简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ประเภทของหุ้นและแนวทางการเลือกลงทุนอย่างมืออาชีพ

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-08    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-10

ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและความจำเป็นในการมองเห็นอย่างชัดเจน

ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและความจำเป็นในการมองเห็นอย่างชัดเจน

ในปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกกำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนที่สุดในรอบหลายปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มคงที่หลังจากรอบการปรับขึ้นที่ผันผวน ตลาดหุ้นกำลังปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตที่ช้าลงในสหรัฐอเมริกาและยุโรป และเทคโนโลยียังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการไหลของเงินทุน


ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ การเข้าใจประเภทของหุ้นไม่ใช่เพียงการศึกษาเชิงทฤษฎี แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุลและมีความยืดหยุ่น


หุ้นแต่ละประเภทมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันเมื่อเผชิญกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง หุ้นเติบโตอาจทำผลงานได้ดีในช่วงขยายตัว ขณะที่หุ้นป้องกันความเสี่ยงหรือหุ้นที่จ่ายปันผลสามารถสร้างความมั่นคงเมื่อตลาดชะลอตัว


การตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด บริหารจัดการความเสี่ยง และปรับการถือครองหุ้นแต่ละตัวให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวได้อย่างเหมาะสม


การจำแนกตามประเภทของหุ้น (ความเป็นเจ้าของและสิทธิ)

การจำแนกตามประเภทของหุ้น

1) หุ้นสามัญ

  • เป็นการถือหุ้นพื้นฐานในบริษัท

  • โดยปกติผู้ถือหุ้นมักมีสิทธิ์ออกเสียงและอาจได้รับปันผล

  • ในการชำระบัญชี จะได้รับเงินหลังเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์


ตัวอย่าง: Apple Inc. — ผู้ถือหุ้นสามัญได้รับประโยชน์จากการเติบโตของมูลค่าหุ้นและปันผล แต่มีสิทธิ์เรียกร้องเงินส่วนที่เหลือ


2) หุ้นบุริมสิทธิ์

  • มักให้ปันผลคงที่และมีสิทธิ์ก่อนหุ้นสามัญในการจ่ายเงิน

  • โดยปกติไม่สามารถออกเสียงได้ แต่สร้างรายได้ที่มั่นคงกว่า

  • อาจมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น หุ้นบุริมสิทธิ์สะสม, แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้, หรือเรียกคืนได้


ตัวอย่าง: Bank of America ออกหุ้นบุริมสิทธิ์ที่เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นรายได้และความมั่นคง


3) หุ้นสองชั้นและหุ้นติดตาม

  • บางบริษัทออกหุ้นหลายประเภทที่มีสิทธิ์ออกเสียงไม่เท่ากัน (เช่น Class A และ Class B)

  • หุ้นติดตามสะท้อนผลการดำเนินงานของแผนกหรือหน่วยงานเฉพาะภายในบริษัท


ตัวอย่าง: Alphabet Inc. (GOOG และ GOOGL) ใช้หุ้นสองชั้นเพื่อให้ผู้ก่อตั้งยังคงควบคุมบริษัท


การจำแนกตามรูปแบบการลงทุนหรือกลยุทธ์

Stock Classification by Market Capitalisation

1) หุ้นเติบโต (Growth Stocks)

  • บริษัทที่มีศักยภาพกำไรสูงและมีอัตราการลงทุนซ้ำสูง

  • โดยทั่วไปจะซื้อขายที่มูลค่าที่สูงกว่า เนื่องจากความคาดหวังการเติบโตในอนาคต

  • เงินปันผลน้อย มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าหุ้น


ตัวอย่าง: NVIDIA และ Tesla เป็นหุ้นเติบโตหลักที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมและการขยายตลาด


2) หุ้นมูลค่า (Value Stocks)

  • หุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินว่าแท้จริง มักใช้สัดส่วนพื้นฐาน เช่น P/E หรือ P/B

  • เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาหุ้นราคาถูกหรือมีศักยภาพฟื้นตัวในระยะยาว


ตัวอย่าง: JPMorgan Chase และ Shell plc มักถูกมองว่าเป็นหุ้นแนวมูลค่า


3) หุ้นรายได้ (Income / Dividend Stocks)

  • จ่ายปันผลสม่ำเสมอ มักมาจากบริษัทที่มั่นคงและมีการเงินแข็งแรง

  • เหมาะกับนักลงทุนระมัดระวังหรือนักลงทุนเกษียณที่ให้ความสำคัญกับกระแสเงินสด


ตัวอย่าง: Unilever และ Procter & Gamble เป็นหุ้นรายได้คลาสสิกที่มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง


4) หุ้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจ vs หุ้นป้องกันความเสี่ยง

  • หุ้นตามวัฏจักร: กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ (เช่น อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค, อุตสาหกรรมหนัก)

ตัวอย่าง: Toyota Motor Corporation มียอดขายสูงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว


  • หุ้นป้องกันความเสี่ยง: มั่นคงแม้ตลาดตกต่ำ (เช่น สุขภาพ, สาธารณูปโภค, สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน)

