ตลาดกระทิง vs ตลาดหมี: ต่างกันอย่างไร?
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ตลาดกระทิง vs ตลาดหมี: ต่างกันอย่างไร?

ผู้เขียน: Charon N.

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-24

ตลาดกระทิงไม่ได้หมายถึง “ราคาขึ้น” และตลาดหมีไม่ได้หมายถึง “ราคาลง” เสมอไป เพราะคำเหล่านี้ซ่อนความแตกต่างสำคัญไว้ เช่น ขนาดการเคลื่อนไหวของราคา (ราคาลดลงมากแค่ไหน) ระยะเวลา (กินเวลานานเท่าไร) สาเหตุรากฐาน (วิกฤติเครดิต การช็อกนโยบาย โรคระบาด การล่มสลายของมูลค่า) และผลกระทบหลังเหตุการณ์ (การเปลี่ยนนโยบาย การปรับโครงสร้าง)


เรียนรู้ว่าตลาดกระทิงเกิดขึ้นอย่างไร และตลาดหมีดำเนินไปอย่างไร ไม่ใช่แค่การเรียกชื่อเชิงนามธรรม แต่เป็นรูปแบบที่ทำซ้ำได้ โดยศึกษาจากตัวอย่างตลาดจริง


หลังจากอ่านบทความนี้ คุณจะสามารถ (1) ระบุปัจจัยขับเคลื่อนหลักของแต่ละรอบตลาดได้ (2) สังเกตสัญญาณเตือนล่วงหน้า และ (3) เลือกกลยุทธ์ที่ป้องกันความเสี่ยงได้ตามแต่ละสภาวะตลาด


คำจำกัดความโดยย่อ

  • ตลาดกระทิง (Bull market): การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาตลาดโดยรวม โดยทั่วไปวัดจากการเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากจุดต่ำสุดก่อนหน้า (การนิยามเชิงปฏิบัติจริงอาจแตกต่างกันตามบริบท)

  • การปรับฐาน (Correction): การปรับตัวลดลง 10–20% จากจุดสูงสุดล่าสุด

  • ตลาดหมี (Bear market): การลดลง 20% หรือมากกว่าจากจุดสูงสุดล่าสุด ความรุนแรงและระยะเวลาของการลดลงอาจแตกต่างกันมาก นี่คือนิยามมาตรฐานที่นักวิเคราะห์และผู้ให้ข้อมูลหลักใช้กัน


การทดสอบง่าย ๆ ที่มักได้ผล

1. กฎ 20% เป็นเพียงฉลาก ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค

กฏ 20% มีประโยชน์สำหรับหัวข้อข่าว แต่ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับวางกลยุทธ์ การปรับตัวลดลงอาจเกิดเร็วเพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือเกิดช้าเพราะการปรับมูลค่า


ความแตกต่างนี้สำคัญ เพราะการฟื้นตัว หุ้นนำตลาด และความผันผวนจะแตกต่างกันตามสาเหตุ นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ใช้แค่ “ลด 20%” จะพลาดคำถามที่แท้จริง: สิ่งใดกำลังถูกปรับมูลค่าใหม่?


2. การเปลี่ยนแปลงราคามาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ กำไรและอัตราส่วนลด

ราคาหุ้นสามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายได้ดังนี้:


  • ราคา = กำไร × อัตราส่วนราคาต่อกำไร


ตลาดกระทิงมักเกิดจากการผสมผสานของ (1) การเติบโตของกำไร และ (2) การขยายอัตราส่วนมูลค่า (นักลงทุนจ่ายมากขึ้นต่อกำไร $1) ตลาดหมีมักเกิดจาก (1) การหดตัวของอัตราส่วนมูลค่า (multiple compression) (2) กำไรลดลง หรือ (3) ทั้งสองพร้อมกัน

“อัตราส่วนลด” เป็นแรงโน้มถ่วงทางการเงินที่ดึงมูลค่าลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น หรือเมื่อเบี้ยความเสี่ยงขยายตัว


