เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-14
ทุกตลาดการเงินล้วนหายใจผ่าน “ตลาดพันธบัตร” ขณะที่หุ้นคำรามและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งแรง หนี้ภาครัฐต่างหากที่กระซิบเรื่องราวแท้จริงของชีพจรเศรษฐกิจ พันธบัตรสะท้อนอารมณ์ตลาดก่อนที่ข่าวจะออกมาเสียอีก พันธบัตรแปลงความคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโต เงินเฟ้อ และความเสี่ยงให้อยู่ในรูปตัวเลขที่ชัดเจน และในภาษาเดียวกันนี้ IEI ETF คือเสียงที่แผ่วเบาแต่ทรงอำนาจ มันบอกนักเทรดได้ว่าความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอนเมื่อใด และเมื่อใดที่ความระมัดระวังกลับมาอย่างเงียบ ๆ
IEI ETF เป็นกองทุนที่ติดตามผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 3–7 ปี ได้กลายเป็นกระจกสะท้อนความคาดหวังเรื่องอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก เมื่อธนาคารกลางเปลี่ยนนโยบายจากเข้มงวดสู่ผ่อนคลาย หรือเมื่อข้อมูลเงินเฟ้อสร้างความประหลาดใจ IEI ETF จะสะท้อนการเปลี่ยนแปลงนั้นทันที มันไม่ใช่เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอย่างเดียว และไม่ใช่การเดิมพันเพื่อเก็งกำไร หากแต่วางตัวอยู่ “กลางกระแสน้ำแห่งตลาด” อย่างสงบ สมดุลระหว่างผลตอบแทนกับความปลอดภัย ในปี 2025 เมื่อนักเทรดต้องเผชิญกับการออกพันธบัตรจำนวนมาก การเติบโตที่ยังแข็งแกร่ง และความเสี่ยงเงินเฟ้อที่ยังไม่หมดไป IEI ETF ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องชี้นำที่ชัดเจนที่สุด ว่านักลงทุนทั่วโลกมองอนาคตอย่างไร
IEI ETF หรือชื่อเต็มว่า iShares 3–7 Year Treasury Bond ETF เป็นกองทุนที่บริหารโดยบริษัท BlackRock ซึ่งมีเป้าหมายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการติดตามดัชนีที่ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมดที่มีอายุครบกำหนดระหว่าง 3 ถึง 7 ปี เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับภาพสะท้อนที่ชัดเจนของส่วน “อายุกลาง” ในเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)
ณ ปี 2025 กองทุนนี้มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคิดค่าธรรมเนียมเพียง 0.15% ต่อปี ภายในพอร์ตประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากกว่า 50 ฉบับ โดยมีอายุเฉลี่ยราว 4.7 ปี และระยะเวลาความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (Duration) ประมาณ 4.5 ปี ซึ่งหมายความว่า หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) เพิ่มขึ้น 1% ราคากองทุนจะลดลงประมาณ 4.5% ถือเป็นระดับความเสี่ยงปานกลางเมื่อเทียบกับมาตรฐานของตราสารหนี้
ช่วงอายุดังกล่าวทำให้ IEI กลายเป็นที่ชื่นชอบของนักเทรดและผู้จัดการพอร์ตที่ต้องการวางตำแหน่งตามแนวนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กองทุนระยะสั้นอย่าง SHY มักตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนมากเกินไป ในขณะที่กองทุนระยะยาวเช่น TLT มีความผันผวนสูงกว่า ดังนั้น IEI ซึ่งอยู่ตรงกลางจึงสามารถสะท้อน “ความคาดหวังต่ออัตราดอกเบี้ยในช่วง 1–5 ปีข้างหน้า” ได้อย่างสมดุล ซึ่งมักเป็นจุดที่ความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงินถูกทดสอบมากที่สุด
พันธบัตรรัฐบาลกลาง (Mid-term Treasury) ถือเป็นส่วนที่ “ให้ข้อมูลมากที่สุด” ของเส้นอัตราผลตอบแทน เพราะมันสะท้อนทั้งนโยบายในปัจจุบันและมุมมองของนักลงทุนต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งพอร์ตของ IEI ETF ก็อยู่ในจุดตัดที่สำคัญนี้พอดี
ในปี 2025 อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของธนาคารกลางสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 4.75% โดยตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยหนึ่งถึงสองครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 เมื่อเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลงใกล้ระดับ 2.3% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีอยู่ที่ราว 4.1% ขณะที่พันธบัตรอายุ 2 ปียังคงสูงกว่าเล็กน้อย ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนยังคง “กลับหัว” (Inverted) ประมาณ 30 จุดเบสิส (0.30%)
ภาวะกลับหัวนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน นักลงทุนคาดว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะลดลง แต่ยังไม่มั่นใจพอที่จะคาดการณ์ถึงการผ่อนคลายนโยบายอย่างจริงจัง ในบริบทเช่นนี้ IEI ETF ทำหน้าที่เสมือน “ล่ามของตลาดพันธบัตร”หากราคากองทุนปรับตัวสูงขึ้น มักหมายความว่านักเทรดเริ่มมองเห็นสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่หากราคาลดลง ก็สะท้อนถึงความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ยังยืดเยื้อ สำหรับผู้ติดตามอารมณ์ตลาดสินทรัพย์ต่าง ๆ IEI ETF มักเคลื่อนไหวเร็วกว่าความผันผวนของตลาดหุ้นหนึ่งก้าว ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าเมื่อ “ความอยากเสี่ยง” เริ่มลดลง
พอร์ตของ IEI ETF ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งหมายถึง “ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต” เลย โดยมักครอบคลุมพันธบัตรอายุ 3 ปี 5 ปี และ 7 ปีในปัจจุบัน กองทุนนี้ใช้ระบบ “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market-Value Weighted) หมายความว่าพันธบัตรที่มีมูลค่าออกสูงจะมีสัดส่วนในพอร์ตมากกว่า อัตราดอกเบี้ยคูปองเฉลี่ยของพันธบัตรอยู่ที่ประมาณ 3.6% และอัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (Yield to Maturity) ณ เดือนตุลาคม 2025 อยู่ที่ราว 4.3%
ปริมาณการซื้อขายรายวันเกินกว่า 1 ล้านหน่วย ทำให้มีสภาพคล่องสูง เหมาะทั้งสำหรับนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย กองทุนจ่ายเงินปันผลรายเดือน จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอโดยไม่ต้องบริหารพันธบัตรรายตัว และเนื่องจากซื้อขายในตลาด NYSE Arca นักลงทุนสามารถเข้าหรือออกจากตำแหน่งได้ทุกเวลาเช่นเดียวกับหุ้นทั่วไป
ระยะเวลา (Duration) ระดับปานกลางของ IEI ทำให้มีความผันผวนน้อยกว่ากองทุนพันธบัตรระยะยาว แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนระยะสั้น ในโลกที่เส้นทางเงินเฟ้อยังไม่แน่นอน สมดุลระหว่าง “ความมั่นคง” และ “การตอบสนองต่อสภาวะตลาด” นี้ ทำให้ IEI ETF กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์หลักของพอร์ตการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในยุคปัจจุบัน
IEI ETF ผ่านทุกวัฏจักรสำคัญของตลาดพันธบัตรในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ระหว่างปี 2015–2020 กองทุนให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีราว 1.7% เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ปี 2020 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ราคาของ IEI พุ่งขึ้นกว่า 6%
อย่างไรก็ตาม ภาพเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในปี 2022 เมื่อ Fed ดำเนินนโยบาย “ขึ้นดอกเบี้ยเร็วที่สุดในรอบ 40 ปี” อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ IEI ร่วงลงกว่า 9% ซึ่งถือเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพันธบัตรระยะกลาง แต่ในปีต่อ ๆ มา ตลาดค่อย ๆ ฟื้นตัว เมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับลดจากกว่า 7% เหลือประมาณ 2.8% ภายในกลางปี 2025 ราคาพันธบัตรเริ่มทรงตัว และ IEI ETF ฟื้นคืนได้ราว 8% จากจุดต่ำสุด โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยที่มั่นคงและความผันผวนที่ลดลง
ในปี 2025 (นับถึงปัจจุบัน) กองทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2% รวมถึงเงินปันผล บทบาทของมันในฐานะ “ตัวสร้างเสถียรภาพ” ในพอร์ตการลงทุนได้รับการยืนยันอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง และนักเทรดมองหาการป้องกันจากการปรับฐานของตลาด เมื่อเทียบกับกองทุนระยะสั้น IEI ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ขณะที่เมื่อเทียบกับกองทุนระยะยาว ก็มีความเสี่ยงด้านระยะเวลา (Duration Risk) ต่ำกว่ามาก
นักเทรดใช้ IEI ETF ได้หลายรูปแบบ ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งเฉพาะตัวของมันบนเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)
