เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-24
Passive fund คือ กองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อติดตามดัชนีตลาด เช่น SET50, S&P 500 หรือ MSCI World Index โดยไม่พยายามคาดการณ์หรือเอาชนะตลาด ผลตอบแทนของกองทุนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง ทำให้มีโครงสร้างที่โปร่งใส ต้นทุนค่าธรรมเนียมต่ำ และเหมาะกับการลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทุกวัน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจว่า Passive fund คืออะไร แตกต่างจาก Active fund อย่างไร และทำไมนักลงทุนทั่วโลกถึงให้ความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
Passive fund คือ กองทุนรวมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผลตอบแทนเคลื่อนไหว “ตามตลาด” มากกว่าพยายามเอาชนะตลาด โดยจะลงทุนในหลักทรัพย์ตามสัดส่วนของดัชนีอ้างอิง เช่น SET50, S&P 500 หรือ MSCI World Index ลักษณะนี้เรียกว่า “กองทุนแบบติดตามดัชนี” (Index Fund) ซึ่งต่างจากกองทุน Active ที่ใช้ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้นรายตัว จุดเด่นของ Passive fund อยู่ที่ต้นทุนค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า และมีความโปร่งใสสูง เพราะนักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้จากการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยตรง
Passive fund คือ แนวทางลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพราะงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า กองทุน Active ส่วนใหญ่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนีตลาดในระยะยาว หลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว นักลงทุนจึงเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ “ซื้อและถือ” ผ่านกองทุนติดตามดัชนี เพื่อรับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม โดยไม่ต้องอาศัยการคาดเดาจังหวะตลาดที่มักมีความไม่แน่นอนสูง
ดังนั้น Passive fund จึงเป็นกองทุนที่อาศัยระบบบริหารจัดการอัตโนมัติเป็นหัวใจสำคัญ ใช้อัลกอริธึมทางการเงินช่วยปรับพอร์ตให้อยู่ในสัดส่วนเดียวกับดัชนีอ้างอิง ทำให้ไม่ต้องมีการตัดสินใจซื้อขายรายวันเหมือน Active fund กลไกนี้ช่วยลด “อารมณ์ของมนุษย์” ในการลงทุน และส่งผลให้ผลตอบแทนของผู้ถือหน่วยลงทุนใกล้เคียงกับตลาดจริงในระยะยาว
โปร่งใสในการลงทุน: นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้ว่ากองทุนถือสินทรัพย์ใดอยู่บ้าง เพราะพอร์ตถูกเปิดเผยตามดัชนีอ้างอิง
ลดอิทธิพลของอารมณ์มนุษย์: การตัดสินใจซื้อ–ขายอัตโนมัติช่วยลดความเสี่ยงจาก “พฤติกรรมเก็งกำไร”
มีประสิทธิภาพด้านภาษี (Tax Efficiency): เนื่องจากการซื้อขายภายในกองทุนเกิดขึ้นน้อย จึงเกิดภาระภาษีน้อยกว่ากองทุน Active
เหมาะกับการสร้างพอร์ตระยะยาว: Passive fund ช่วยให้นักลงทุนทยอยลงทุนแบบสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging) ได้ง่าย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด
เป็นฐานของกลยุทธ์ Asset Allocation: นักลงทุนสถาบันทั่วโลกใช้ Passive fund เป็น “แกนกลางของพอร์ต” เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนโดยรวม

การเปรียบเทียบระหว่าง Passive fund และ Active fund เป็นประเด็นคลาสสิกในวงการลงทุน เพราะทั้งสองแนวทางมีข้อดีและข้อจำกัดที่ต่างกันชัดเจน
โดย Active fund หรือ “กองทุนบริหารเชิงรุก” ใช้ผู้จัดการกองทุนวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด จุดแข็งคือมีโอกาส “ชนะตลาด” หากผู้จัดการมีความสามารถสูง แต่ก็แลกมาด้วยค่าธรรมเนียมและค่าบริหารที่มากกว่า บวกกับความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดของมนุษย์
ในทางกลับกัน Passive fund มุ่งเน้น “การเดินตามตลาด” ไม่พยายามคาดการณ์หรือเอาชนะมัน ผลตอบแทนจึงมักใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เช่น ถ้าดัชนี SET50 ขึ้น 10% ผลตอบแทนของกองทุนก็จะอยู่ราว ๆ ใกล้เคียงกัน จุดแข็งคือความเรียบง่าย ต้นทุนต่ำ และประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ในระยะยาว
หลายงานวิจัย เช่นรายงานจาก Morningstar และ SPIVA (S&P Indices Versus Active) พบว่า กองทุน Active ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำผลงานเหนือกว่าดัชนีได้ในช่วง 5-10 ปีหลัง จึงไม่น่าแปลกที่นักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จะหันมาถือครองกองทุน Passive เป็นสัดส่วนหลักในพอร์ตการลงทุน