ตัวอย่าง: Johnson & Johnson รักษารายได้คงที่ไม่ขึ้นกับรอบเศรษฐกิจ


5) หุ้นผสม / หุ้นหลัก (Blend / Core Stocks)

  • แสดงลักษณะทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นมูลค่า

  • มักถือเป็นหุ้นสมดุลในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย


ตัวอย่าง: Microsoft ผสมผสานความสามารถทำกำไรสม่ำเสมอกับโอกาสเติบโต


6) หุ้นฟื้นตัวหรือสถานการณ์พิเศษ (Turnaround / Special Situation Stocks)

  • บริษัทที่กำลังฟื้นตัวจากผลประกอบการต่ำหรือปรับโครงสร้าง

  • มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูงได้


ตัวอย่าง: General Electric ผ่านช่วงฟื้นตัวหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


7) หุ้นราคาต่ำ / เก็งกำไร (Penny / Speculative Stocks)

  • หุ้นราคาต่ำและซื้อขายบางครั้ง มักต่ำกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ

  • มีความผันผวนและความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะกับนักลงทุนระมัดระวัง


8) หุ้น ESG หรือหุ้นยั่งยืน (ESG / Sustainable Stocks)

  • เลือกตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

  • เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสอดคล้องเป้าหมายทางการเงินกับค่านิยมทางจริยธรรม



ตัวอย่าง: Ørsted A/S (พลังงานหมุนเวียน) และ NextEra Energy เป็นหุ้นแนว ESG


การจำแนกตามมูลค่าตามราคาตลาด (ขนาดบริษัท)

ประเภทหุ้นตามมูลค่าตามราคาตลาด
หมวดหมู่ มูลค่าตลาดโดยทั่วไป (USD) ลักษณะเฉพาะ ตัวอย่างบริษัท
Mega-cap มากกว่า 300 พันล้าน ผู้นำระดับโลก ความมั่นคงสูง Apple, Microsoft
Large-cap 10–300 พันล้าน ธุรกิจที่เติบโตเต็มที่และหลากหลาย Nestlé, Toyota
Mid-cap 2–10 พันล้าน การเติบโตและความยืดหยุ่นที่สมดุล Lululemon, Spotify
Small-cap 300 ล้าน–2 พันล้าน คล่องตัว มีศักยภาพเติบโตสูง ZoomInfo, Revolve Group
Micro/Nano-cap ต่ำกว่า 300 ล้าน เก็งกำไร สภาพคล่องต่ำ บริษัทจดทะเบียน OTC


ข้อมูลเชิงลึก: หุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap) ครองพอร์ตของสถาบันเนื่องจากสภาพคล่องสูงและผลตอบแทนคาดเดาได้ ขณะที่หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางมักทำผลงานได้ดีในช่วงเริ่มฟื้นตัวของตลาด


การบรรจบกันระหว่างสไตล์และขนาด

นักลงทุนมักผสมผสานสไตล์ (เติบโต, มูลค่า, ผสม) กับขนาดหุ้น (เล็ก, กลาง, ใหญ่) เพื่อกำหนดโปรไฟล์ความเสี่ยง-ผลตอบแทนของพอร์ต


  • หุ้นขนาดเล็ก-เติบโต (เช่น เทคโนโลยีเริ่มต้น) อาจให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความผันผวนมาก

  • หุ้นขนาดใหญ่-มูลค่า (เช่น ธนาคารหรือสาธารณูปโภคที่มั่นคง) มอบความมั่นคงพร้อมผลตอบแทนปานกลาง


พอร์ตการลงทุนที่สมดุลมักมีการกระจายการถือครองในหลายประเภท


หมวดหมู่การลงทุนตามหน้าที่


หุ้นบลูชิพ (Blue-Chip Stocks)

  • ผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีประวัติผลกำไรและเงินปันผลยาวนาน

ตัวอย่าง: Coca-Cola, Johnson & Johnson, Toyota


หุ้นโมเมนตัม (Momentum Stocks)

  • ขับเคลื่อนโดยแนวโน้มราคาที่แข็งแกร่งมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน

ตัวอย่าง: NVIDIA และ Meta Platforms ในช่วงราคาขึ้นแรง


หุ้นป้องกันความเสี่ยง (Defensive Sectors)

  • หุ้นในอุตสาหกรรมสุขภาพ สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ช่วยรักษาทุนในช่วงตลาดตกต่ำ