เมื่อคาดว่าอัตราผลตอบแทนจะลดลง นักเทรดจะ “ซื้อ” IEI ETF เพื่อเก็งกำไรจากราคาที่จะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากคาดว่าอัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น พวกเขาอาจ “ขายชอร์ต” กองทุนนี้ หรือใช้สัญญา CFD เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงลบ ในช่วงปี 2023–ต้นปี 2024 กองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งใช้ IEI เป็นเครื่องมือแทนในกลยุทธ์ “Mid-Curve Steepening” เพื่อเดิมพันว่าธนาคารกลางจะเริ่มชะลอนโยบายเข้มงวด
IEI เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่ต้องการชดเชยความเสี่ยงจากหุ้น โดยตามสถิติแล้ว พันธบัตรระยะกลางมีความสัมพันธ์กับดัชนี S&P 500 ประมาณ –0.38 ซึ่งช่วยลดความเสียหายในช่วงตลาดผันผวน ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายปี 2022 เมื่อราคาหุ้นร่วงแรง IEI ช่วยรักษาเสถียรภาพของพอร์ตได้ แม้ราคาของตัวเองจะปรับลงเล็กน้อย
นักเทรดระดับมืออาชีพมักใช้ IEI คู่กับกองทุนที่มีอายุสั้นหรือยาวกว่า เช่น
Long IEI / Short TLT → แสดงมุมมองว่าพันธบัตรระยะกลางจะให้ผลตอบแทนดีกว่าระยะยาว หากอัตราผลตอบแทนขยับขึ้นเล็กน้อย
Long IEI / Short SHY → เดิมพันว่าเส้นอัตราผลตอบแทนจะ “ชันขึ้น” (Steepening) เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเร็วกว่าพันธบัตรระยะกลาง
สำหรับนักเทรดในตลาดฟิวเจอร์ส IEI เป็นเครื่องมือวัดความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (Duration Exposure) ของสัญญา Treasury อายุ 5 ปีแบบเรียลไทม์ สภาพคล่องสูงของมันช่วยให้สามารถป้องกันความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำก่อนการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหรือการประชุมธนาคารกลาง
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ IEI เปิดโอกาสให้เข้าถึง “ตลาดพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (Currency Hedging) จึงมักถูกใช้เป็นทางเลือกที่มีความผันผวนต่ำ เพื่อรักษารายได้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
กองทุน IEI ETF มีคุณสมบัติหลายประการที่ทำให้มันกลายเป็น “เสาหลัก” ของกลยุทธ์การลงทุนที่อิงกับตราสารหนี้
ความโปร่งใส: เปิดเผยรายการพันธบัตรที่ถืออยู่ทุกวัน ให้นักลงทุนเห็นโครงสร้างพอร์ตอย่างชัดเจน
สภาพคล่องสูง: ส่วนต่างราคาซื้อ–ขายแคบ และมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูง ทำให้เข้า–ออกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้นทุนต่ำ: ค่าธรรมเนียมเพียง 0.15% ต่อปี จัดอยู่ในระดับต่ำที่สุดในบรรดา ETF พันธบัตร
ความปลอดภัยด้านเครดิต: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 100%
รายได้สม่ำเสมอ: แจกจ่ายดอกเบี้ย (Coupon) รายเดือน ช่วยสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้
ประสิทธิภาพทางภาษี: โครงสร้างของ ETF ช่วยลดการซื้อขายหมุนเวียนและภาระภาษี เมื่อเทียบกับกองทุนรวมแบบดั้งเดิม
ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอน คุณสมบัติเหล่านี้มักดึงดูดเงินทุนจากสถาบันต่าง ๆ ให้เข้ามา “พักไว้ชั่วคราว” ภายใน IEI ETF ขณะรอความชัดเจนทางเศรษฐกิจมหภาค
แม้ว่า IEI ETF จะมีเสถียรภาพสูง แต่ก็ไม่ได้ “ปราศจากความเสี่ยง”
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลตอบแทน — การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทน 1% มักทำให้ราคากองทุนลดลงราว 4.5%
ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: หากเงินเฟ้อเพิ่มเร็วกว่าที่คาด ผลตอบแทนจริง (Real Return) จะลดลง แม้อัตราผลตอบแทนที่ระบุจะคงที่
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: นักลงทุนต่างชาติอาจขาดทุนได้หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ต้นทุนค่าเสียโอกาส: ในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นแรง กองทุนพันธบัตรอย่าง IEI มักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าสินทรัพย์เสี่ยง
