เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-02 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-08
นักเทรดบางคนเปรียบเสมือนกะลาสีเดินเรือระยะไกล ค่อย ๆ วางเส้นทางข้ามมหาสมุทร กำหนดเป้าหมายไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้น ขณะที่บางคนก็เหมือนเรือสปีดโบ๊ท ที่ซอกแซกไปตามคลื่น จับโมเมนตัมและเปลี่ยนทิศได้อย่างรวดเร็ว Position Trade คือกลยุทธ์ของกะลาสี ส่วน Swing Trade คือสปีดโบ๊ท แต่ละสไตล์ต่างมีจังหวะ ผลตอบแทน และความเสี่ยงเฉพาะตัว
ในปี 2025 ที่ตลาดเต็มไปด้วยความผันผวนและโอกาสรอบด้าน ทั้งนักเทรดมือใหม่และมือเก๋ามักถามว่า: ควรเลือก Position Trade หรือ Swing Trade ดี? คำตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำฮิตหรือกระแส แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการเทรด เวลาที่คุณสามารถทุ่มเท และระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมั่นใจ บทความนี้จะพาคุณไปเปรียบเทียบ 10 ความแตกต่างหลักระหว่าง Position Trade และ Swing Trade เพื่อให้คุณเลือกเส้นทางที่ใช่ และเทรดได้อย่างมีความชัดเจน”
Position Trade คือสไตล์การเทรดที่นักลงทุนจะถือครองสถานะยาวนาน ตั้งแต่หลายสัปดาห์ หลายเดือน ไปจนถึงหลายปี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจาก แนวโน้มใหญ่ของตลาด (Major Market Trends) มากกว่าความผันผวนระยะสั้น ต่างจาก Day Trade หรือแม้แต่ Swing Trade นักเทรดสาย Position Trade ไม่ค่อยสนใจ “เสียงรบกวน” รายวัน แต่จะโฟกัสที่ ปัจจัยมหภาค (Macro Drivers) เช่น อัตราดอกเบี้ย วงจรอุตสาหกรรม การเติบโตของกำไรบริษัท และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด
กลยุทธ์นี้ต้องอาศัย ความอดทนและความเชื่อมั่นสูง นักเทรด Position อาจเลือกที่จะทนผ่านช่วงการปรับฐานที่แรง ซึ่งปกติแล้ว Swing Trader จะถูก Stop Out ไปก่อน แทนที่จะรีบตอบสนองต่อการย่อตัวระยะสั้น พวกเขาจะมองภาพรวมใหญ่กว่า เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ พื้นฐานบริษัท หรือเหตุการณ์ระดับโลกที่ส่งผลต่อความต้องการในระยะยาว
ตอนนี้เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Position Trade แล้ว มาลองมาดู Swing Trade กันบ้าง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ามันมีบทบาทอย่างไรในโลกของการเทรด
Swing Trade อยู่ตรงกลางของสเปกตรัมการเทรด โดยมักถือครองสถานะเพียงไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เป้าหมายคือเก็บกำไรจาก การแกว่งตัวของราคาในระยะกลาง (Intermediate Swings) ที่เกิดขึ้นภายในแนวโน้มใหญ่ นักเทรด Swing อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) อย่างมาก เช่น แพทเทิร์นกราฟ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อินดิเคเตอร์โมเมนตัม และแนวรับ–แนวต้าน เพื่อหาจังหวะเข้าออกที่เหมาะสม
Swing Trade มีความถี่ในการซื้อขายมากกว่า Position Trade แต่ไม่เร่งรีบเท่า Day Trade จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสทำกำไรบ่อยครั้ง แต่ไม่สามารถนั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา จุดมุ่งหมายคือ การจับกำไรจากการเคลื่อนไหวสั้น ๆ ของตลาด โดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองกับความไม่แน่นอนในระยะยาว
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง Position Trade และ Swing Trade คือระยะเวลาการถือครอง Position Trader มองเป็นเดือนหรือแม้กระทั่งปี ในขณะที่ Swing Trader มองเป็นวันหรือสัปดาห์
