางเครดิต : หากฐานะทางการเงินของผู้ออกตราสารแย่ลง นักเทรดอาจกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระคืนเมื่อถึงวันครบกำหนด ซึ่งอาจกดดันให้ราคาตราสารปรับตัวลดลง
วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้มีบทบาทสำคัญอย่างเงียบ ๆ ในการวางแผนการเทรด สำหรับจุดเข้าเทรด นักเทรดมักเลือกตราสารที่มีอายุคงเหลือยาวกว่า เมื่อคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง เนื่องจากราคามักจะเคลื่อนไหวได้มากกว่า ส่วนตราสารที่มีอายุคงเหลือสั้น มักถูกใช้สำหรับการถือครองที่ต้องการความเสถียรและการแกว่งตัวของราคาที่น้อยกว่า

สำหรับการออกจากสถานะ วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้เปรียบเสมือนเส้นตาย การถือครองจนถึงวันครบกำหนดจะช่วยตัดความเสี่ยงด้านราคาออกไป แต่ทำให้เงินทุนถูกล็อกไว้ ขณะที่การขายก่อนถึงวันครบกำหนดจะเพิ่มความเสี่ยงจากตลาด แต่ให้อิสระและความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ตมากขึ้น
ต้นทุนการเทรดและสภาพคล่องก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ตราสารหนี้ที่ใกล้วันครบกำหนดมักมีกรอบการเคลื่อนไหวของราคาที่แคบลง แต่ในบางกรณีอาจมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่ลดลง
สถานการณ์ที่ดี: วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้สอดคล้องกับกรอบเวลาการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
สถานการณ์ที่ไม่ดี: วันครบกำหนดอายุบีบให้คุณต้องออกจากสถานะเร็วเกินไปหรือช้ากว่าที่วางแผนไว้
ก่อนกดซื้อหรือขาย นักเทรดควรตรวจสอบวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ทุกครั้ง โดยแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะแสดงข้อมูลนี้ไว้ในรายละเอียดของสินค้า หรือในสเปกของสัญญา
จุดที่ควรเช็ก ได้แก่:
ตรวจดูรายละเอียดของตราสารเพื่อหาวันครบกำหนดอายุ
เปรียบเทียบวันครบกำหนดกับระยะเวลาที่คุณวางแผนจะถือครอง
สังเกตว่าผลิตภัณฑ์นั้นหมดอายุหรือมีการชำระบัญชีอัตโนมัติหรือไม่
ตรวจสอบกฎการต่อสัญญา (Rollover) หากเป็นสัญญาฟิวเจอร์ส
พฤติกรรมที่ดีคือการทบทวนวันครบกำหนดอายุของตราสารทุกครั้งที่คุณตรวจสอบสถานะในพอร์ต ไม่ใช่เฉพาะตอนเปิดการเทรดเท่านั้น
มองข้ามวันครบกำหนดโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกบังคับปิดสถานะหรือเกิดความประหลาดใจในขั้นตอนการชำระราคา
คิดว่าผลิตภัณฑ์ทุกประเภทมีพฤติกรรมเหมือนกัน ทั้งที่ตราสารอายุสั้นและอายุยาวมีความเสี่ยงแตกต่างกัน
ถือสถานะใกล้วันครบกำหนดมากเกินไปโดยไม่มีแผนรองรับ ทำให้ขาดความยืดหยุ่น
สับสนระหว่างวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้กับวันจ่ายดอกเบี้ย (Coupon Payment Date) ซึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ลืมคำนึงถึงสภาพคล่องที่อาจลดลง โดยเฉพาะในตราสารที่ไม่เป็นที่นิยมเมื่อใกล้วันครบกำหนด
ข้อผิดพลาดเหล่านี้มักเกิดจากการมองวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้เป็นเพียงข้อมูลพื้นหลัง แทนที่จะให้ความสำคัญในฐานะรายละเอียดหลักของการตัดสินใจเทรด
ผลตอบแทน : ผลตอบแทนรวมที่นักลงทุนคาดว่าจะได้รับจากพันธบัตร เมื่อถือครองจนถึงวันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้
การสะสมผลตอบแทน (Accumulation) : กระบวนการที่ดอกเบี้ยค่อย ๆ สะสมเพิ่มขึ้นตามเวลา เมื่อพันธบัตรเข้าใกล้วันครบกำหนดอายุ
