เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-05
หุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงแรงเมื่อคืนวันอังคาร โดยดัชนี Nasdaq Composite ร่วงนำตลาดกว่า 2% ขณะที่ S&P 500 ถอยลงราว 1.2% และ Dow Jones Industrial Average ลดลงประมาณ 0.5%



การซื้อขายในรอบนี้ได้รับแรงกดดันจากการขายทำกำไรในหุ้นเทคโนโลยีและ AI ที่พุ่งขึ้นแรงก่อนหน้า ปฏิกิริยาต่อผลประกอบการของบริษัทเฉพาะราย รวมถึงคำเตือนจากผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่เริ่มตึงตัว
นักลงทุนควรมองการปรับฐานครั้งนี้ว่าเป็น “การพักฐานที่มีนัยสำคัญ” ในหุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินไป มากกว่าจะเป็นสัญญาณล่มสลายของระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม การที่การเทขายกระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่ม AI เซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นเติบโตอื่นๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ขาดทุนลุกลาม หากข้อมูลเศรษฐกิจหรือสภาพคล่องในตลาดเริ่มส่งสัญญาณแย่ลง
ตารางด้านล่างสรุปภาพรวมการเคลื่อนไหวของดัชนีในรอบการซื้อขายล่าสุด พร้อมบริบทย่อยในการมองระยะสั้น โดยตัวเลขร้อยละและจุดเปลี่ยนแปลงอ้างอิงจากข้อมูลตลาดล่าสุด
| ดัชนี | ปิดตลาด (ประมาณ) | การเปลี่ยนแปลงรายวัน | การเปลี่ยนแปลง 5 วัน (โดยประมาณ) | การเปลี่ยนแปลง YTD (โดยประมาณ) |
|---|---|---|---|---|
| Nasdaq Composite | 23,350 | -2.0% | -1.8% | +21.1% |
| S&P 500 | 6,772 | -1.2% | -1.1% | +15.39% |
| Dow Jones Industrial Average | 47,085 | -0.5% | -0.4% | +11.7% |
การปรับตัวลงในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากช่วงที่หุ้นกลุ่ม AI และเซมิคอนดักเตอร์ทะยานขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ต่างจากรอบก่อนที่การปรับตัวขึ้นกระจายตัวไปทั้งกลุ่มเทคโนโลยี ครั้งนี้การย่อตัวเกิดเฉพาะจุด สะท้อนว่านักลงทุนกำลัง “ลดความเสี่ยงแบบเลือกจุด” โดยเฉพาะในหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านมูลค่าหุ้นสูงเป็นพิเศษ
กลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์นำการปรับฐาน โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งร่วงลงในวงกว้าง ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินและบางกลุ่มป้องกันความเสี่ยงให้การพยุงตลาดเล็กน้อย ตารางนี้สรุปทิศทางหลักของแต่ละกลุ่ม:
| กลุ่มอุตสาหกรรม | การเปลี่ยนแปลงโดยประมาณรายวัน | หุ้น/ปัจจัยหลัก |
|---|---|---|
| เทคโนโลยี | -2.7% | Nvidia, AMD, Palantir ปรับลดเด่น |
| เซมิคอนดักเตอร์ | -3.5% | ผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์ร่วงต่อเนื่อง |
| การเงิน | +0.5% | หุ้นธนาคารใหญ่ได้แรงหนุนจากมุมมองอัตราดอกเบี้ย |
| สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน | -0.2% | ปรับฐานเล็กน้อย มีความผันผวนน้อยกว่า |
| พลังงาน | -0.4% | ได้รับผลกระทบจากการอ่อนตัวของราคาน้ำมัน |
หุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และ AI ถูกกดดันมากกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากนักลงทุนเข้าถือครองในสัดส่วนสูงเกินไป เมื่อมีเหตุการณ์กระตุ้นการขายไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการหรือแรงขายจากกองทุนเชิงรุก การเทขายจึงลุกลามทั้งกลุ่มอย่างรวดเร็ว
ฤดูกาลประกาศผลประกอบการยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของความผันผวนรายวันในตลาด โดยรายงานผลประกอบการหลายฉบับและทิศทางราคาหลังปิดตลาด ได้สร้างอิทธิพลต่อบรรยากาศการลงทุน:
Palantir Technologies รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดในหลายตัวชี้วัด
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญในการซื้อขายภายหลัง เพราะนักลงทุนประเมินแนวโน้มคำแนะนำทางการเงินในระยะยาว รวมถึงกังวลด้านมูลค่าหุ้น นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากสถานะขายชอร์ตจำนวนมากและการเข้าซื้อของนักลงทุนเชิงรุกที่ถูกเปิดเผยในข่าวอีกด้วย[2]