สำหรับ Position Trader ระยะเวลาการถือครองอาจครอบคลุมรอบการประกาศผลประกอบการของบริษัท หรือแม้แต่วงจรเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น Position Trader ในปี 2020 ที่เชื่อมั่นในการยอมรับพลังงานสะอาดในระยะยาว อาจถือกองทุนพลังงานสะอาด (Clean Energy ETF) เป็นเวลาหลายปี ยอมทนต่อการปรับฐาน แต่สุดท้ายก็สามารถทำกำไรจากแนวโน้มใหญ่ได้ กรอบเวลาของพวกเขาช่วยให้สามารถจับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้
ในทางตรงกันข้าม Swing Trader จะเป็นลักษณะการเก็งโอกาสมากกว่า พวกเขาอาจเห็นกราฟขาขึ้นและเข้าซื้อเพื่อทำกำไร 10 เปอร์เซ็นต์ภายในสองสัปดาห์ เมื่อถึงเป้าหมายก็ขายออก กรอบเวลาของพวกเขาสั้นเกินกว่าจะสนใจแนวโน้มอุตสาหกรรมในอีกห้าปีข้างหน้า สำหรับพวกเขา สิ่งสำคัญคือการจับคลื่นราคากลาง ๆ ภายในแนวโน้มใหญ่
เนื่องจากกรอบเวลาที่ต่างกัน ความถี่ในการเทรดระหว่าง Position Trade และ Swing Trade จึงแตกต่างกันอย่างมาก Position Trader มักจะเทรดเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี ในขณะที่ Swing Trader เทรดมากกว่ามาก
Position Trader อาจตัดสินใจเพียงสิบกว่าครั้งต่อปี เช่น ซื้อ ถือ หรือขายเมื่อแนวโน้มครบวงจร ความถี่ที่ต่ำช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียมและลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ อีกทั้งยังทำให้ยึดมั่นกับกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ของ Position Trade และ Swing Trade ก็แตกต่างกันเช่นกัน
Position Trader พึ่งพาการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นหลัก พวกเขาอาจประเมินผลประกอบการของบริษัท แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย นโยบายรัฐบาล และการเปลี่ยนแปลงระยะยาวของอุตสาหกรรม กราฟของพวกเขาอาจมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน หรือเส้นแนวโน้มหลายปี แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน
Swing Trader พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) มากกว่า พวกเขาใช้รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) อินดิเคเตอร์อย่าง RSI ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วันหรือ 50 วัน และปริมาณซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวในระยะใกล้ การเทรดของพวกเขาประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจังหวะของจิตวิทยาตลาด ไม่ใช่มูลค่าพื้นฐานของบริษัท
ทั้งสองวิธีนี้ใช้ได้จริง บางคนอาจเลือกใช้แบบผสมผสาน เช่น Position Trader ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกสินทรัพย์ แต่ใช้เทคนิคเพื่อหาจังหวะเข้าออกที่เหมาะสม
ระดับการยอมรับความเสี่ยงที่ต้องใช้ใน Position Trade และ Swing Trade แตกต่างกันอย่างมาก
Position Trader ต้องสามารถรับมือกับการขาดทุนระหว่างทาง (Interim Drawdowns) ได้ ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่หุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นจากปี 2019 ถึง 2023 ราคาหุ้นเคยร่วงลงมากกว่า 30% หลายครั้ง Swing Trader อาจถูก Stop Out ไปแล้ว แต่ Position Trader ยังคงถือครองต่อไปเพื่อจับแนวโน้มระยะยาว ความเสี่ยงคือแนวโน้มใหญ่บางครั้งใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรากฏ และไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้
Swing Trader เผชิญกับความเสี่ยงที่ต่างออกไป การขาดทุนต่อครั้งของพวกเขามักจะเล็กกว่าเพราะมีการตั้ง Stop Loss ที่เข้มงวด แต่การเทรดที่ถี่หมายความว่าพวกเขาอาจสะสมการขาดทุนเล็ก ๆ หลายครั้ง ความท้าทายคือการทำให้กำไรจากการเทรดที่ชนะมากกว่าการขาดทุนที่สะสม
การจัดสรรเงินทุนของ Position Trade และ Swing Trade ก็แตกต่างกันเช่นกัน
