简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เส้นทางวิวัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-15

จากเสียงตะโกนของนายหน้าซื้อขายในหลุมตลาดอันแออัด สู่เซิร์ฟเวอร์เงียบที่สามารถประมวลผลคำสั่งซื้อขายนับล้านครั้งต่อวินาที ตลาดหลักทรัพย์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ สิ่งที่เริ่มต้นจากโต๊ะไม้และสมุดบันทึกที่เขียนด้วยมือ ได้พัฒนาเป็นระบบนิเวศระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และเป็นพลังขับเคลื่อนของโลกการเงินยุคใหม่


ในอดีต ตลาดหลักทรัพย์เป็นเพียงสถานที่ที่นายหน้าซื้อขายพบปะกัน เช่น การซื้อขายครั้งแรกในอัมสเตอร์ดัมเมื่อปี ค.ศ. 1602 และ Buttonwood Agreement ของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในปี 1792 แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกที่รองรับสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมความเร็วสูง กองทุน ETF มูลค่ามหาศาล และโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดที่เริ่มทดลองใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและโทเค็นไรซ์


ทุกวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกมีมูลค่าตลาด (Market Capitalisation) สูงกว่าที่เคยเป็นมา กิจกรรมการออก ETF และ IPO อยู่ในระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งเทคโนโลยีและกฎระเบียบที่คนรุ่นก่อนแทบไม่อาจจินตนาการได้เลย


ตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงอย่างไรในประวัติศาสตร์


ปี / ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ ความสำคัญ (สรุปสั้น ๆ)
1602 บริษัทดัตช์อีสต์อินเดีย (Dutch East India Company) ออกหุ้นซื้อขายได้ในตลาดอัมสเตอร์ดัม ถือเป็นบริษัทหุ้นส่วนสมัยใหม่แห่งแรก และเป็นจุดเริ่มต้นของการซื้อขายหุ้นต่อเนื่องในตลาดรอง
1792 ข้อตกลง Buttonwood (นิวยอร์ก) เอกสารก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และเป็นการวางระบบกฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการสำหรับการซื้อขายในสหรัฐฯ
1971 การเปิดตัวตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรก แนะนำระบบเสนอราคาและซื้อขายอัตโนมัติ ปูทางสู่ระบบสมุดคำสั่งซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์และการเทรดด้วยอัลกอริทึม
1990-1993 เปิดตัว ETF แรก (แคนาดา 1990; SPY เปิดในสหรัฐฯ 1993) ETF เป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบใหม่ที่เปลี่ยนโฉมตลาดการลงทุนแบบพาสซีฟและกระแสเงินในตลาดหลักทรัพย์
ทศวรรษ 1990s–2000s (ค่อย ๆ พัฒนา) การขยายตัวของระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์และการเทรดด้วยอัลกอริทึม จากการซื้อขายผ่านโทรศัพท์สู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์และ “สมุดคำสั่ง” พร้อมระบบจับคู่และการเทรดความถี่สูง (HFT) ที่ลดสเปรดแต่เพิ่มความเปราะบางรูปแบบใหม่
2000s–2020s การเติบโตของ ETF, อนุพันธ์ และธุรกิจข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์พัฒนาเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลขนาดใหญ่ AUM ของ ETF และปริมาณอนุพันธ์ได้เปลี่ยนโครงสร้างตลาดอย่างสิ้นเชิง
2010s–2020s การหลากหลายของหุ้นจดทะเบียน การเข้ามาของนักลงทุนรายย่อย และหุ้นเศษส่วน แอปเทรดฟรีและการลงทุนแบบเศษส่วนช่วยดึงดูดนักลงทุนรายย่อย ทำให้ปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันและพฤติกรรมการลงทุนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
2020s (2023–2025) การทดลองใช้โทเค็นและระบบชำระเงินแบบใหม่ (เช่น DTCC) โครงสร้างพื้นฐานตลาดเริ่มทดสอบหลักทรัพย์แบบโทเค็น เพื่อให้การชำระธุรกรรมรวดเร็วและแม่นยำขึ้น คาดว่าจะเข้าสู่การใช้งานจริงในช่วงปลายทศวรรษ 2020
2024–กลางปี 2025 (บริบท) มูลค่าทรัพย์สินทั่วโลก (AUM) และมูลค่าตลาดหุ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กลางปี 2025 มูลค่า AUM ทั่วโลกแตะประมาณ 147 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ราว 120 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ


กิจกรรมการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เรารู้จักในปัจจุบัน เริ่มต้นขึ้นในยุโรปตามห้องค้าขายและร้านกาแฟ ซึ่งพ่อค้าพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนตั๋วเงินและหุ้นของบริษัทการค้าระหว่างประเทศ