Super Micro Computer เปิดเผยผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจที่ไม่เป็นไปตามคาด ทำให้ราคาหุ้นดิ่งหนักในการซื้อขายนอกเวลาตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์สำหรับงานด้าน AI เมื่อบริษัทใดพลาดเป้าผลประกอบการ ความกังวลก็มักลามไปยังหุ้นในห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ
ในบางกรณี บริษัทที่ประกาศผลประกอบการดีในช่วงแรกและดันราคาหุ้นให้ดีดตัวขึ้น ก็กลับสละกำไรเหล่านั้นในภายหลัง เมื่อมีการทบทวนเชิงลึกเกี่ยวกับอัตรากำไร ยอดคำสั่งซื้อ และจังหวะการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร[3]
รูปแบบ “หัวข้อข่าวดี → แรงซื้อ → ตามมาด้วยแรงขายทำกำไร” ลักษณะนี้เป็นอีกหนึ่งตัวจุดประกายให้เกิดบรรยากาศระมัดระวังในกลุ่มหุ้นลักษณะคล้ายกัน
นักวิเคราะห์ย้ำว่า “การประกาศตัวเลขที่ดีกว่าคาดไม่ได้รับประกันว่าหุ้นจะรอดพ้นแรงขาย” หากตลาดยังตั้งข้อสงสัยต่อศักยภาพการเติบโตหรือความยั่งยืนของอัตรากำไร
สำหรับนักลงทุน สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ แนวโน้มคำแนะนำและรายละเอียดคำสั่งซื้อ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขแบบพาดหัวเท่านั้น

ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคและท่าทีจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดมูลค่าหุ้นในระยะกลาง ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรจับตา ได้แก่:
ข้อมูลเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน เช่น CPI และ Core PCE รวมถึงท่าทีคาดการณ์จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
สิ่งเหล่านี้จะกำหนดความคาดหวังต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้น และส่งผลต่อการคิดลดกระแสเงินสดในหุ้นเติบโตระยะยาว
การคาดการณ์ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น มักกระทบมูลค่าหุ้นกลุ่ม AI และซอฟต์แวร์ ซึ่งอิงมูลค่าจากการเติบโตในอนาคตเป็นหลัก[4]
คำเตือนจากผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ ในรอบการซื้อขายล่าสุด ผู้บริหารธนาคารชั้นนำบางรายออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการปรับฐานในตลาด
แม้คำเตือนเหล่านี้จะไม่ใช่นโยบายมหภาค แต่ก็สร้างแรงกดดันด้านความเชื่อมั่นและจุดชนวนให้เกิดการปรับพอร์ตในหุ้นที่มีมูลค่าสูง[5]
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการคลัง
ความตึงเครียดที่อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์ หรือการเปลี่ยนแปลงทางการค้าระหว่างประเทศ การเมืองในสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณและนโยบายการคลัง ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพคล่องและความเชื่อมั่นในตลาด
นักลงทุนควรติดตามตารางประกาศสำคัญ เช่น รายงานการจ้างงาน ตัวเลขเงินเฟ้อ ถ้อยแถลงจาก Fed สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวกำหนดว่า การปรับฐานครั้งนี้จะยังคงตื้น หรือจะขยายวงกว้างมากขึ้น
นักวิเคราะห์เชิงเทคนิคและผู้เล่นสถาบันต่างประเมินคุณภาพของการปรับฐานจากข้อมูลเกี่ยวกับ Breadth, Flow และ Volatility
สัญญาณจาก Breadth (ความกว้างของตลาด) เช่น ตัวชี้วัดอย่างอัตราหุ้นขึ้น/ลง (advance/decline ratio) รวมถึงจำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุด-ต่ำสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ แสดงการอ่อนแรง สอดคล้องกับการที่ตลาดถูกขายหนักในหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ มากกว่าจะเป็นการตกลงพร้อมกันทั้งกระดาน หากการปรับลงแพร่หลายมากขึ้น นั่นจะเป็นสัญญาณที่น่ากังวลกว่า
ความผันผวนและการป้องกันความเสี่ยง โดยดัชนี VIX ขยับขึ้น แสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังกังวลความไม่แน่นอนมากขึ้น
ปริมาณธุรกรรมในตลาดออปชันเผยให้เห็นการเพิ่มสถานะป้องกันความเสี่ยง (hedging) ใน ETF เทคโนโลยีและหุ้นขนาดใหญ่
บทบาทของ ETF และกระแสเงินแบบ Passive กอลทุน ETF โดยเฉพาะกลุ่มธีมอย่าง AI และเซมิคอนดักเตอร์ มักทำให้การหมุนเงินของตลาดเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรง
กระแสเงินเข้าในธีมเหล่านี้ช่วงก่อนหน้าเพิ่มความเสี่ยงด้าน “การกระจุกตัว”และรอบนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเริ่มขาย การไหลออกสามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