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการขยายพอร์ตออกสู่ตลาดโลก กองทุน Passive fund ต่างประเทศ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าถึงการเติบโตของเศรษฐกิจชั้นนำได้โดยไม่ต้องลงทุนโดยตรงในหุ้นต่างประเทศ ปัจจุบันกองทุนเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน เพราะมีโครงสร้างที่โปร่งใส ต้นทุนต่ำ และกระจายความเสี่ยงได้กว้างกว่าในประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่ติดตามดัชนีใหญ่ระดับโลกอย่าง S&P 500 หรือ MSCI World ซึ่งรวมบริษัทชั้นนำทั่วโลกไว้ในพอร์ตเดียว
กองทุนกลุ่มนี้ถือเป็นหัวใจของตลาด Passive ทั่วโลก เช่น Vanguard 500 Index Fund (VFIAX) และ SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) ที่ติดตามดัชนี S&P 500 อย่างใกล้ชิด ซึ่งประกอบด้วยบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมรายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และ NVIDIA จุดเด่นคือมีสภาพคล่องสูง ค่าใช้จ่ายบริหารต่ำกว่า 0.1% ต่อปี และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งที่สุดในโลก
นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในหลายภูมิภาคมักเลือกกองทุนที่อิงดัชนี MSCI World Index หรือ FTSE All-World Index ซึ่งครอบคลุมกว่า 20–40 ประเทศทั่วโลก ตัวอย่างเช่น iShares MSCI World ETF (URTH) และ Vanguard Total World Stock ETF (VT) กองทุนเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงหุ้นกว่า 3,000 บริษัททั่วโลกในพอร์ตเดียว ตั้งแต่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีในสหรัฐฯ ไปจนถึงผู้นำอุตสาหกรรมในยุโรปและเอเชีย
นอกจากตลาดหุ้นแล้ว Passive fund ยังขยายไปยังสินทรัพย์ตราสารหนี้ เช่น iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG) ที่ติดตามดัชนีพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนคุณภาพสูงในสหรัฐฯ และ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO) ที่กระจายการลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย และบราซิล ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เหมาะกับผู้ต้องการสมดุลระหว่างความมั่นคงและศักยภาพผลตอบแทน

A: Passive fund และ ETF มีหลักการลงทุนคล้ายกัน คือการติดตามดัชนีอ้างอิง แต่ ETF ซื้อขายได้แบบหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตลอดวัน ขณะที่ Passive fund ทั่วไปจะซื้อขายได้วันละครั้งตามมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV)
A: โดยทั่วไป Passive fund ที่อิงตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในระยะยาว แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาด ควรลงทุนด้วยเงินเย็นและถือระยะยาวอย่างน้อย 3–5 ปี
A: ปัจจุบันหลายบลจ.เปิดให้ลงทุนเริ่มต้นเพียง 500–1,000 บาท เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทดลองสร้างพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
Passive fund คือกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนตามตลาด ไม่ใช่เหนือกว่าตลาด จุดแข็งของมันอยู่ที่ “วินัย” และ “ต้นทุนต่ำ” มากกว่าความพยายามคาดการณ์อนาคต แม้จะไม่มีความหวือหวาเหมือน Active fund แต่สถิติระยะยาวได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ที่ถือ Passive fund อย่างต่อเนื่องมักมีผลตอบแทนไม่แพ้นักลงทุนมืออาชีพ
ในแง่ระบบการเงินโลก การเติบโตของ Passive fund ยังมีผลกระทบในเชิงโครงสร้าง เพราะช่วยให้เงินลงทุนกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ไม่กระจุกอยู่เพียงไม่กี่หุ้นใหญ่ อีกทั้งยังส่งเสริมประสิทธิภาพของตลาดทุนผ่านกลไกอัตโนมัติที่อิงข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดเดาเชิงอารมณ์
ท้ายที่สุด กองทุน Passive ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่มองหาความมั่นคง โปร่งใส และการลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทุกวัน มันคือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ยุคข้อมูลอย่างแท้จริง
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