เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-21
Portfolio Trading คือโปรโตคอลที่ช่วยให้สามารถดำเนินการซื้อขาย “ตะกร้าหลักทรัพย์” (basket of securities) ได้ภายในคำสั่งเดียว เพื่อให้ได้ต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ และการดำเนินการที่รวดเร็วกว่าการเทรดแยกแต่ละหลักทรัพย์โดยเฉพาะในตลาดตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องต่ำ
ปัจจุบัน Portfolio Trading คิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของการไหลเวียนของพันธบัตรภาคเอกชน และจากผลการวิจัยพบว่า สามารถลดต้นทุนธุรกรรมได้มากถึง ประมาณ 40% สำหรับตราสารที่มีสภาพคล่องต่ำที่สุด
บทความนี้จะอธิบายว่า Portfolio Trading สำคัญอย่างไร ทำงานอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ หลักฐานเชิงประจักษ์ของประโยชน์ที่ได้รับ ความเสี่ยงและข้อกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางปฏิบัติจริง สำหรับผู้จัดการสินทรัพย์และโต๊ะเทรด
รวบรวมสภาพคล่องที่กระจัดกระจาย โดยนำหลักทรัพย์ขนาดเล็กหรือที่มีสภาพคล่องต่ำหลายรายการมารวมกันเป็นหน่วยเดียวที่สามารถซื้อขายได้
ช่วยลดผลกระทบต่อตลาด และลดความล่าช้าในการดำเนินการ (Execution Slippage) เมื่อเทียบกับการเทรดแยกรายหลักทรัพย์
ช่วย ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงการเจรจาครั้งเดียวและการชำระบัญชีหนึ่งขั้นตอน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและระยะเวลาในการทำรายการ
โดยสรุป: สำหรับการจัดการคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ที่มีหลายหลักทรัพย์ (เช่น การปรับสมดุลพอร์ต การปรับดัชนี หรือการบริหารหนี้สิน) Portfolio Trading เปลี่ยนงานที่ซับซ้อนยุ่งยากให้กลายเป็นการเจรจาซื้อขายเพียงครั้งเดียว หากโต๊ะเทรดมีขนาด ระบบวิเคราะห์ และความสัมพันธ์กับคู่ค้าทางการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอในการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบพอร์ต:
ฝั่งนักลงทุนสถาบัน (Buy-side) จะเลือกหลักทรัพย์ที่ต้องการและกำหนดน้ำหนักเป้าหมาย โดยคัดกรองตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น สภาพคล่อง (liquidity), คุณสมบัติที่เข้าเกณฑ์การซื้อขาย (eligibility) และ วัตถุประสงค์ในการป้องกันความเสี่ยง (hedging intent)
การส่งคำสั่ง:
พอร์ตทั้งหมดจะถูกส่งเป็นคำขอใบเสนอราคาเดียว (RFQ – Request for Quote) หรือผ่านแพลตฟอร์ม Portfolio Trading แบบอิเล็กทรอนิกส์
การตอบกลับของดีลเลอร์:
ดีลเลอร์หนึ่งรายหรือหลายรายจะประเมินความเสี่ยงสุทธิของตะกร้าหลักทรัพย์ และเสนอราคาแบบ “รวมทั้งหมด” (all-in spread หรือยอดเงินรวมทั้งพอร์ต)
การกำหนดราคาแบบรวม:
ดีลเลอร์จะคำนวณราคาเดียวหรือสเปรดเดียวที่สะท้อนถึงความเสี่ยงสุทธิ, ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง (hedging costs) และ ตำแหน่งคงเหลือที่คาดว่าจะถือหลังการเทรด
การชำระบัญชีแบบคำสั่งเดียว:
เมื่อผู้ซื้อยอมรับราคาแล้ว พอร์ตจะถูกดำเนินการซื้อขายในฐานะ “คำสั่งเดียว” จากนั้นระบบจะ จัดสรร (net & allocate) เป็นแต่ละหลักทรัพย์ย่อยเพื่อใช้ในการชำระบัญชี (settlement) และ รายงานผล (reporting)