โครงสร้างตลาดชี้ให้เห็นว่า การปรับฐานครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อหุ้นที่มีความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวสูง แต่ยังไม่ใช่วิกฤตสภาพคล่องเชิงระบบ
ในมุมมองเชิงเทคนิค สัญญาณระยะสั้นชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันในหุ้นกลุ่มเติบโต (growth stocks) แม้ดัชนีหลักยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแนวโน้มเดิมที่เพิ่งตั้งไว้ไม่นานนี้
ควรติดตามระดับสำคัญสำหรับดัชนี S&P 500 และ Nasdaq อย่างใกล้ชิด แนวรับระยะสั้นอยู่ใกล้จุดต่ำสุดระหว่างวันล่าสุด และเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน หากดัชนีหลุดแนวรับนี้ลงมาอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น ความเสี่ยงในการปรับฐานลึกขึ้นจะสูงขึ้นทันที
Nasdaq มีความอ่อนไหวต่อแรงขายมากกว่า เนื่องจากกระจุกตัวในหุ้นกลุ่ม AI และเซมิคอนดักเตอร์
หากหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์ควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น และรอ “สัญญาณยืนยัน” เช่น ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น หรือ breadth ชะลอตัว ก่อนพิจารณาเปิดสถานะ short เพิ่ม
ตัวชี้วัดอย่าง RSI และ MACD เริ่มส่งสัญญาณว่าโมเมนตัมขาขึ้นของหุ้นใหญ่ในกลุ่มเติบโตเริ่มอ่อนกำลัง
การวางแผนในหลายสถานการณ์ควรรวมถึง: การดีดกลับแรง (mean reversion) หากมีแรงซื้อกลับ การพักตัวแบบไซด์เวย์ (consolidation) หรือการปรับฐานลึก หากมีตัวกระตุ้นจากเศรษฐกิจมหภาค
ระดับทางเทคนิคจะเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน นักลงทุนควรใช้เครื่องมือกราฟแบบเรียลไทม์ และยืนยันสัญญาณจากหลายกรอบเวลา (multi-timeframe)
ตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่มีสัดส่วนหุ้นเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีสูง ต่างเผชิญแรงขายเด่นชัดตามทิศทางของสหรัฐฯ
เกาหลีใต้และไต้หวัน เจอแรงกดดันหนักในกลุ่มผู้ผลิตชิป ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเองก็สะท้อนบรรยากาศระมัดระวัง (risk-off) ในหุ้นเทคโนโลยีเช่นกัน
ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงิน มีการขยับตัวเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนกำลังประเมินมุมมองอัตราดอกเบี้ยใหม่ภายใต้ภาวะอ่อนแรงของตลาดหุ้น
การส่งผ่านความเสี่ยงข้ามตลาดครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับฐานด้านมูลค่า (valuation correction) ในหุ้น AI และเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ สามารถลุกลามไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด และรายได้ของบริษัทข้ามชาติที่กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค

ส่วนนี้นำเสนอคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับนักลงทุนประเภทต่างๆ ดังนี้:
ทบทวนแต่ละการถือครองให้สอดคล้องกับกรอบเวลาการลงทุนและสมมติฐานหลักของคุณ
หากคุณเชื่อมั่นในหุ้นบางตัวอย่างแรงกล้า อาจใช้โอกาสที่ราคาผันผวนเข้าซื้อเพิ่มแบบเป็นระบบ เช่น การเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging) แทนการใส่เงินก้อนใหญ่ครั้งเดียวตอนราคาต่ำสุด
ประเมินพื้นฐานธุรกิจอย่างรอบคอบ เช่น อัตราการเติบโตของรายได้ แนวโน้มอัตรากำไร และศักยภาพของตลาดที่บริษัทจับอยู่
พิจารณาลดสัดส่วนหุ้นที่พุ่งขึ้นแรงเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต หากหุ้นบางตัวมีน้ำหนักมากเกินแผนที่วางไว้
ใช้กฎหยุดขาดทุน (stop-loss) อย่างเคร่งครัด และควบคุมขนาดสถานะ (position sizing) ให้เหมาะสม
หากมีมุมมองมั่นใจสูง การเปิดชอร์ตหรือซื้อออปชัน Put อาจเป็นแนวทางที่เหมาะสม แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนและจังหวะเป็นสำคัญ ในสภาวะที่ข่าวมีผลแรงต่อราคา ควรใช้สัญญาออปชันอายุสั้นในการป้องกันความเสี่ยง
ลองใช้กลยุทธ์ Pair Trade เช่น ถือสถานะ Long ในหุ้นป้องกันความเสี่ยงหรือหุ้นคุณค่า (Value) ขณะ Short หุ้นเติบโตที่ถูกมองว่าเกินมูลค่า เพื่อลดความผันผวนจากทั้งตลาด (ลด Beta)
กลุ่มการเงิน (Financials) อาจได้ประโยชน์หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น กลุ่มวัฏจักร (Cyclicals) อาจทำผลงานได้ดีกว่า หากมีการหมุนเงินออกจากหุ้นเติบโต