Position Trader ต้องผูกเงินทุนไว้ในระยะยาว หากคุณลงทุน $50,000 ใน Position Trade ของหุ้น Amazon คุณอาจไม่ได้แตะต้องเงินก้อนนั้นไปอีกหลายปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมหากคุณมีเงินทุนมากพอ แต่สำหรับบัญชีเล็กอาจเป็นข้อจำกัด Position Trade มักต้องการทั้งความอดทนและเงินทุนที่ใหญ่พอในการรับมือกับความผันผวนโดยไม่ถูกบังคับขาย
Swing Trader หมุนเวียนเงินทุนได้เร็วกว่า พวกเขาอาจใช้ $10,000 เทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองแดงเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นปิดสถานะ ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน แล้วนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น การหมุนเวียนถี่ ๆ ทำให้เงินทุนทำงานได้บ่อยขึ้น แต่ก็ทำให้ค่าธรรมเนียมและภาษีสูงขึ้นเช่นกัน
ความท้าทายทางจิตวิทยาของ Position Trade และ Swing Trade แตกต่างกัน
Position Trader ต้องมีทั้งความอดทนและความเชื่อมั่น ลองจินตนาการถึงการถือหุ้นที่ร่วงลง 20% ในหนึ่งเดือน ขณะที่พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยคำเตือนเศรษฐกิจถดถอย การขายด้วยความตื่นตระหนกจะทำลายกลยุทธ์ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ Position Trader ต้องมุ่งเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานและเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของตัวเอง แม้ตลาดจะผันผวนก็ตาม
Swing Trader กลับเผชิญความท้าทายตรงกันข้าม อันตรายของพวกเขาคือความลังเลใจ เมื่อสัญญาณกราฟบอกให้ขาย พวกเขาต้องทำทันที การรอช้าอาจทำให้กำไรกลายเป็นขาดทุน Swing Trader ต้องเด็ดขาด มีวินัยกับ Stop Loss และไม่ยึดติดทางอารมณ์
กล่าวโดยสรุป Position Trade คือบททดสอบความสามารถในการ “นิ่งรอ” ในระยะยาว ขณะที่ Swing Trade คือบททดสอบความสามารถในการ “ตัดสินใจเร็ว” โดยไม่คิดมากเกินไป
ไม่ใช่ทุกตลาดที่จะเอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองสไตล์เท่ากัน
Position Trade จะได้เปรียบในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) เช่น เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลายปี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ขยับขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น Position Trader สามารถทำกำไรก้อนใหญ่ได้ แต่ในตลาดที่แกว่งตัวไปมาแบบไร้ทิศทาง (Sideways/Choppy Market) Position Trader อาจต้องทนถือ “Dead Money” เป็นเวลานานโดยไม่สร้างผลตอบแทน
Swing Trade ทำงานได้ดีกว่าในตลาดที่มีการแกว่งตัวเป็นช่วง ๆ ที่ชัดเจน เช่น หากดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 4,200–4,600 เป็นเวลาหลายเดือน Swing Trader สามารถเก็งกำไรจากการแกว่งขึ้นลงในกรอบนั้นได้ซ้ำ ๆ แต่เมื่อมีการเบรกขึ้นหรือลงอย่างรุนแรง Swing Trader ก็มีความเสี่ยงที่จะติดอยู่ในฝั่งผิดทาง
ชุดเครื่องมือของ Position Trade และ Swing Trade แตกต่างกัน
Position Trader มักใช้อินดิเคเตอร์ระยะยาว เช่น
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
แพทเทิร์นกราฟหลายปี
การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย
อัตราส่วนการประเมินมูลค่า เช่น P/E, P/B หรือผลตอบแทนจากเงินปันผล
Swing Trader มักใช้อินดิเคเตอร์ระยะสั้น เช่น
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วันหรือ 50 วัน
ออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ MACD
แพทเทิร์นกราฟ เช่น ธง (Flag), สามเหลี่ยม (Triangle), Double Bottom
การวิเคราะห์ปริมาณและโมเมนตัมระหว่างวัน
ความแตกต่างจึงอยู่ที่ “กรอบเวลา” — Position Trader จะถามว่า “อีกห้าปีหุ้นนี้จะอยู่ตรงไหน?” ขณะที่ Swing Trader จะถามว่า “อีกห้าวันหุ้นนี้จะอยู่ตรงไหน?”