ช่องว่างด้านสภาพคล่อง: แม้จะเกิดไม่บ่อย แต่ในภาวะตลาดผันผวนรุนแรง ส่วนต่างราคาอาจขยายตัวชั่วคราว
ประสบการณ์ในปี 2022–2023 เป็นเครื่องเตือนว่า แม้แต่พันธบัตรคุณภาพสูงก็สามารถให้ผลตอบแทนติดลบได้ หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การใช้ IEI ETF อย่างมีประสิทธิภาพจึงควรอยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจ “บทบาทของมัน” ภายในพอร์ตการลงทุนโดยรวม
การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า IEI เป็น “จุดสมดุล” ระหว่างความปลอดภัย และโอกาสทำกำไร
SHY เน้น “การรักษาสภาพคล่อง” และความเสี่ยงต่ำมาก
TLT เน้น “การเก็งกำไรระยะยาว” ด้วยความผันผวนสูงกว่า
ส่วน IEI อยู่ตรงกลาง มีระยะเวลา (Duration) ปานกลาง ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินพอสมควรเพื่อสร้างผลตอบแทน แต่ไม่มากจนเสี่ยงต่อการขาดทุนหนัก
ด้วยเหตุนี้ นักเทรดจำนวนมากจึงใช้ IEI ETF เป็น “แกนกลางที่เป็นกลาง” ของพอร์ตการลงทุน และเพิ่มกลยุทธ์เชิงรุกอื่น ๆ ควบคู่กัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเติบโต
ตลาดพันธบัตรกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2026 ด้วยความระมัดระวังแต่แฝงด้วยความหวัง หลังจากเงินเฟ้อที่พุ่งแรงในปี 2022–2023 ได้ชะลอตัวลงต่ำกว่า 3% ในเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงกลางปี 2026 หากตลาดแรงงานยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลจาก Bloomberg Consensus คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 3.8% และพันธบัตรอายุ 5 ปีที่ 3.9% ภายในสิ้นปี 2026
สำหรับ IEI ETF สถานการณ์นี้บ่งชี้ถึงผลตอบแทนรวม (Total Return) ระดับปานกลางที่ราว 3–4% ต่อปี โดยได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยคูปองและกำไรจากราคาที่ปรับขึ้นเล็กน้อยเมื่ออัตราผลตอบแทนลดลง นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิดว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Treasury) จะจัดการกับตารางการออกพันธบัตรอย่างไร เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้เพิ่มปริมาณอุปทานในตลาด ขณะเดียวกัน ความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นและยุโรปยังคงแข็งแกร่ง ช่วยตรึงอัตราผลตอบแทนระยะกลางให้อยู่ในระดับต่ำ
สำหรับนักเทรด CFD โปรไฟล์ผลตอบแทนที่มั่นคงของ IEI ETF และการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอต่อข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการเก็งทิศทางรอบการประชุมของ Fed และการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อ
สมมติว่านักลงทุนคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยกลางปี 2026 เพื่อเก็งกำไรจากอัตราผลตอบแทนที่ลดลง เขาอาจเริ่มซื้อ IEI ETF ตั้งแต่ต้นปี 2025 ตลอดปีนั้น หากตลาดปรับความคาดหวังและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีลดลง 50 จุดเบสิส (0.5%) ราคากองทุนอาจเพิ่มขึ้นราว 2.2% บวกกับผลตอบแทนดอกเบี้ย 4.3% รวมเป็นผลตอบแทนรวมประมาณ 6.5%
ในทางกลับกัน หากนักเทรดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป เขาอาจเลือก ขายชอร์ต IEI หรือเปิดสถานะ Long ในกองทุนระยะสั้นเช่น SHY เพื่อชดเชยความเสี่ยง ความยืดหยุ่นเช่นนี้ประกอบกับสภาพคล่องสูง คือเหตุผลที่ทำให้ IEI ETF ยังคงเป็นหนึ่งในกองทุนพันธบัตรระยะกลางที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก
นักลงทุนสถาบันมักใช้ IEI ETF เป็น “ตัวชี้วัดมาตรฐาน” (Benchmark) สำหรับประสิทธิภาพของพันธบัตรระยะกลาง ข้อมูลราคาของมันยังถูกนำไปใช้ในโมเดลจัดสรรสินทรัพย์แบบสมดุล (Risk-Parity / Balanced Funds) จำนวนมาก เนื่องจากระยะเวลา (Duration) ของ IEI ใกล้เคียงกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 5 ปี จึงเหมาะสมกับโมเดลที่กระจายการลงทุนระหว่างหุ้น พันธบัตรเอกชน และพันธบัตรรัฐบาล