การเปรียบเทียบประเภทหุ้นหลักและโปรไฟล์การลงทุน
ประเภทหุ้น จุดเน้นหลัก ระดับความเสี่ยง ศักยภาพในการสร้างรายได้ เหมาะสำหรับ ตัวอย่าง
หุ้นเติบโต (Growth) การเพิ่มมูลค่าหุ้น สูง ต่ำ นักลงทุนระยะยาวที่มองหาการเติบโต NVIDIA, Tesla
หุ้นมูลค่า (Value) โอกาสที่ถูกประเมินราคาต่ำเกินไป ปานกลาง ปานกลาง นักลงทุนเชิงพื้นฐานหรือต่อต้านกระแส JPMorgan, Shell
หุ้นรายได้ / ปันผล (Income / Dividend) การจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ต่ำ–ปานกลาง สูง นักลงทุนเน้นกระแสเงินสด Unilever, P&G
หุ้นตามวัฏจักร (Cyclical) ความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ สูง แปรผัน นักลงทุนจับจังหวะรอบเศรษฐกิจ Toyota, Boeing
หุ้นป้องกันความเสี่ยง (Defensive) ความมั่นคงในช่วงตกต่ำ ต่ำ ปานกลาง พอร์ตระมัดระวัง Johnson & Johnson
หุ้นบลูชิพ (Blue-Chip) คุณภาพและความน่าเชื่อถือ ต่ำ ปานกลาง–สูง การถือครองหุ้นระยะยาวที่สำคัญ Coca-Cola, Toyota
หุ้นราคาต่ำ / เก็งกำไร (Penny / Speculative) การลงทุนความเสี่ยงสูง สูงมาก ต่ำ-ไม่แน่นอน เทรดเดอร์และนักเก็งกำไร บริษัทเทคโนโลยีจดทะเบียน OTC
หุ้น ESG / ยั่งยืน (ESG / Sustainable) ผลกระทบด้านจริยธรรม ปานกลาง ปานกลาง นักลงทุนที่มีความรับผิดชอบ Ørsted, NextEra Energy


ข้อควรพิจารณาเชิงปฏิบัติสำหรับนักลงทุน

  1. การกระจายความเสี่ยง: การกระจายหุ้นในประเภทและภาคส่วนต่างๆ จะช่วยลดความผันผวน

  2. การตระหนักรู้เกี่ยวกับวัฏจักรเศรษฐกิจ: ปรับการเปิดรับความเสี่ยงตามวัฏจักรและการป้องกันให้สอดคล้องกับช่วงเศรษฐกิจมหภาค

  3. การยอมรับความเสี่ยง: หุ้นเติบโตและหุ้นเก็งกำไรเหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงสูง ในขณะที่หุ้นที่มีรายได้และหุ้นป้องกันความเสี่ยงเหมาะกับนักลงทุนที่อนุรักษ์นิยม

  4. ทบทวนพอร์ตเป็นระยะ: บริษัทมีการเปลี่ยนแปลง — หุ้นเติบโตอาจพัฒนาเป็นหุ้นมูลค่าหรือหุ้นรายได้ในอนาคต


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


Q1. หุ้นประเภทไหนดีที่สุดสำหรับมือใหม่?

นักลงทุนมือใหม่มักเลือกหุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap) หรือหุ้นบลูชิพ (Blue-chip) เพราะมีความมั่นคงและมีประวัติผลงานชัดเจน หุ้นเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนใหม่เรียนรู้กลไกตลาดโดยไม่เผชิญความผันผวนสูงเกินไป


Q2. หุ้นเติบโตมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นมูลค่าหรือไม่?

ใช่ หุ้นเติบโตมีราคาสะท้อนศักยภาพในอนาคต ทำให้ไวต่อความรู้สึกตลาดและอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ขณะที่หุ้นมูลค่ามักให้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง


Q3. หุ้นสามารถอยู่ในหลายประเภทได้หรือไม่?

ได้แน่นอน เช่น Microsoft สามารถถือเป็นทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นบลูชิพ การจำแนกประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์วัดและมุมมองของนักลงทุน


Q4. การจ่ายปันผลทำให้หุ้นมีความเสี่ยงน้อยลงหรือไม่?

ไม่เสมอไป แต่หุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอสามารถช่วยบรรเทาผลตอบแทนในช่วงตลาดตกต่ำ และสื่อถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน


Q5. นักลงทุนควรเลือกประเภทหุ้นอย่างไร?

การเลือกขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความสามารถรับความเสี่ยง พอร์ตที่มีโครงสร้างดีมักผสมผสานหลายประเภทหุ้นเพื่อสร้างโอกาสเติบโตพร้อมบริหารความเสี่ยง


บทสรุป


ตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่หลักการพื้นฐานยังชัดเจน: ทุกหุ้นหมายถึงการถือครองในธุรกิจ และการจำแนกประเภทแต่ละแบบสะท้อนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน


สำหรับนักลงทุนในปี 2025 ที่ต้องเผชิญกับตลาดที่ไม่แน่นอน การเข้าใจประเภทหุ้นเหล่านี้คือก้าวแรกสู่การตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลและมีวินัย


ไม่ว่าจุดมุ่งหมายคือ การเติบโตของเงินลงทุน รายได้ที่มั่นคง หรือการรักษาทุนระยะยาว การเข้าใจประเภทของหุ้นช่วยให้นักลงทุนสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแรงและปรับตัวได้ตามวัฏจักรและการเปลี่ยนแปลงของตลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
มือใหม่เล่นหุ้น เทคนิคลงทุน ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่
ข้อดีและข้อเสียของ REIT และแนวทางการคัดเลือก
ขั้นตอนและข้อควรพิจารณาในการเลือกกองทุน
วิธีและช่องทางการซื้อขายโลหะมีค่า
ธุรกิจและการสรรหาบริษัทหลักทรัพย์