ในทางกลับกัน ควรระมัดระวังหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน AI จนกว่าจะเห็นแนวโน้มชัดเจนยิ่งขึ้นว่า รายได้และแผนการลงทุนของบริษัทสอดคล้องกับมูลค่าหุ้นปัจจุบัน
การร่วงลงครั้งนี้เกิดจากแรงขายทำกำไร (profit-taking) ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตสูงและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากผลตอบรับเชิงลบต่อผลประกอบการของบางบริษัท และคำเตือนจากผู้บริหารธนาคารเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่ตึงตัว เมื่อหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวร่วงลงแรง ทำให้ดัชนี Nasdaq ซึ่งมีน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีสูง ถูกกดดันหนักเป็นพิเศษ
โดยรวมแล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่านี่เป็น “การปรับฐานด้านมูลค่า” มากกว่าการเริ่มต้นของตลาดหมี อย่างไรก็ตาม ความเห็นนี้อาจเปลี่ยนได้ หากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงานหรือเงินเฟ้อ ออกมาแย่กว่าคาด หรือหากสภาพคล่องในตลาดเริ่มตึงตัว นักลงทุนจึงควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและการสื่อสารจาก Fed อย่างใกล้ชิด
การตัดสินใจลงทุนควรสอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และพื้นฐานของบริษัทแต่ละราย สำหรับนักลงทุนระยะยาว การขายทั้งหมดในตอนนี้อาจไม่จำเป็น คุณอาจพิจารณาปรับสมดุลพอร์ต (rebalancing) ขายทำกำไรบางส่วน หรือใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเช่นออปชัน หากกังวลต่อความเสี่ยงระยะสั้น
กลุ่มหุ้นป้องกันความเสี่ยง (defensive sectors) ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน (Consumer Staples), สาธารณสุข (Healthcare) และสาธารณูปโภค (Utilities) นอกจากนี้ กลุ่มการเงิน (Financials) อาจทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันบางส่วน หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกอุตสาหกรรมควรพิจารณาควบคู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจและระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
ควรให้ความสำคัญกับตัวเลขการจ้างงานรายเดือน, ดัชนีเงินเฟ้อ CPI/PCE, รายงานการประชุม Fed (Fed minutes) และผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ข้อมูลเหล่านี้จะบอกทิศทางว่าตลาดจะปรับฐานต่อหรือเริ่มทรงตัว
ให้ใช้หลายตัวชี้วัดประกอบกัน เช่น อัตราส่วนมูลค่า (P/E, P/S) เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว, ความกว้างของตลาด (sector breadth), กระแสเงินเข้า-ออกของกองทุนธีมเฉพาะ (ETF) และทิศทางการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์
โดยปกติ การเกิด “Market Re-rating” มักปรากฏชัดเมื่อเห็นการปรับตัวของหลายตัวชี้วัดพร้อมกัน เช่น กำไรที่ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินไหลออกจาก ETF ธีมเดียวกัน และราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวแยกขั้วจากพื้นฐานธุรกิจ
แรงขายล่าสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นเครื่องเตือนว่า “กำไรที่กระจุกตัวในหุ้นไม่กี่ตัวสามารถหายได้อย่างรวดเร็วเมื่อความเชื่อมั่นเปลี่ยน” สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญตอนนี้คือ ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในพอร์ต รักษาความยืดหยุ่นด้วยเงินสดหรือกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง และแยกแยะระหว่างความผันผวนชั่วคราว และการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานระยะยาวของธุรกิจ
ในเชิงยุทธศาสตร์ นักลงทุนระยะยาวสามารถใช้จังหวะย่อตัวนี้ทบทวนและอาจเสริมพอร์ตอย่างมีเหตุผล ขณะที่นักเทรดระยะสั้นควรเน้นการจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด ผู้ลงทุนเชิงโอกาสอาจมองหาหุ้นคุณภาพที่ถูกลากลงมาตามกลุ่มอย่างไม่เป็นธรรม
สุดท้าย อย่าลืมติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ ข้อมูลการจ้างงาน เงินเฟ้อ และคำแถลงของธนาคารกลางจะเป็นตัวชี้ชะตาว่า นี่เป็นเพียงแรงย่อชั่วคราว หรือเป็นสัญญาณของการหมุนเปลี่ยนครั้งใหญ่ในตลาด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