简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เทรดเงิน (Silver) ปี 2025 โอกาสทำกำไรหรือสัญญาณพักตัว?

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-13


ราคาเงิน (Silver) ได้พุ่งทะลุระดับ 51 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปี 2025 จากแรงหนุนของความต้องการอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง การไหลเข้าของกองทุน ETF และปัจจัยมหภาคเชิงบวก

ราคาของเงินในช่วงเดือนที่ผ่านมา


กระแสขาขึ้นนี้จะยั่งยืนหรือไม่? หรือว่าตลาดกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุด?


แม้โมเมนตัมอาจยังคงอยู่ในระยะสั้น แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง การอ่อนแรงทางเทคนิค และปัจจัยมหภาค บ่งชี้ว่าราคากำลังเข้าใกล้จุดพีค เทรดเดอร์ควรจับตาระดับสำคัญอย่างใกล้ชิด


บทความนี้จะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา สถานการณ์อุปสงค์-อุปทาน รูปแบบทางเทคนิค กลยุทธ์การเทรด และความเสี่ยง เพื่อช่วยคุณตัดสินใจอย่างมั่นใจในตลาดเงินปี 2025


ภาพรวมตลาด: สถานะของเงินในปี 2025

สถานะของเงิน


เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาด นี่คือจุดที่โลหะเงินยืนอยู่ในตอนนี้:

ตัวชี้วัด ค่าล่าสุด / การสังเกต ที่มา / หมายเหตุ
ราคาสปอต ประมาณ 51.52 ดอลลาร์/ออนซ์ (ณ 13 ต.ค. 2025) ราคาเพิ่มขึ้นราว 2% ในวันเดียว จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
การไหลเข้าของ ETF / ETP (ครึ่งแรกปี 2025) 95 ล้านออนซ์สุทธิ ตัวเลขนี้เพียงครึ่งปีเกินยอดทั้งปี 2024
การถือครองรวมของ ETF ประมาณ 1.13 พันล้านออนซ์ ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดือนก.พ. 2021 เพียง ~7% (1.21 พันล้านออนซ์)
มูลค่าการถือครอง ETF เกิน 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลางปี 2025 ได้แรงหนุนจากราคาที่สูงขึ้น
ความไม่สมดุลของอุปทาน/อุปสงค์ ขาดดุลต่อเนื่อง ความต้องการอุตสาหกรรมสูงกว่าการเติบโตของอุปทาน สถาบัน Silver Institute และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าปี 2025 ยังอยู่ในภาวะขาดแคลนเชิงโครงสร้าง
ประมาณการนักวิเคราะห์ HSBC ปรับคาดการณ์เฉลี่ยปี 2025 เป็น 38.56 ดอลลาร์/ออนซ์ ช่วงเทรดที่ 45–53 ดอลลาร์ สะท้อนถึงราคาทองคำที่แข็งค่า กระแสเงินปลอดภัย และความผันผวนที่สูงขึ้น


การตีความ:

เงินได้ผ่านพ้นช่วง "พยายามฝ่าแนวต้าน" ไปแล้ว สิ่งที่เคยเป็นแนวต้านสำคัญบริเวณ 35 ดอลลาร์ บัดนี้กลายเป็นเพียง “อดีตทางเทคนิค” เรากำลังอยู่ในช่วงที่ แรงสะสม การจัดสรรสินทรัพย์ และอุปสงค์เชิงโครงสร้าง แข่งขันกับ ความเสี่ยงทางมหภาคที่ผันผวน


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไหลเข้าของ ETF กว่า 95 ล้านออนซ์ในเวลาเพียงหกเดือน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างความต้องการ ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปทานของโลหะเงินที่แทบไม่มีส่วนเกินเหลือในตลาด


ทำไมต้องเทรดเงินในปี 2025? แรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลัง

การพุ่งขึ้นของราคาเงินในปี 2025

หากต้องการเทรดเงินอย่างชาญฉลาด คุณต้องเข้าใจแรงขับเคลื่อนเชิงลึก ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของราคาเพียงอย่างเดียว


1) ความต้องการอุตสาหกรรม: เครื่องยนต์ของ “การใช้จริง”

เงินไม่ใช่แค่โลหะมีค่าหรือสื่อเก็บมูลค่าเท่านั้น ส่วนใหญ่ของความต้องการมาจากภาคอุตสาหกรรม เช่น แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaics) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เซนเซอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่น ๆ


มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการอุตสาหกรรมในปี 2025 อาจเกิน 700 ล้านออนซ์ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อปริมาณสำรองในตลาด