3. การแพร่กระจายเป็นสัญญาณที่มักถูกมองข้าม

หนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการสังเกตตลาดหมีรุนแรงคือดูว่าความอ่อนแออยู่แค่บางส่วนหรือแพร่กระจายไปทั่วหลายภาคส่วน


งานวิจัยจากธนาคารกลางสหรัฐแห่งเมืองเซนต์หลุยส์ (Federal Reserve Bank of St. Louis) ชี้ให้เห็นว่า ฟองสบู่บางครั้งแตกโดยมีผลกระทบจำกัด ในขณะที่บางครั้งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวกว้าง เช่น ตลาด “เคลื่อนไหวพร้อมกัน” เมื่อความตึงเครียดกระจายจากจุดหนึ่งไปทั้งระบบ


เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์สูงขึ้นและทุกอย่างขายพร้อมกัน มักเป็นสัญญาณของความตึงเครียดด้านเงินทุน การขายถูกบังคับ หรือผลกระทบต่อระบบการเงิน ไม่ใช่แค่การปรับมูลค่าในมุมใดมุมหนึ่งของตลาด


ตัวอย่างจริง

1) ปี 1987 - Black Monday (ตลาดร่วงครั้งใหญ่โดยไม่ใช่ตลาดหมี)

1987 -  Black Monday (Crash Without a Bear Market)

ในวันที่ 19 ตุลาคม 1987 ดัชนี Dow Jones Industrial Average ร่วง 22.6% ในวันเดียว ซึ่งยังคงถูกอ้างถึงว่าเป็นการปรับตัวลงแบบเปอร์เซ็นต์สูงสุดในประวัติศาสตร์ ด้านปัจจัยเร่งคือปัญหาโครงสร้างตลาดและวงจรฟีดแบ็กในการเทรด ไม่ใช่เศรษฐกิจล่มสลาย


ขนาดและความรุนแรง:

  • ลดลง 22.6% ในหนึ่งวัน (ดาวโจนส์)

  • หายเป็นปกติภายในประมาณ 2 ปี


บทเรียนสำคัญคือความเร็วในการฟื้นตัว: สรุปประวัติศาสตร์ของ Federal Reserve ระบุว่าตลาดสามารถกู้คืนส่วนใหญ่ของการขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว และตลาดหุ้นสหรัฐกลับสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤติภายในไม่ถึงสองปี นั่นคือสัญลักษณ์ของช็อกด้านสภาพคล่อง/โครงสร้าง ตลาดรุนแรง แต่ซ่อมแซมได้เมื่อระบบยังทำงานอยู่


2) ปี 2000-2002 - ตลาดหมี Dot-Com (การระเบิดของมูลค่า)

ภาวะถดถอยช่วงต้นปี 2000 เป็นตัวอย่างคลาสสิกของตลาดหมี “multiple compression” คือ ราคาหุ้นลดลงเพราะความคาดหวังสูงเกินไปเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดและการเติบโตที่เป็นจริง กล่าวง่าย ๆ คือ นักลงทุนจ่ายมากเกินไปสำหรับกำไรในอนาคตที่ไม่เกิดขึ้นตามกำหนด


ขนาดและความรุนแรง:

  • ดัชนี NASDAQ Composite ร่วงลงประมาณ 78%

  • ดัชนี S&P 500 ลดลงประมาณ 49%

  • การฟื้นตัวของดัชนี NASDAQ กลับไปสู่ระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ใช้เวลา 15 ปี (จนกระทั่งปี 2015)


ดัชนี Nasdaq Composite ร่วงลงประมาณ 78% จากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุดในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ทำให้เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนว่าการกระจุกตัวของภาคส่วนต่างๆ สามารถส่งผลกระทบได้ทั้งสองด้าน: เมื่อภาคส่วนเดียวกันครอบงำดัชนีในช่วงขาขึ้น ก็อาจครอบงำความเสียหายในช่วงขาลงได้เช่นกัน


3) ปี 2007-2009 - วิกฤติการเงินโลก (ตลาดหมีขับเคลื่อนด้วยเครดิต)