การเปิดตัว “หุ้นที่ซื้อขายได้” ของบริษัทดัตช์อีสต์อินเดียในปี 1602 มักถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหุ้นยุคใหม่ โดยตลาดอัมสเตอร์ดัมอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายหุ้นของตนได้อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


ตลอดสองศตวรรษต่อมา ตลาดอย่างลอนดอนและนิวยอร์กได้พัฒนา “กฎเกณฑ์การซื้อขาย”, “ระบบสมาชิก”, และต่อมาคือ “ระบบชำระราคาและส่งมอบแบบศูนย์กลาง (central clearing)” เพื่อลดความเสี่ยงจากคู่สัญญา โดยเฉพาะตลาด NYSE ที่มีรากฐานจากข้อตกลง Buttonwood ในปี 1792 ซึ่งยังคงเป็นต้นแบบของระบบตลาดสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน


หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีและการสื่อสารในปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งปูทางสู่ยุคของตลาดซื้อขายแบบเรียลไทม์และเชื่อมโยงทั่วโลก ที่เราเห็นในปัจจุบัน


3 การปฏิวัติครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนโฉมตลาดหลักทรัพย์

การปฏิวัติครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนโฉมตลาดหลักทรัพย์

1. การเปิดเสรีและการเติบโตของการจดทะเบียน (คริสต์ศตวรรษที่ 19–20)

การระดมทุนขยายตัวอย่างมากเมื่อบริษัทต่าง ๆ เริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้กว้างขึ้น ตลาดหลักทรัพย์เริ่มกำหนดมาตรฐานด้านการเปิดเผยข้อมูล การรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ และการรายงานตามข้อบังคับ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงิน


2. การซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์และระบบอัตโนมัติ (ทศวรรษ 1980s–2000s)

ยุคของการโทรศัพท์สั่งซื้อขายได้สิ้นสุดลง เปิดทางให้กับสมุดคำสั่งอิเล็กทรอนิกส์ ระบบจับคู่คำสั่งซื้อขาย (Matching Engine) และการเข้าถึงระยะไกล ทำให้ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Spread) แคบลงอย่างมหาศาล และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


3. นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และโครงสร้างตลาด (2000s–2025+)

การเกิดขึ้นของ ETF, อนุพันธ์, การเทรดความถี่สูง (HFT) รวมถึงโทเค็น (Tokenisation) และการแปลงสินทรัพย์เป็นดิจิทัลได้เปลี่ยนทั้งรูปแบบของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย และวิธีการชำระสถานะในตลาดหลักทรัพย์


ขนาดและบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน: มูลค่า, AUM และ IPO

ตลาดหลักทรัพย์ในยุคปัจจุบันอยู่ใจกลางของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกขนาดมหึมา ในปี 2025 มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลจาก McKinsey ประเมินว่า AUM ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 147 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในกลางปี 2025 ขณะที่สินทรัพย์แบบ Passive ETF และ Index Fund มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของตลาด


ข้อมูลจาก Investment Company Institute (ICI) ระบุว่า มูลค่าทรัพย์สินในกองทุนรวมแบบดัชนี (Indexed Mutual Funds) และ ETF ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่ารวมของสินทรัพย์เหล่านี้แตะระดับ “หลายล้านล้านดอลลาร์”


ในขณะเดียวกัน กิจกรรมการออก IPO ทั่วโลกพุ่งสูงในปี 2025 โดยรายงานจาก EY แสดงให้เห็นว่าปริมาณ IPO ในไตรมาสที่ 3 แข็งแกร่งกว่าปีก่อน และ Renaissance Capital ประมาณว่ามีการออก IPO ราว 170 รายการในปี 2025 (ตัวเลขแตกต่างเล็กน้อยตามแหล่งข้อมูล)


ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีหลักในการระดมทุนระดับโลก (Primary Capital-Raising Platform) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมของโลกยุคใหม่


การเปลี่ยนแปลงของการซื้อขายหุ้น: จากมนุษย์สู่ยุค AI

การเปลี่ยนแปลงของการซื้อขายหุ้น: จากมนุษย์สู่ยุค AI

การเปลี่ยนผ่านจากระบบที่นายหน้าซื้อขาย (Market Maker) ใช้มือต่อรองราคากันโดยตรงไปสู่ระบบ สมุดคำสั่งอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Order Books) และ อัลกอริทึมสร้างสภาพคล่อง (Algorithmic Liquidity Provision) คือหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์