ต้นทุนเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต่างกันอย่างมากระหว่าง Position Trade และ Swing Trade
Position Trader มีค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมน้อยกว่าเพราะเทรดไม่บ่อย อีกทั้งภาษียังต่ำกว่าหากถือครองเกินหนึ่งปี ซึ่งเข้าข่ายกำไรจากเงินลงทุนระยะยาว (Long-term Capital Gains) ในตลาดอย่างสหรัฐอเมริกา สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ก็มักมีหลักการที่ให้รางวัลกับการถือครองระยะยาวเช่นกัน
Swing Trader ต้องเจอกับค่าคอมมิชชั่น สเปรด และภาษีระยะสั้นที่สูงกว่า แม้จะใช้โบรกเกอร์ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่การซื้อขายบ่อย ๆ ก็กัดกินผลตอบแทน และในบางประเทศที่เก็บภาษีกำไรระยะสั้นในอัตราที่สูงกว่าระยะยาว ความแตกต่างยิ่งชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ Swing Trade ต้องสร้างผลตอบแทนขั้นต้น (Gross Returns) สูงกว่าเพื่อชดเชยต้นทุน ขณะที่ Position Trade สามารถได้ผลตอบแทนสุทธิ (Net Returns) ที่ดีด้วยจำนวนการเทรดที่น้อยกว่า
สุดท้าย ไลฟ์สไตล์ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก
Position Trade เหมาะกับคนที่ไม่สามารถเฝ้าตลาดทุกวัน คนทำงานเต็มเวลาอาจแค่เช็กกราฟสัปดาห์ละครั้ง ปรับพอร์ตบ้างเป็นครั้งคราว และยังคงได้รับประโยชน์ มันเครียดน้อยกว่าและใช้เวลาหน้าจอน้อยกว่า
Swing Trade ต้องการการติดตามมากกว่า เทรดเดอร์ต้องเฝ้าการเคลื่อนไหวรายวัน ปรับ Stop Loss และคว้าโอกาสให้ทัน เหมาะกับผู้ที่สนุกกับตลาดในฐานะ “งานฝีมือรายวัน” หรือมีเวลายืดหยุ่นในการติดตามตลาด
ไม่มีสไตล์ไหนที่ดีกว่าแบบสัมบูรณ์ มันขึ้นอยู่กับบุคลิก เวลาที่คุณมี และระดับการยอมรับความไม่แน่นอนของคุณเอง
Tesla ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2023 มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแม้จะมีความผันผวนสูงก็ตาม Position Trader ที่ถือครองหุ้นตลอดช่วงเวลานี้สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรจากแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พวกเขามองข้ามการปรับฐาน 20–30% และมุ่งไปที่การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาล สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความอดทนสามารถสร้างผลตอบแทนได้จริงใน Position Trade
ราคาทองแดงในปี 2023 แกว่งตัวหลายครั้งเนื่องจากนักเทรดตอบสนองต่อข้อมูลความต้องการจากจีนและความกังวลด้านอุปทานทั่วโลก Swing Trader ที่เข้าซื้อหลังการย่อตัวและขายใกล้แนวต้านสามารถเก็บกำไร 10–15% ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ นี่คือแก่นแท้ของ Swing Trade: การเก็บเกี่ยวกำไรจากการเคลื่อนไหวระยะสั้นภายในแนวโน้มใหญ่
นักเทรดบางคนเลือกผสมทั้งสองสไตล์ ตัวอย่างเช่น นักลงทุนอาจถือหุ้น Amazon แบบ Position Trade เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการครองตลาดอีคอมเมิร์ซในระยะยาว ขณะเดียวกันก็ Swing Trade จากการย่อตัวระยะสั้นของหุ้น แนวทางผสมนี้ช่วยให้นักลงทุนมีส่วนร่วมทั้งในระยะยาวและระยะสั้น แต่ต้องมีการแบ่งเงินทุนอย่างชัดเจนและมีวินัยที่เข้มงวด
การเลือก Position Trade หรือ Swing Trade ไม่ใช่เรื่องของถูกหรือผิด แต่เป็นเรื่องของ “ความเหมาะสม” กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบุคลิก เป้าหมาย และทรัพยากรของคุณ