2007-2009 - Global Financial Crisis

วิกฤติการเงินโลก (Global Financial Crisis) ไม่ได้เกิดจากการจ่ายแพงเกินไปสำหรับกำไรของบริษัทเป็นหลัก แต่เกิดจากปัจจัยด้านเลเวอเรจ คุณภาพเครดิต และความเชื่อมโยงระหว่างงบดุลของสถาบันการเงิน


ตามประวัติศาสตร์ของ Federal Reserve ระบุว่าราคาบ้านโดยเฉลี่ยลดลงประมาณ 30% จากจุดสูงสุดกลางปี 2006 ถึงกลางปี 2009 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วง 57% จากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2007 ถึงจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2009


ขนาดและความรุนแรง:

  • ดัชนี S&P 500 ร่วงลงประมาณ 57%

  • ฟื้นตัวกลับสู่ระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ภายในปี 2013


นี่คือตัวอย่างของ “การแพร่ระบาด” (contagion): ปัญหาตลาดที่อยู่อาศัยกระทบผู้ให้กู้ ผู้ให้กู้กระทบตลาดเงินทุน และระบบทั้งหมดปรับราคาใหม่สำหรับความเสี่ยง การตอบสนองนโยบายก็สะท้อนแผนปฏิบัติสำหรับความตึงเครียดในระบบ: อัตราดอกเบี้ยของ Fed ถูกลดอย่างรวดเร็ว และเครื่องมือที่ไม่ธรรมดาถูกนำมาใช้เมื่ออัตราต่ำสุดใกล้เข้ามา


4) ปี 2020 - วิกฤตการณ์โควิด-19 (ภาวะตลาดหมีจากปัจจัยภายนอก)

การขายสินทรัพย์ในปี 2020 แสดงให้เห็นว่าตลาดสามารถร่วงลงได้เร็วเพียงใดเมื่อความไม่แน่นอนสูงสุด และสามารถฟื้นตัวได้เร็วเพียงใดเมื่อมีสภาพคล่องรองรับที่เชื่อถือได้


การวิเคราะห์จาก Federal Reserve Bank of St. Louis ระบุว่า หลังจากดัชนี S&P 500 ทำจุดสูงสุดในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2020 ตลาดร่วงลงเหลือประมาณ 66% ของจุดสูงสุดภายในวันที่ 23 มีนาคม หรือร่วงประมาณ 34%


ขนาดและความรุนแรง:

  • ดัชนี S&P 500 ร่วงลงประมาณ 34% ในเวลาเพียงเดือนกว่าๆ

  • ฟื้นตัวสู่ระดับสูงสุดใหม่ภายใน 6 เดือน


สิ่งที่ทำให้ปี 2020 แตกต่างออกไปคืออัตราการฟื้นตัว รายงานของ S&P Dow Jones Indices ที่อธิบายถึงปี 2020 ระบุว่าดัชนี S&P 500 กลับคืนสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลได้ภายในเดือนสิงหาคม


สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่าความผันผวนอาจพุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเหตุการณ์ช็อกโลก เช่น ดัชนี VIX ที่ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 82.69 ในเดือนมีนาคม 2020


5) ปี 2022 - ตลาดหมีจากภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ขับเคลื่อนโดยนโยบาย)

2022 - Inflation

การร่วงของตลาดในปี 2022 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของตลาดหมีที่เกิดจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ สูงถึง 9.1% เมื่อเทียบปีต่อปีในเดือนมิถุนายน 2022 (CPI-U) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 12 เดือนสูงสุดตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 1981


ขนาดและความรุนแรง:

  • ดัชนี S&P 500 ร่วงลงประมาณ 25% จากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุด

  • ดัชนี NASDAQ ร่วงลงประมาณ 35%

  • ตลาดแตะจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม 2022


เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ธนาคารกลางสหรัฐจึงปรับเพิ่มช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคาร (federal funds rate) อย่างรวดเร็ว จากระดับใกล้ศูนย์ไปสู่ระดับที่เข้มงวด บันทึกอย่างเป็นทางการของธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงช่วงเป้าหมายแสดงให้เห็นถึงการปรับขึ้นในปี 2022 และปีต่อๆ ไป


ผลกระทบที่ตามมา (2023-2025):