ระบบ Matching Engine อัตโนมัติ และ Smart Order Routing ทำให้คำสั่งซื้อขายสามารถแยกเป็นส่วนย่อยและถูกดำเนินการในหลายตลาดพร้อมกันได้ภายในเสี้ยววินาที บริษัทที่ทำ การเทรดความถี่สูง (High-Frequency Trading: HFT) และผู้ดูแลสภาพคล่องเชิงอัลกอริทึม (Algorithmic Market Maker) ปัจจุบันครองสัดส่วนการซื้อขายจำนวนมากในตลาดพัฒนาแล้วทั่วโลก


รายงานการวิจัยตลาดระบุว่า HFT คิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของปริมาณการซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงปี 2024–2025 ที่อเมริกาเหนือ (North America) ถือครองส่วนแบ่งตลาด HFT ขนาดใหญ่ และแนวโน้มนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป บริษัทเหล่านี้ได้เปลี่ยนโครงสร้างตลาดจาก “การเจรจาโดยมนุษย์” ไปสู่ “การเพิ่มประสิทธิภาพโดยเครื่องจักร” ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ-ขาย (Bid-Ask Spread) แคบลง แต่ก็เปลี่ยนพลวัตของสภาพคล่องในยามตลาดผันผวนด้วย


ผลลัพธ์หลัก 2 ประการคือ:

  • สภาพคล่องดีขึ้นในภาวะปกติ: ส่วนต่างราคาซื้อขายแคบลง หนังสือคำสั่งลึกขึ้น

  • แต่ความเปราะบางเพิ่มขึ้นในภาวะรุนแรง: เช่น เหตุการณ์ “Flash Crash” หรือ “Liquidity Vacuum” เมื่ออัลกอริทึมหยุดทำงานพร้อมกัน


เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ หน่วยงานกำกับดูแลและตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาตรการ เช่น Circuit Breaker ระบบควบคุมความผันผวน (Volatility Controls) และข้อกำหนดด้านการให้สภาพคล่อง (Liquidity Provision Rules) เพื่อป้องกันความเสียหายระบบ


วิวัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์: จากหุ้นเดี่ยวสู่ผลิตภัณฑ์ซับซ้อน

ETF และอนุพันธ์

ตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่การซื้อขายหุ้นรายตัวอีกต่อไป กองทุน ETF (Exchange-Traded Funds) ได้เติบโตอย่างมหาศาลในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของตลาดการเงินโลก


ETF ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในตะกร้าหุ้น ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) และแม้แต่ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ภายใต้โครงสร้างที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างปลอดภัย ในปี 2025 สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ ETF ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก

        

ขณะเดียวกัน ตลาดอนุพันธ์ (Derivatives) เช่น ออปชัน ฟิวเจอร์สสวอป ที่ผ่านการชำระผ่านศูนย์กลาง (Centrally Cleared) ก็เติบโตขึ้นอย่างมากในเชิงมูลค่าทางบัญชี (Notional Value) และกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการ ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) และ การเก็งกำไร (Speculation) ในการเงินยุคใหม่


สินทรัพย์โทเค็นไรซ์ (Tokenised Assets)

อีกแนวหน้าหนึ่งของการพัฒนาคือตลาด โทเค็นไรซ์ (Tokenisation) ซึ่งสถาบันการเงินและโครงสร้างพื้นฐานของตลาด เช่น DTCC และตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ทั่วโลก กำลังทดลองนำหุ้น พันธบัตร และกองทุน มาทำเป็น “โทเค็นดิจิทัล” บนระบบบล็อกเชน


ทั้ง DTCC และตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งกำลังทดสอบการใช้ Tokenised Securities เพื่อให้สามารถ ชำระธุรกรรมได้รวดเร็วแบบทันที (Atomic Settlement) และรองรับการลงทุนแบบเศษส่วน (Fractional Ownership) โดยยังคงอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ชัดเจน


รายงานอุตสาหกรรมในปี 2025 ระบุว่า “การโทเค็นไรซ์” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป แต่เริ่มมีการทดลองและนำไปใช้จริงในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย ซึ่งอาจเป็น “ขั้นตอนต่อไป” ของวิวัฒนาการตลาดหลักทรัพย์ ที่จะเปลี่ยนวิธีเก็บรักษา (Custody) ชำระราคา (Settlement) และถือครองแบบเศษส่วน (Fractionalisation) อย่างสิ้นเชิง


การชำระราคาและการส่งมอบ (Settlement & Clearing): จาก T+X สู่ยุคเกือบทันที

ความเร็วในการชำระราคาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เดิมที ความเสี่ยงจากการชำระราคา (Settlement Risk) คือความเสี่ยงที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่สามารถส่งมอบได้ เป็นปัญหาหลักที่นำไปสู่การก่อตั้ง ศูนย์ชำระราคาแบบรวมศูนย์ (Central Clearinghouses)


ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลัก ๆ ทั่วโลกได้ลดรอบการชำระราคาลงเหลือ T+2 (ภายใน 2 วันทำการ) และบางแห่งกำลังขยับสู่ T+1 หรือแม้แต่ T+0 (ชำระภายในวันเดียวกัน) และกำลังทดสอบระบบ ชำระราคาแบบเรียลไทม์ (Near-Real-Time Settlement)


เทคโนโลยีโทเค็นไรซ์ (Tokenisation) ยังมีศักยภาพที่จะผลักดันให้ตลาดบางแห่งไปถึงขั้น ชำระธุรกรรมทันที (Atomic Transfer) ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนตัวกลางและลดความเสี่ยงของคู่สัญญาได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และการเชื่อมต่อระบบ (Interoperability) ที่ต้องแก้ไขก่อนการนำไปใช้ในวงกว้าง


ใครคือผู้ใช้งานตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน และพฤติกรรมการลงทุนเปลี่ยนไปอย่างไร?

ปัจจุบัน มีกลุ่มผู้เล่นหลัก 3 กลุ่มที่ครองกิจกรรมในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก


1. สถาบันการเงินและผู้จัดการสินทรัพย์

แนวโน้มการลงทุนแบบพาสซีฟ (Passive Investing) และ กองทุน ETF กลายเป็นส่วนสำคัญของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) โดยมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดผ่านช่องทางเหล่านี้


ผู้จัดการกองทุนในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบจัดเส้นทางคำสั่งอัจฉริยะ (Smart Order Routing) และอัลกอริทึมการซื้อขาย (Algorithmic Execution) เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อราคา ข้อมูลจาก McKinsey และ Investment Company Institute (ICI) ในปี 2025 แสดงให้เห็นว่า มูลค่า AUM ทั่วโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมูลค่าทรัพย์สินในกองทุนดัชนี (Indexed ETFs) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง


2. บริษัทเทรดเฉพาะกิจและผู้ทำการเทรดความถี่สูง

บริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่ เพิ่มสภาพคล่องในตลาด (Provide Liquidity), ทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Arbitrage) ระหว่างตลาดและเขตเวลา และดำเนินการด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่สามารถเทียบได้ บทบาทของพวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งในด้าน สภาพคล่องระหว่างวัน (Intraday Liquidity) อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดภาวะตลาดผันผวนหรือมีแรงขายมหาศาล บทบาทของพวกเขากลับกลายเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากอัลกอริทึมอาจถอนตัวออกจากตลาดพร้อมกันและทำให้สภาพคล่องหายไปชั่วขณะ


3. นักลงทุนรายย่อย

การมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังปี 2010 เมื่อมีการเปิดตัวแอปเทรดที่ไม่มีค่าคอมมิชชัน และระบบการซื้อหุ้นแบบเศษส่วน (Fractional Shares)


กิจกรรมของนักลงทุนรายย่อย เช่น การซื้อขายหุ้นมีม (Meme Stocks) ออปชัน และการเก็งกำไรใน IPO ที่ได้รับความนิยมสูง ได้เปลี่ยนรูปแบบของความผันผวนในตลาด (Volatility Patterns) นอกจากนี้ยังสร้างช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ ระหว่างบริษัทและนักลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ


เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ตลาดหลักทรัพย์ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น เช่น เครื่องมือการลงทุนขนาดเล็ก คอร์สความรู้ด้านการลงทุน เนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงและการวางแผนทางการเงิน


เทคโนโลยีการซื้อขายในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

การสร้างโทเค็น

เมื่อมองไปข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของตลาดหลักทรัพย์อาจไม่ใช่เรื่อง “ความเร็วในการซื้อขาย” อีกต่อไป แต่คือ “การเปลี่ยนบทบาทของตลาดหลักทรัพย์เอง” ตลาดหลักทรัพย์กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นบริษัทด้านข้อมูล เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ไม่ต่างจากการเป็น “ตัวกลางจับคู่คำสั่งซื้อขาย” อีกต่อไป พวกเขาให้บริการขายข้อมูลตลาด (Market Data) บริการคลาวด์ (Cloud Services) และเทคโนโลยีการชำระราคา (Clearing Technology) รวมถึงเป็นเจ้าภาพให้กับระบบเส้นทางคำสั่งอัจฉริยะ (Smart-Order Routers) และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics)