เมื่ออุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงขยายตัวมากขึ้น การใช้เงินต่อหน่วยของผลผลิตทางเศรษฐกิจ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


2) ความต้องการเพื่อการลงทุนและพลวัตของ ETF

การไหลเข้าของ กองทุน ETF เงินกว่า 95 ล้านออนซ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ไม่ใช่เรื่องเล็ก มันเปลี่ยน “เส้นอุปสงค์” ของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ


ปัจจุบันการถือครองรวมของ ETF อยู่ที่ประมาณ 1.13 พันล้านออนซ์ ใกล้ระดับสูงสุดในอดีต


ในอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริโภคเงินรายใหญ่ของโลก ราคาพรีเมียมของ ETF เงินในประเทศพุ่งสูงขึ้น เนื่องจาก อุปทานที่ตึงตัวและความต้องการที่แข็งแกร่ง


เนื่องจากความต้องการจาก ETF เป็น “ความต้องการเชิงกระดาษ (Paper Demand)” จึงแข่งขันโดยตรงกับความต้องการใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อแย่งชิงโลหะที่มีจำกัด โดยเฉพาะในช่วงที่ปริมาณสินค้าคงคลังในตลาดลดลง


3) ความเฉื่อยของอุปทานและข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง

อุปทานของเงินมีความยืดหยุ่นต่ำ (Inelastic) เหมืองเงินส่วนใหญ่เป็นเหมืองผลพลอยได้ (By-product mining) ซึ่งได้มาจากการขุดโลหะพื้นฐานอื่น ๆ เช่น ทองแดง ตะกั่ว หรือสังกะสี ดังนั้น การผลิตเงินจึงขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของโลหะพื้นฐานมากกว่าราคาของเงินเอง


แม้ก่อนปี 2025 ปริมาณการผลิตทั่วโลกก็เติบโตได้เพียงเล็กน้อย และการเพิ่มกำลังผลิตมักเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ


แม้ว่าจะมีสต็อกเงินที่อยู่เหนือพื้นดิน (Above-ground inventory) และการรีไซเคิลช่วยบรรเทาความขาดแคลนบ้าง แต่เมื่อความต้องการทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุนเพิ่มขึ้นพร้อมกัน การแข่งขันเพื่อแย่งชิงโลหะก็รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


4) ปัจจัยมหภาคและการเปลี่ยนแปลงของกระแสความเชื่อมั่น

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แนวโน้มขาลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการผ่อนปรนทางการเงินทั่วโลก ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนดอกเบี้ย เช่น เงินและทองคำ


ในภาวะที่เกิด ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลก นักลงทุนมักหันไปถือ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่างเงินมากขึ้น


นอกจากนี้ พฤติกรรม ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) ก็มีบทบาทสำคัญ เมื่อสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับเงินตราเริ่มสั่นคลอน นักลงทุนจึงหันมาถือโลหะมีค่าแทน


โดยสรุป การเทรดเงินในปี 2025 ไม่ใช่แค่การขี่กระแสโมเมนตัม แต่คือการเข้าร่วมใน “ระบอบใหม่” ที่ซึ่ง ความต้องการใช้จริง อุปทานที่จำกัด และกระแสเงินลงทุนทางการเงิน กำลังชนกันอย่างรุนแรง สร้างโอกาสครั้งใหญ่และความเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด


ภาพรวมทางเทคนิค: รูปแบบ ระดับราคา และโครงสร้างแนวโน้ม

การเปรียบเทียบราคาเงินกับราคาทองในช่วงเดือนที่ผ่านมา

การจะเทรดเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอ่านกราฟอย่างเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ และนี่คือภาพรวมของตลาดในปี 2025


1) แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาด

  • การทะลุเหนือระดับ 35 ดอลลาร์ ได้กลายเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้ตลาดเงินได้เข้าสู่ ช่วงการเทรดในระดับที่สูงกว่าเดิม โดยแนวต้านเดิมกำลังกลายเป็นแนวรับใหม่ที่สำคัญ

  • ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (50, 100, 200 วัน) มีแนวโน้มจัดเรียงในทิศทางขาขึ้น แสดงถึงโมเมนตัมระยะกลางถึงยาวที่ยังแข็งแรง (แต่เทรดเดอร์ควรตรวจสอบกราฟปัจจุบันเพื่อยืนยัน)

  • ขณะที่เครื่องมือวัดโมเมนตัม อย่าง RSI และ MACD อาจยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก (Bullish Bias) แต่ก็มักจะเตือนถึง ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และ ความเสี่ยงในการกลับตัวของราคา (Reversion Risk) เช่นกัน