  • ปี 2023-2024: ตลาดหุ้นขาขึ้นที่แข็งแกร่งซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI โดยกระจุกตัวอยู่ในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่

  • ปี 2025: ตลาดมีลักษณะเด่นคือ การปรับตัวขึ้นอย่างเลือกสรร ความผันผวนสูงขึ้น และอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและคุณภาพของกำไร


การวิเคราะห์ของ St. Louis Fed ระบุว่า ผลตอบแทนจริงของหุ้นที่วัดจากดัชนี S&P 500 อยู่ที่ประมาณ -25% ในปีจนถึงเดือนตุลาคม 2022 สอดคล้องกับการปรับมูลค่าครั้งใหญ่ของกระแสเงินสดการเติบโตระยะยาวเมื่ออัตราส่วนลดเพิ่มขึ้น


ความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิง vs ตลาดหมี

กรอบวิเคราะห์แบบตาม “ระบอบตลาด”

ตลาดกระทิงและตลาดหมีไม่ได้หมายถึงแค่ราคาขึ้นหรือลงเท่านั้น แต่เป็นระบอบตลาดที่แตกต่างกันแต่ละช่วง มีกลไก พฤติกรรม และนโยบายที่ต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างนี้สำคัญสำหรับนักลงทุน นักเทรด และผู้จัดการความเสี่ยง

ประเภทระบบตลาด ตัวกระตุ้นปกติ สัญญาณเริ่มต้น ปัจจัยที่ช่วยสร้างความมั่นคง ตัวอย่างทางประวัติศาสตร์
ความตึงตัวของสภาพคล่อง/โครงสร้าง ปัญหาด้านกลไกตลาด ความเครียดในการวางตำแหน่ง สภาพคล่องต่ำ ช่องว่างราคาเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน สภาพคล่องล้มเหลว การให้ความมั่นใจด้านนโยบายอย่างรวดเร็ว การสนับสนุนสภาพคล่อง การปฏิรูปโครงสร้างตลาด ปี 1987
การปรับมูลค่า อัตราส่วนราคาต่อกำไรที่สูงเกินไป การกำหนดราคาโดยอาศัยเรื่องเล่า ภาวะผู้นำที่แคบ การออกหุ้นเก็งกำไร การเติบโตที่ไร้กำไร ความเป็นจริงของรายได้ควบคู่กับเวลา ปี 2000–2002
ความตึงเครียดด้านเครดิต/งบดุล หนี้สินที่มากเกินไปมาเจอกับราคาสินทรัพย์ที่ลดลง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้น ความตึงเครียดด้านการเงิน ความสัมพันธ์ที่เพิ่มสูงขึ้น การสนับสนุนเงินทุน การเพิ่มทุน ซ่อมแซมงบดุล ปี 2007–2009
ช็อกภายนอก เหตุการณ์ภายนอกหรือเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความผันผวนพุ่งสูงขึ้น การขายอย่างไม่เลือกหน้า การตอบสนองเชิงนโยบายที่ประสานงานกันและมุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ปี 2020
การเข้มงวดของนโยบาย ภาวะเงินเฟ้อทำให้ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น การบีบอัดหลายระดับ ประสิทธิภาพต่ำเป็นเวลานาน การลดลงของอัตราเงินเฟ้อและความคาดหวังเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีเสถียรภาพ ปี 2022


สรุป

  • ตลาดกระทิง คือการขยายตัวที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่น

  • ตลาดหมี เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการปรับราคาความเสี่ยง

  • การเข้าใจว่าคุณอยู่ในตลาดหมีประเภทใด แทนที่จะตอบสนองต่อหัวข้อข่าว เป็นรากฐานของกลยุทธ์ตลาดที่มีวินัยและเป็นมืออาชีพ


คู่มือกลยุทธ์สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน

Tactical Playbook - Bull vs Bear

  • หากคุณเชื่อว่าตลาดกระทิงจะดำเนินต่อไป: ให้เน้นหุ้นเชิงวัฏจักร (cyclicals), หุ้นเติบโต (growth) และหุ้นที่มีความผันผวนสูง (high beta) โดยจัดสรรขนาดตำแหน่งอย่างมีวินัย