ความอดทนและการใช้เวลา : หากคุณให้คุณค่ากับความอดทน ความเครียดต่ำ และการตัดสินใจน้อยครั้ง Position Trade อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า มันช่วยให้คุณถอยห่างจากเสียงรบกวนในตลาดรายวันและมุ่งไปที่แนวโน้มมหภาค ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งภาคอุตสาหกรรม นักลงทุนที่เชื่อมั่นในสไตล์ “ซื้อและถือ” มักพบว่า Position Trade เหมาะกับนิสัยการลงทุนของตนเอง
ความแอคทีฟและการมองเห็นแพทเทิร์น : หากคุณชอบความรวดเร็ว การวิเคราะห์แพทเทิร์น และโอกาสที่บ่อยครั้ง Swing Trade อาจดึงดูดคุณมากกว่า Swing Trader วิเคราะห์กราฟ เทคนิค โมเมนตัม และปัจจัยเร่งระยะสั้น กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาหน้าจอมากขึ้นและการตัดสินใจที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่สนุกกับการเคลื่อนไหวของตลาดรายวันหรือรายสัปดาห์
ไลฟ์สไตล์และระดับความเครียด : ตารางชีวิตประจำวันและความสามารถในการจัดการความเครียดยังมีผลด้วย มืออาชีพที่ยุ่งและไม่สามารถเฝ้ากราฟตลอดเวลาอาจเลือก Position Trade ในขณะที่ผู้ที่มีเวลายืดหยุ่นและชอบการบริหารการเทรดอย่างใกล้ชิดอาจโน้มเอียงไปทาง Swing Trade
การยอมรับความเสี่ยง : Position Trade ต้องการความสามารถในการทนต่อการย่อตัวครั้งใหญ่ โดยเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาว ในขณะที่ Swing Trade มักจำกัดการขาดทุนต่อครั้ง แต่ก็อาจต้องเจอกับการขาดทุนเล็ก ๆ หลายครั้ง สิ่งสำคัญคือต้องถามตัวเองว่า “รูปแบบความเสี่ยงไหนที่คุณรับมือได้ดีกว่า”
นักเทรดสมัยใหม่จำนวนมากเลือกที่จะรวมทั้งสองสไตล์ พวกเขาเก็บพอร์ตหลัก (Core Portfolio) ไว้ใน Position Trade ระยะยาว ขณะเดียวกันก็จัดสรรส่วนน้อยไว้สำหรับ Swing Trade กลยุทธ์ผสมนี้ช่วยสร้างความสมดุล โดยมีทั้งความมั่นคงจากการถือครองระยะยาวและโอกาสในการเก็งกำไรระยะสั้น
Position Trade สามารถเป็น “หลักยึด” ของพอร์ต เชื่อมโยงกับธีมการลงทุนระยะยาว
Swing Trade เป็นการเทรดเชิงกลยุทธ์ (Tactical) ที่ช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มในตลาดที่แกว่งตัวหรือผันผวน
การผสมผสานทั้งสองทำให้เกิดสมดุล มีการกระจายความเสี่ยงทั้งด้าน “ระยะเวลา” และ “สไตล์ความเสี่ยง”
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ Position Trade สามารถสร้างผลกำไรรวมที่มากกว่าได้หากคุณถือครองแนวโน้มใหญ่ได้นานพอ แต่ Swing Trade อาจให้ผลชนะเล็ก ๆ ที่เกิดบ่อยกว่า ทั้งสองสไตล์ขึ้นอยู่กับวินัยและทักษะของผู้เทรด
Swing Trade มักเผชิญความเสี่ยงบ่อยครั้งกว่า เนื่องจากมีการเทรดถี่ ขณะที่ Position Trade เสี่ยงกับการย่อตัวครั้งใหญ่ (Drawdowns) ไม่มีแบบไหนที่ปลอดความเสี่ยง ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติและการจัดการ
ได้ นักเทรดจำนวนมากเลือกที่จะผสมผสาน โดยถือครองทั้งสถานะระยะยาวแบบ Position Trade ควบคู่ไปกับการเทรดระยะสั้นแบบ Swing Trade สิ่งสำคัญคือการมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างสองสไตล์
Position Trade และ Swing Trade เปรียบเสมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน แบบหนึ่งเน้นความอดทนและมุมมองระยะยาว อีกแบบเน้นความคล่องตัวและจังหวะเวลา ในตลาดปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง แนวทางที่ชาญฉลาดที่สุดอาจไม่ใช่การเลือกเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แต่คือการทำความเข้าใจทั้งสอง เลือกสไตล์ที่เหมาะกับบุคลิกของคุณ หรือแม้แต่ผสมผสานอย่างรอบคอบ ด้วยวิธีนี้ คุณจะทำให้สไตล์การเทรดของคุณสอดคล้องไม่เพียงกับตลาด แต่ยังสอดคล้องกับตัวคุณเองอีกด้วย
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