2) ระดับราคาหลักที่ควรจับตา

  • แนวรับสำคัญ: 48 ดอลลาร์ (จุดต่ำสุดของการรวมตัวล่าสุด) 45 ดอลลาร์ (การสนับสนุนทางจิตวิทยาและโครงสร้างก่อนหน้า)

  • แนวต้าน / โซนเป้าหมาย: 55 ดอลลาร์ จากนั้น 60+ ดอลลาร์ หากโมเมนตัมยังคงดำเนินต่อไป

  • กราฟราคายังอาจแสดง “โซนรีเทสต์ (Retest Zones)”, “ช่องว่างปริมาณการซื้อขาย (Volume Gaps)”, หรือ “จุดอุปทานเดิม (Supply Vertices)” ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคามักมีปฏิกิริยาอย่างมีนัยสำคัญ


3) ปริมาณการซื้อขายและสัญญาณยืนยัน

  • การเบรกเอาท์ที่แท้จริง (True Breakout) ไม่ได้วัดจากราคาที่ทะลุแนวต้านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการขยายตัวของปริมาณการซื้อขาย (Volume Expansion) ประกอบด้วย

  • การปิดแท่งรายสัปดาห์เหนือแนวต้าน มีความหมายมากกว่าเพียงการทะลุชั่วคราวระหว่างวัน

  • หากเกิด Divergence เช่น ปริมาณการซื้อขายลดลงขณะราคายังขึ้นต่อ หรือเกิด Bearish Divergence ใน MACD  ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจกำลัง เข้าสู่ภาวะอ่อนแรงหรือหมดแรงซื้อ (Exhaustion)


กลยุทธ์การวางตำแหน่งของเทรดเดอร์ในปี 2025

กองเหรียญและแท่งเงินที่สะท้อนกระแสลงทุนทั่วโลก

นี่คือวิธีที่นักลงทุนและผู้เล่นในตลาดจัดโครงสร้างการถือครองและการเข้าร่วมตลาดเงิน ในปี 2025


1) กลยุทธ์ “Core + Satellite”

  • นักลงทุนระยะยาวจำนวนมากถือเงินในรูปแบบหลัก (Core Exposure) เช่น เงินแท่ง (Bullion) เหรียญเงิน หรือบัญชีฝากเก็บในคลัง (Vaulted Storage) เพื่อเป็นฐานของพอร์ตระยะยาว


  • ส่วนสัดส่วนเสริม (Satellite Allocation) จะถูกหมุนเวียนผ่าน ETF, สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือ ออปชัน (Options) เพื่อจับจังหวะการเคลื่อนไหวในระยะสั้นและสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม


2) ตลาดฟิวเจอร์สและเลเวอเรจ

  • ตลาดฟิวเจอร์ส โดยเฉพาะ COMEX ยังคงเป็นเวทีหลักสำหรับการเปิดรับความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยง และการเดิมพันทิศทางระยะสั้น


  • นักลงทุนสถาบันและนักเก็งกำไรรายใหญ่ เพิ่มสถานะ Long สุทธิในระดับสูงสุดของปี 2025 เพื่อใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมขาขึ้น


3) การใช้กลยุทธ์ออปชันและการเล่นกับความผันผวน

  • ผู้เข้าร่วมตลาดใช้ กลยุทธ์ออปชัน เช่น Straddle, Strangle, หรือ Spread มากขึ้น โดยเฉพาะรอบเหตุการณ์มหภาค เช่น ประกาศของเฟด ข้อมูลเงินเฟ้อ แรงกระแทกทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อแสวงหากำไรจากความผันผวน


  • อย่างไรก็ตาม ค่า Implied Volatility ที่สูงขึ้น ทำให้ค่า Premium ของออปชันแพงขึ้น ส่งผลให้ต้องอาศัย จังหวะเวลาและการบริหารความเสี่ยงที่แม่นยำยิ่งขึ้น


4) หุ้นเหมืองและบริษัทสตรีมมิ่ง

  • หุ้นของ บริษัทเหมืองเงิน (Silver Mining Stocks) หรือ บริษัท Royalty/Streaming มอบการเข้าถึงตลาดเงินในเชิง “เลเวอเรจ”  กล่าวคือ ราคาหุ้นมักเคลื่อนไหวแรงกว่าราคาเงินจริง แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน ความเสี่ยงทางธรณีวิทยา ความเสี่ยงด้านประเทศ