ดอกเบี้ยค้างรับ : ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันจ่ายดอกเบี้ยครั้งล่าสุด แต่ยังไม่ได้จ่าย ซึ่งมีความสำคัญเมื่อมีการซื้อหรือขายตราสารก่อนถึงวันครบกำหนด
การลดค่า : การลดลงของมูลค่าเงินหรือสินทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินที่ได้รับเมื่อถึงวันครบกำหนดลดลง
ภาวะเงินฝืด : ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมลดลง ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงของกระแสเงินสดคงที่ที่ได้รับในวันครบกำหนด
สภาพคล่อง : ความสามารถในการซื้อหรือขายพันธบัตรก่อนถึงวันครบกำหนด โดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
หากคุณถือครองผลิตภัณฑ์จนถึงวันครบกำหนด สัญญาจะสิ้นสุดลงตามที่ตกลงไว้ การจ่ายดอกเบี้ยจะหยุดลง และผู้ออกตราสารจะชำระคืนเงินต้น (Principal) หลังจากนั้นจะไม่มีความเสี่ยงด้านราคาต่อไป แต่เงินทุนของคุณจะถูกผูกไว้จนถึงวันดังกล่าว
ไม่รับประกัน วันครบกำหนดอายุเพียงกำหนดช่วงเวลาที่มีการชำระคืน ไม่ได้การันตีผลลัพธ์ของการลงทุน ความเสี่ยงด้านราคายังคงมีอยู่ก่อนถึงวันครบกำหนด และยังมีความเสี่ยงด้านเครดิตหากผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระคืนได้ สภาวะตลาด อัตราดอกเบี้ย และฐานะทางการเงินของผู้ออกตราสารล้วนมีผล วันครบกำหนดกำหนดเรื่องเวลา ไม่ใช่กำไร
ได้ พันธบัตรและผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถขายได้ก่อนถึงวันครบกำหนดในตลาดรอง ราคาที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาคงเหลือจนถึงวันครบกำหนด และอุปสงค์ในตลาด การขายก่อนกำหนดเพิ่มความยืดหยุ่น แต่ก็ทำให้คุณต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาที่จะไม่เกิดขึ้นหากถือครองจนถึงวันครบกำหนด
เมื่อวันครบกำหนดใกล้เข้ามา เวลาที่เหลือสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยหรือปัจจัยตลาดอื่น ๆ จะลดลง ราคามักจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้มูลค่าที่ตราไว้ เนื่องจากจำนวนเงินที่จะได้รับเมื่อถึงวันครบกำหนดมีความแน่นอนมากขึ้น
มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่เหมือนกันเสมอไป โดยคำว่า วันครบกำหนดอายุ (Maturity Date) มักใช้กับพันธบัตรและผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ส่วนคำว่า วันหมดอายุ (Expiry Date) มักใช้กับตราสารอนุพันธ์ เช่น ออปชันและฟิวเจอร์ส ทั้งสองคำต่างหมายถึงการสิ้นสุดของสัญญา แต่กฎการชำระราคาและผลลัพธ์อาจแตกต่างกัน
วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ (Maturity Date) เป็นตัวกำหนดระยะเวลาของสัญญาทางการเงินและช่วงเวลาที่ภาระผูกพันสิ้นสุดลง เป็นจุดที่การจ่ายดอกเบี้ยหยุดลงและเงินต้นถูกชำระคืน สำหรับนักเทรด วันที่นี้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา ระดับความเสี่ยงที่เหลืออยู่ และความยืดหยุ่นในการถือครองสถานะ
เมื่อใกล้วันครบกำหนด พฤติกรรมของราคามักคาดเดาได้มากขึ้น แต่ทางเลือกในการจัดการสถานะจะลดลง หากใช้อย่างถูกต้อง วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้จะช่วยให้นักเทรดจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับกรอบเวลาการลงทุนของตนเอง แต่หากมองข้าม ก็อาจเปลี่ยนความเสี่ยงด้านจังหวะเวลาให้กลายเป็นต้นทุนที่สูงได้
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