เทคโนโลยีโทเค็นไนเซชัน (Tokenisation) และหลักทรัพย์แบบตั้งโปรแกรมได้ (Programmable Securities) อาจทำให้ตลาดหลักทรัพย์สามารถรองรับการถือครองหุ้นแบบเศษส่วน (Fractional Ownership) การซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง (24/7 Trading Windows) สำหรับสินทรัพย์บางประเภท และระบบการชำระราคาแบบฝังอยู่ภายใน (Embedded Settlement Logic) ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้จริงยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การยอมรับทางกฎหมายของหลักทรัพย์ดิจิทัล (Legal Recognition of Digital Securities) ความสามารถในการเชื่อมต่อกันของระบบต่าง ๆ (Interoperability among Systems) และโครงสร้างการดูแลทรัพย์สินที่สามารถขยายขนาดได้ (Scalable Custody Solutions).


หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานหลักและเครือข่ายผู้ดูแลทรัพย์สิน (Custodian Networks) กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบโมเดลเหล่านี้ในปี 2025 และคาดว่าการเปลี่ยนผ่านจากระยะทดลอง (Pilot Phase) ไปสู่ระยะใช้งานจริง (Production Phase) จะเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2020s


5 ตัวชี้วัดสำคัญที่ควรจับตา หากต้องการติดตามวิวัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์

  1. กระแสเงินไหลเข้าใน ETF และการเติบโตของ AUM

  2. กิจกรรมการออก IPO และจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่

  3. สัดส่วนการซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมหรือ HFT

  4. ความคืบหน้าในการทดลองโทเค็นไนเซชัน (Tokenisation Pilots)

  5. ความเคลื่อนไหวด้านกฎระเบียบและโครงการรวมข้อมูลตลาด (Consolidated Tape Projects)


คำถามที่พบบ่อย

Q1: ตลาดหลักทรัพย์ยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่ในโลกการเงินแบบกระจายศูนย์?

มีความสำคัญอยู่แน่นอน แม้ว่าการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) จะนำเสนอรูปแบบการซื้อขายทางเลือกใหม่ ๆ แต่ตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล (Regulated Exchanges) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ระบบการเก็บรักษาทรัพย์สิน (Custody) และกรอบกฎหมาย (Legal Frameworks) ที่จำเป็นสำหรับการลงทุนของสถาบันขนาดใหญ่


Q2: การเทรดความถี่สูง (HFT) เป็นสิ่งไม่ดีต่อผู้ลงทุนหรือไม่?

ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งไม่ดีเสมอไป การเทรดแบบ HFT ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม (Transaction Costs) และเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ในภาวะตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจเพิ่มความเปราะบาง (Fragility) ของตลาดในช่วงที่เกิดความตึงเครียดหรือความผันผวนสูง


Q3: ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรือไม่?

สินทรัพย์บางประเภท เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรือตราสารโทเค็น (Tokenised Instruments) สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ตลาดหุ้นภายใต้การกำกับดูแลส่วนใหญ่ จะยังคงมีช่วงเวลาการซื้อขายที่กำหนดไว้ เนื่องจากยังต้องอาศัยกระบวนการชำระราคา (Settlement) และการกำกับดูแลตลาด (Market Supervision) ที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาทำการปกติ


บทสรุป

กล่าวโดยสรุป แม้กระบวนการซื้อขายในตลาดจะเปลี่ยนจากการเจรจาโดยมนุษย์ไปสู่ความแม่นยำของระบบดิจิทัล แต่ภารกิจหลักของตลาดหลักทรัพย์ในการเชื่อมโยง “แนวคิด” เข้ากับ “เงินทุน” ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บทต่อไปของวิวัฒนาการนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นตลาด (Trading Floor) อีกต่อไป แต่จะเกิดขึ้นบนระบบบัญชีแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledgers)


สำหรับนักลงทุน บทเรียนสำคัญคือใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ETF ราคาย่อมเยา ประสิทธิภาพการซื้อขายที่ดีขึ้น หรือช่องทางการระดมทุนรูปแบบใหม่ พร้อมทั้ง ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ความเสี่ยงจากอัลกอริทึม (Algorithmic Vulnerability) ความปลอดภัยในการเก็บรักษาโทเค็น (Token Custody Concerns) และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ (Regulatory Unpredictability)


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์คืออะไร?
S&P 500 ใกล้แตะระดับสูงสุดท่ามกลางความกังวลเรื่องอุปทานของกระทรวงการคลัง
เส้นทางนักเทรดบิทคอยน์ CFD ปี 2025 สู่กำไรยั่งยืน
การเติบโตของมูลค่าตลาดและการวิเคราะห์หุ้นของ Eli Lilly
ทำไมหุ้น Ferrari จึงร่วงลง 15% เมื่อวานนี้?