ในพอร์ตหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Portfolios) การถือ IEI ช่วยลดความผันผวนโดยไม่ต้องลดศักยภาพของผลตอบแทนมากนัก ตลอดปี 2025 ขณะที่ตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่และส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้เอกชน (Credit Spreads) แคบลง นักลงทุนสถาบันได้ทยอย โยกเงินเข้าสู่พันธบัตรระยะกลาง เพื่อ “ล็อกผลตอบแทน” ก่อนรอบการลดดอกเบี้ยที่คาดไว้ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนผ่านเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องใน IEI นับตั้งแต่เดือนเมษายน โดยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นเกือบ 10% ตั้งแต่ต้นปี
ทัศนคติต่อนักลงทุนที่มีต่อ IEI ETF สะท้อนถึง “ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินและนโยบายของสหรัฐฯ” โดยรวม ทุกครั้งที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การเจรจาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) หรือความเสี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐ กระแสเงินทุนไหลเข้าอาจหยุดชั่วคราว แต่จะกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อมีข้อตกลงเกิดขึ้น
IEI ETF จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่สินทรัพย์ที่นักลงทุน “เชื่อถือได้จริง” สำหรับการรักษามูลค่าผ่านวัฏจักรแห่งความไม่แน่นอน ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ณ กลางปี 2025 IEI อยู่ใน 5 อันดับแรกของกองทุน Treasury ETFs ที่มีเงินไหลเข้าสูงสุด ร่วมกับ TLT และ SHY โดยมีผู้ซื้อหลักคือ กองทุนบำเหน็จบำนาญและบริษัทประกันภัย ที่ต้องการปรับสมดุลหลังจากตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูง การไหลเข้าของเงินทุนเหล่านี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาและส่วนต่างการซื้อ–ขาย (Spread) ที่ต่ำ ส่งเสริมชื่อเสียงของ IEI ETF ในฐานะ “กองทุนมาตรฐาน” ที่นักลงทุนทั่วโลกไว้วางใจ
กองทุน IEI ETF ติดตามดัชนี ICE U.S. Treasury 3–7 Year Bond Index ซึ่งประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 3–7 ปี เป็นตัวแทนของส่วน “กลาง” ของเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve)
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ รับความผันผวนระดับปานกลางจากอัตราดอกเบี้ย และต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนให้หลุดพ้นจากความเสี่ยงของตลาดหุ้น
เมื่อธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) จะลดลง ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น โดยทั่วไปแล้ว IEI ETF จะได้รับประโยชน์ในระดับปานกลางจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เนื่องจากมีระยะเวลา (Duration) อยู่ในช่วงกลาง
IEI ETF ไม่ใช่เพียงกองทุนที่ติดตามพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบเฉื่อย ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็น “ภาพสะท้อนที่มีชีวิต” ของมุมมองตลาดโลกต่อนโยบายการเงินและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ในบทสนทนาอันซับซ้อนระหว่างข้อมูลเงินเฟ้อ การตัดสินใจของธนาคารกลาง และจิตวิทยาของนักลงทุน IEI ทำหน้าที่แปลความซับซ้อนนั้นให้อยู่ในรูปของ “เครื่องมือเดียวที่เทรดได้จริง”
ในปี 2025 ที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความระมัดระวัง IEI ETF ทำหน้าที่เป็น “จุดสงบใจกลางพายุ” ของตลาดพันธบัตร มันตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่รุนแรงจนเกินไป มอบผลตอบแทนที่มั่นคงและสมดุล ไม่ว่าจะใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedge) กระจายพอร์ต (Diversify) หรือเก็งทิศทางอัตราดอกเบี้ย (Speculate) IEI ETF ยังคงเป็น “ดัชนีอ้างอิงหลักของพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะกลาง” ที่นักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ
การเข้าใจ IEI ETF ก็คือการเข้าใจว่า “เงินทุนโลกกำลังรู้สึกอย่างไรกับอนาคต” แม้การเคลื่อนไหวของมันอาจดูแผ่วเบา แต่สารที่ส่งออกมานั้นชัดเจนเสมอ ความเชื่อมั่น ความระมัดระวัง และจังหวะอันเปลี่ยนแปลงของตลาดพันธบัตรที่ทั่วโลกจับตา
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