  • หากคุณสงสัยว่าตลาดหมีกำลังเริ่มต้น: เพิ่มสภาพคล่อง, ลดการใช้เลเวอเรจ, เพิ่มพันธบัตรคุณภาพสูงและเงินสดเทียบเท่า, พิจารณาใช้การป้องกันความเสี่ยง (puts, inverse ETFs) หรือ options collars

  • สำหรับนักลงทุนระยะยาว/เกษียณ: การลงทุนแบบ dollar-cost averaging และการปรับพอร์ตตามวัฏจักรตลาดยังคงมีประสิทธิภาพเชิงสถิติ

  • สำหรับนักเทรดที่ใช้งานอย่างต่อเนื่อง: ใช้ความผันผวน, ความกว้างของตลาด, และข้อมูลภายในตลาด (เช่น จำนวนหุ้นขึ้นเทียบกับลง) เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงของระบอบตลาด

  • สำหรับสถาบัน: ทดสอบความทนทานของงบดุลภายใต้การลดลงอย่างลึก และตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีเงินสำรองสภาพคล่องเพียงพอ


สัญญาณที่มักจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะมีข่าวพาดหัว

  • ไม่มีตัวชี้วัดใดตัวเดียวที่สามารถ “ทำนาย” ตลาดหมีได้อย่างเชื่อถือ แต่การเปลี่ยนระบอบมักทิ้งร่องรอยไว้

  • ความกว้างและความเป็นผู้นำของตลาด: การฟื้นตัวที่จำกัดมักเปราะบาง; การเข้าร่วมอย่างกว้างขวางทำให้ตลาดแข็งแรง

  • ความตึงเครียดข้ามสินทรัพย์: หากหุ้นลดลงในขณะที่สเปรดเครดิตขยายและสภาพคล่องบางลง ความน่าจะเป็นว่าปัญหาเป็นระบบมากกว่าปัญหาเฉพาะจุดจะสูงขึ้น

  • ความคาดหวังนโยบาย: เมื่อเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ค่าการประเมินมูลค่าจะเปลี่ยนเร็วเพราะอัตราส่วนลดเพิ่มขึ้น ตัวอย่างจริงคือเงินเฟ้อ CPI ปี 2022 และแนวทางอัตราดอกเบี้ย


พฤติกรรมและกับดักที่ควรหลีกเลี่ยง

  • สมมติว่าการปรับฐาน (correction) “จบแล้ว” เพียงเพราะมันเกิดเร็วและฟื้นตัวไว (เพราะการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วบางครั้งซ่อนความเสียหายเชิงโครงสร้างที่แท้จริง)

  • วิ่งตามโมเมนตัมสูงสุด (ซื้อเข้าช่วงปลายฟองสบู่)

  • พึ่งพาตัวชี้วัดตัวเดียวมากเกินไป โดยไม่รวมสัญญาณจากมุมมองมหภาค, เครดิต, การประเมินมูลค่า และเทคนิคอลเข้าด้วยกัน


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ความแตกต่างหลักระหว่างตลาดกระทิง (Bull Market) และตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร?

ตลาดกระทิง คือการขึ้นราคาต่อเนื่องในวงกว้าง มักได้รับการสนับสนุนจากกำไรที่เพิ่มขึ้น เงื่อนไขทางการเงินที่เอื้ออำนวย หรือมูลค่าที่สูงขึ้น ส่วนตลาดหมี คือการปรับลดราคาต่อเนื่องที่ความเสี่ยงถูกประเมินใหม่ ผ่านกำไรที่ลดลง มูลค่าที่ต่ำลง หรือความตึงเครียดด้านเครดิตและสภาพคล่อง


2. ตลาดหมีทุกครั้งมักมาพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่?

ไม่ ไม่ใช่ว่าตลาดหมีทุกครั้งจะเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะบางครั้งอาจเกิดจากภาวะขาดสภาพคล่องหรือการปรับมูลค่าโดยที่เศรษฐกิจไม่ได้หดตัวในทันที ในขณะที่บางครั้ง โดยเฉพาะตลาดหมีที่เกิดจากปัญหาสินเชื่อ มักจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างใกล้ชิด


3. โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหมีจะกินเวลานานแค่ไหน?

ตลาดหมีมีระยะเวลาที่แตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่เพียงไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือนในกรณีที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเหตุการณ์เฉพาะ ไปจนถึงหลายปีในกรณีที่ตลาดตกต่ำลงเนื่องจากโครงสร้างหรือปัญหาด้านสินเชื่อ ดังที่ได้มีการบันทึกไว้ในบทสรุปทางประวัติศาสตร์โดย Investopedia


4. ตลาดหุ้นจะตกต่ำอย่างรุนแรงได้หรือไม่ หากไม่มีช่วงตลาดหมีที่ยาวนาน?

ใช่แล้ว วิกฤตการณ์ปี 1987 นั้นรุนแรงมากเกิดขึ้นภายในวันเดียว แต่ตลาดก็ฟื้นตัวจากความเสียหายส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและกลับไปสู่จุดสูงสุดก่อนหน้าได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี รูปแบบนั้นเข้ากับภาวะช็อกด้านสภาพคล่อง/โครงสร้างมากกว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระยะยาว


5. นักลงทุนควรขายทุกอย่างเมื่อตลาดหุ้นตก 20% หรือไม่?

การขายทุกอย่างหลังจากราคาลดลง 20% ไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องเสมอไป เพราะการตอบสนองที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาการลงทุน ความอดทนต่อความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยง และสาเหตุที่แท้จริงของการลดลงของตลาดของนักลงทุน


6. ทำไมตลาดหมีถึงรู้สึกรุนแรงกว่าผลตอบแทนของตลาดกระทิง?

ตลาดหมีรู้สึกรุนแรงกว่าเพราะความสูญเสียทำให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แรงกว่าผลกำไรเทียบเท่า ขณะที่ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ที่สูงขึ้น และเรื่องเล่าลบ ๆ ยิ่งทำให้การลดลงส่งผลทางจิตวิทยามากขึ้น


7. บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่นักลงทุนควรเรียนรู้จากตลาดหมีคืออะไร?

บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดหมีทำหน้าที่เป็นกลไกการปรับสมดุลใหม่ โดยจะปรับราคาความเสี่ยง ลดภาระหนี้สินที่มากเกินไป และสร้างเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับตลาดกระทิงในอนาคต


สรุป

ตลาดกระทิง vs ตลาดหมี แทนสภาพตลาดที่แตกต่างกัน ไม่ใช่แค่ราคาขึ้นหรือลงเท่านั้น ตลาดกระทิงมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกำไร สภาพคล่องที่เอื้ออำนวย และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดหมีเกิดจากการปรับประเมินความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมูลค่าเกินจริง ความตึงเครียดด้านเครดิต การปรับนโยบาย หรือช็อกภายนอก


ตลาดหมีมีความแตกต่างกันมากทั้งด้านความเร็วและระยะเวลา ความรุนแรงมักขึ้นอยู่กับการตอบสนองของนโยบาย พฤติกรรมของนักลงทุนยิ่งขยายทั้ง 2 เฟส: ความคาดหวังและเลเวอเรจขยายตลาดกระทิง ในขณะที่ความกลัวและการขายบังคับทำให้ตลาดหมีรุนแรงขึ้น


ข้อสรุปสำคัญคือ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการเข้าใจสภาพตลาดมากกว่าการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของราคา การรู้ปัจจัยขับเคลื่อนของวัฏจักรตลาดช่วยให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น และตัดสินใจลงทุนอย่างมีวินัยและมุ่งผลระยะยาวมากขึ้น


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
EMA vs SMA วิธีเลือกค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เหมาะกับคุณ
Active vs Passive ETF: ความแตกต่างสำคัญที่นักเทรดควรรู้
นโยบายการเงิน คืออะไร? เข้าใจเครื่องมือของธนาคารกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน
ทำไมหุ้น Oracle ร่วง? สาเหตุและมุมมองเกี่ยวกับ ORCL
เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!