  • เครื่องมือเหล่านี้มีความผันผวนสูงและต้องการการวิเคราะห์เฉพาะตัว แยกจากปัจจัยราคาของเงินโดยตรง


5) ความแตกต่างตามภูมิภาคและตลาดท้องถิ่น

  • ในบางประเทศ เช่น อินเดีย ราคาพรีเมียมของ เงินจริงหรือ ETF ภายในประเทศ มักแตกต่างจากราคาสปอตโลก เนื่องจากข้อจำกัดด้านอุปทานและความต้องการในประเทศ


  • ปัจจัยเช่น ภาษีท้องถิ่น การควบคุมเงินทุน หรือข้อจำกัดการนำเข้า ล้วนมีผลต่อความสามารถในการเทรดเงินในแต่ละตลาด


ฉากทัศน์ราคาและแนวโน้มล่วงหน้า (3–12 เดือนข้างหน้า)


ต่อไปนี้เป็นเส้นทางราคาที่เป็นไปได้และสิ่งที่จะขับเคลื่อนเส้นทางเหล่านั้น:

สถานการณ์ ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ช่วงราคาประเมิน (ดอลลาร์/ออนซ์)
ขาขึ้น (Bullish Case) การไหลเข้าของ ETF ที่แข็งแกร่ง, ท่าทีผ่อนคลายของ Fed, ดอลลาร์อ่อนค่า, ความต้องการอุตสาหกรรมเร่งตัว 55 – 70 +
ฐาน / การสะสมตัว (Base / Consolidation) ปัจจัยมหภาคผสมกัน, การขายทำกำไร, การไหลเข้าของ ETF ชะลอตัวแต่ยังมีดีมานด์รองรับ 48 – 55 
ขาลง / การปรับฐาน (Downside / Correction) ดอลลาร์แข็งค่า, อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงสูงขึ้น, การกลับทิศของความเชื่อมั่นตลาด 40 – 48 


นักวิเคราะห์จาก HSBC คาดว่า ราคาเฉลี่ยของเงินในปี 2025 จะอยู่ราว 38.56 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีช่วงการเทรดประมาณ 45–53 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่า แรงขาขึ้นที่เหลืออยู่อาจเกิดขึ้นเป็นระยะหรือแบบสั้น ๆ (Spikes) มากกว่าการขึ้นแบบต่อเนื่องในเส้นตรง


ความเสี่ยงและข้อควรระวังที่เทรดเดอร์เงินทุกคนต้องรู้

ความเสี่ยงและข้อควรระวังที่เทรดเดอร์เงินทุกคนต้องรู้

ไม่ว่าจะมีมุมมองเชิงบวกต่อเงินมากแค่ไหน ตลาดก็ยังมีความเสี่ยงจริง ที่สามารถทำลายสมมติฐานของการเทรดได้ทุกเมื่อ


1) ผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) และการเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ย

หากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวสูงขึ้น หรือธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กลับมามีท่าที “เข้มงวด” (Hawkish) สินทรัพย์ที่ไม่มีดอกผลอย่างเงินจะสูญเสียความน่าสนใจทันที


2) การฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อดอลลาร์แข็งค่า มักส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ้างอิงด้วยดอลลาร์ (รวมถึงเงิน) ถูกกดดันให้ลดลง


3) การไหลออกของเงินจาก ETF / การกลับทิศของความเชื่อมั่น

หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนพลิกกลับ การเทขายจาก กองทุน ETF เงิน (Silver ETFs) ในปริมาณมาก อาจทำให้แรงหนุนด้านดีมานด์ที่เคยขับเคลื่อนราคาขึ้นหายไปอย่างรวดเร็ว


4) ภาวะช็อกด้านอุปสงค์อุตสาหกรรม

หากเกิดการชะลอตัวของภาคอิเล็กทรอนิกส์ ความล่าช้าในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ หรือการหยุดชะงักของภาคการผลิต อาจทำให้แรงขับเคลื่อนการบริโภคเงินจริงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ


5) ความประหลาดใจจากอุปทาน

หากมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณการรีไซเคิล การค้นพบเหมืองใหม่ หรือการคลี่คลายปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน อาจช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวของตลาด และกดดันราคาลง


6) การหมดแรงทางเทคนิค (Technical Exhaustion)

หลังจากราคาพุ่งแรง ตลาดมักเข้าสู่ช่วง “พักฐาน” หรือ “ปรับฐานแรง” ได้ง่าย ดังนั้น การจัดการขนาดสัญญา (Position Sizing) และ การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างมีวินัยจึงจำเป็นอย่างยิ่ง


7) ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ / ภาษี / ตลาดท้องถิ่น

ในบางเขตอำนาจศาล กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเทรดโลหะมีค่า การไหลของเงินทุน หรือการเก็บภาษี ซึ่งอาจเปลี่ยน “โอกาสที่ดีทางเทคนิค” ให้กลายเป็น “อุปสรรคด้านการดำเนินการ” ได้


บทสรุป: บทสรุป: เทรดเงินอย่างมีวินัยในปี 2025


ปี 2025 ไม่ใช่ปีธรรมดาสำหรับตลาดเงิน แต่มันคือปีที่ ความต้องการเชิงโครงสร้าง อุปทานที่จำกัด และกระแสเงินลงทุนทางการเงิน มาปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งหมายความว่า ตลาดปีนี้มอบทั้ง โอกาสมหาศาล และ ความเสี่ยงที่รุนแรงไม่แพ้กัน


พื่อรับมือกับตลาดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามหลักต่อไปนี้:

  • ใช้ “สัญญาณยืนยัน” ในการเข้าเทรด เช่น การเบรกเอาท์พร้อมปริมาณซื้อขายสูง

  • ใช้กฎควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด เช่น จุดตัดขาดทุนและการจำกัดขนาดสัญญา

  • ติดตามตัวชี้วัดมหภาค เช่น นโยบายของ Fed ผลตอบแทนที่แท้จริง และค่าเงินดอลลาร์

  • เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของกระแสความเชื่อมั่นหรือตลาดเงินไหลออกจาก ETF

  • ผสมผสานกลยุทธ์ เช่น Momentum, Range Trading หรือ Relative Trades แทนที่จะพึ่งวิธีเดียว


หากแรงโมเมนตัมยังดำเนินต่อไป เงินอาจทดสอบระดับราคา 60 ดอลลาร์หรือสูงกว่า แต่หากปัจจัยมหภาคกลับทิศ ตลาดก็อาจปรับฐานแรงได้ในพริบตา ดังนั้น วินัย กลยุทธ์ที่มีเหตุผล และการอ่านพื้นฐานควบคู่กับเทคนิคอย่างชัดเจน คือหัวใจของการเทรดเงินอย่างชาญฉลาดในปี 2025


คำถามที่พบบ่อย


Q1: ทำไมราคาเงินถึงพุ่งแรงมากในปี 2025?

เพราะได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความต้องการอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง กระแสเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย การลงทุนผ่าน ETF ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลาง


Q2: ระดับราคาสำคัญที่ควรจับตามีอะไรบ้าง?

  • แนวรับหลัก: 48 และ 45 ดอลลาร์ต่อออนซ์

  • แนวต้านหลัก: 55 และ 60 ดอลลาร์ขึ้นไป

ควรสังเกตสัญญาณการเบรกเอาท์ที่มีปริมาณซื้อขาย (Volume) ยืนยัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของแนวโน้ม


Q3: ควรเทรดเงินผ่านรูปแบบไหน — เงินแท่ง, ETF หรือฟิวเจอร์ส?

  • สำหรับการถือครองระยะยาว (Core Exposure) เหมาะกับเงินแท่งจริงหรือ ETF

  • ส่วนการเก็งกำไรระยะสั้นหรือเทรดแบบมีเลเวอเรจ เหมาะกับสัญญาฟิวเจอร์สหรือออปชัน


Q4: จะบริหารความเสี่ยงในการเทรดเงินได้อย่างไร?

  • ใช้จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

  • เฝ้าติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ย

  • ตรวจสอบกระแสเงินเข้าออกจาก ETF

  • และ กระจายกลยุทธ์เทรด เช่น Momentum, Range หรือ Relative Value เพื่อลดความเสี่ยงจากวิธีเดียว


Q5: เงินยังถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงระยะยาวที่ดีหรือไม่?

ยังถือว่าเป็นได้ โดยเฉพาะในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อสูง หรือมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การถือครองควรอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมและมาพร้อม กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ญี่ปุ่นใช้สกุลเงินอะไร ทำไมนักลงทุนถึงชอบสกุลเงินนี้?
เทรดโลหะมีค่า 2025 พิชิตตลาดด้วยกลยุทธ์มืออาชีพ
เทรดทองคำรายวันให้แม่นยำ ด้วยเครื่องมือและจังหวะตลาด
ทองร่วงต่ำกว่า 4,000 USD หลัง CPI สหรัฐเลื่อนเผยแพร่–เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย
วิธีและช่องทางการซื้อขายโลหะมีค่า