หลังจากดำเนินการแล้ว ระบบจะจัดสรรเข้าบัญชีต่าง ๆ, ตรวจสอบการชำระบัญชี และวิเคราะห์ต้นทุนการซื้อขาย (transaction-cost analytics) เป็นกระบวนการเดียว ช่วยลดภาระการจัดสรรด้วยมือและวงจรการกระทบยอด (reconciliation) ที่ซ้ำซ้อน
หลักฐานสำคัญ 2 ประการมีดังนี้:
อัตราการใช้งาน (Adoption metrics): ใช้แพร่หลายแค่ไหน
ประสิทธิภาพในการดำเนินการ (Execution benefits): ช่วยประหยัดต้นทุนมากเพียงใด
งานวิจัยทั้งในภาควิชาการและอุตสาหกรรมพบว่า การเทรดแบบ Portfolio สามารถ ลดต้นทุนธุรกรรมโดยเฉลี่ยได้มากกว่า 40% โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องต่ำ
ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Tradeweb ระบุว่า ในเดือนธันวาคม ปี 2024 การซื้อขายแบบ Portfolio คิดเป็นประมาณ 11.4% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด และมีการใช้งานจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอดปี
ตัวชี้วัดระดับตลาดแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (continued electronification) โดยมีจำนวนการซื้อขายต่อวันและขนาดการซื้อขายเฉลี่ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการเทรดแบบ Portfolio
องค์กร Coalition Greenwich / CRISIL สังเกตว่าปี 2024 มีจำนวนธุรกรรมต่อวันเพิ่มขึ้น และขนาดการเทรดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ตัวชี้วัด | ค่า / การเปลี่ยนแปลง |
---|---|
ส่วนแบ่งของ Portfolio Trading (ธ.ค. 2024) | 11.4% ของปริมาณบนแพลตฟอร์ม (Tradeweb) |
การลดต้นทุน (เมื่อเทียบกับการซื้อขายรายชื่อเดียว) | ลดเฉลี่ย ≈ 40% (มากกว่าสำหรับพันธบัตรที่สภาพคล่องต่ำ) |
ปริมาณการซื้อขายพันธบัตรองค์กรเฉลี่ยต่อวัน (ปี 2024) | ~125,700 ครั้ง/วัน; มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย ≈ 382,000 ดอลลาร์สหรัฐ |
หมายเหตุ: ตัวเลขข้างต้นอ้างอิงจากรายงานของแพลตฟอร์มและงานวิจัย ผลลัพธ์จริงของแต่ละโต๊ะเทรดอาจแตกต่างกันตามสภาวะตลาด โครงสร้างพอร์ต และช่วงเวลาในการดำเนินการ
การปรับสมดุลพอร์ตหรือการติดตามดัชนี: ช่วยให้บรรลุสัดส่วนการลงทุนเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น พร้อมลดความคลาดเคลื่อนของราคา (slippage)
การหมุนเวียนความเสี่ยง: ใช้การเทรดแบบตะกร้า (basket trades) เพื่อปรับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมหรือคุณภาพเครดิตอย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากการถูก “front-run” และลดสัญญาณต่อคู่แข่งในตลาด
การแปลงสินทรัพย์ที่สภาพคล่องต่ำเป็นเงินสด: ช่วยแปลงตราสารหนี้เก่าหรือสินทรัพย์ที่สภาพคล่องต่ำให้กลายเป็นเงินสดหรือสถานะที่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ ผ่านดีลเลอร์ที่สามารถดูดซับหรือป้องกันความเสี่ยงสุทธิได้
การป้องกันความเสี่ยงผ่าน ETF: การเทรดพอร์ตเชื่อมโยงกับกระบวนการสร้าง/ไถ่ถอนหน่วย ETF และตลาดรอง ทำให้วงจรสภาพคล่องของตลาดแข็งแกร่งขึ้น
ใช้ Portfolio Trading เมื่อขนาดธุรกรรม (notional) และความซับซ้อนของรายการมีมากพอที่จะเห็นประโยชน์ด้านต้นทุนและเวลาอย่างชัดเจน
หลีกเลี่ยงการใช้ หากพอร์ตมีแต่สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและลักษณะคล้ายกัน เพราะประโยชน์จะน้อย
การเทรดแบบพอร์ตโฟลิโอรวม “ความเสี่ยงหลายด้าน” ไว้ในธุรกรรมเดียว ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงต้องมีความรัดกุมและเหมาะสมกับขนาดของดีล
ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของคู่สัญญา:
ดีลเลอร์รายเดียวอาจต้องรับความเสี่ยงสุทธิจำนวนมากจากพอร์ตทั้งหมด
ความไม่สอดคล้องของสภาพคล่อง:
สินทรัพย์ภายในพอร์ตอาจมีพฤติกรรมแตกต่างกันในภาวะวิกฤติ ทำให้เกิดปัญหาในการป้องกันความเสี่ยงหรือประเมินมูลค่า
ความเสี่ยงด้านแบบจำลอง/การดำเนินงาน:
การสร้างตะกร้าหลักทรัพย์ การจับคู่ และการจัดสรรด้วยอัลกอริทึมต้องมีระบบข้อมูลและการควบคุมที่รัดกุม
ประเด็นด้านความโปร่งใสของตลาดและการรายงาน:
การเทรดพอร์ตขนาดใหญ่อาจมีข้อมูลการสั่งซื้อที่ละเอียดอ่อน ทำให้เกิดการถกเถียงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
ตัวอย่างเช่น ในกรณีล่าสุด Goldman Sachs ได้เสนอให้เลื่อนเวลาการรายงานธุรกรรม Portfolio Trade ขนาดใหญ่ออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณรบกวนตลาด
ในสหรัฐอเมริกา ระบบการรายงานธุรกรรมมาตรฐาน เช่น TRACE กำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูลการเทรดอย่างทันท่วงที ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล และปรับอย่างระมัดระวังเพื่อคงไว้ซึ่งความโปร่งใสและความเป็นธรรมของตลาด
ด้านล่างนี้คือ เช็คลิสต์แบบย่อ และตารางที่ 2 ที่ช่วยในการปฏิบัติจริงของคู่มือการดำเนินการ
กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติ (ขนาด ขีดจำกัดสภาพคล่อง การจัดการบัญชี)
ดำเนินการวิเคราะห์ก่อนการเทรด: ค่าธรรมเนียมการดำเนินการที่คาดการณ์, การตรวจสอบการกระจายสภาพคล่อง, การทดสอบความเครียดของการสัมพันธ์
ระบุตัวแทนจำหน่ายและสถานที่ที่ต้องการ ยืนยันกำลังการผลิตและเส้นทางการป้องกันความเสี่ยง
ส่งพอร์ตผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการหรือ RFQ; พิจารณากลยุทธ์การใช้หลายดีลเลอร์กับการใช้ดีลเลอร์เดียว
เจรจาราคาทั้งหมดและกฎการจัดสรรให้ชัดเจนล่วงหน้า
จับข้อมูลการดำเนินการเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนการทำธุรกรรม (TCA)
ดำเนินการ TCA เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานและปรับนโยบายเมื่อจำเป็น
รักษาคณะกรรมการการดำเนินการเพื่อทบทวนพอร์ตที่ใหญ่หรือผิดปกติ
ปรับปรุงการเลือกดีลเลอร์และเทคโนโลยีเป็นระยะ
พื้นที่ |
องค์ประกอบที่ต้องมี | ตัวอย่าง KPI |
---|---|---|
การกำกับดูแล | นโยบายการเทรดพอร์ตที่เป็นลายลักษณ์อักษร; คณะกรรมการการดำเนินการ | % การเทรดที่ได้รับการอนุมัติก่อน; การละเมิดนโยบาย |
การวิเคราะห์ | การให้คะแนนสภาพคล่อง, สถานการณ์ทดสอบความเครียด, แพลตฟอร์ม TCA | ต้นทุนที่คาดการณ์ vs ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง |
คู่สัญญา | การยืนยันความสามารถของดีลเลอร์; ข้อกำหนดที่เจรจาแล้ว | อัตราการเติมคำสั่ง; ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยง |
เทคโนโลยี | รองรับ RFQ อิเล็กทรอนิกส์, การประมวลผลแบบสเตรท-ธรู | เวลาในการยืนยันจาก RFQ |
การปฏิบัติตามข้อกำหนด | แม่แบบการรายงาน; เส้นทางการตรวจสอบ | เปอร์เซ็นต์การรายงานทันเวลา |
"Portfolio Trading ลดความโปร่งใส"
การโต้แย้ง: โปรโตคอลพอร์ตโฟลิโอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการสำหรับสินทรัพย์ขนาดใหญ่และสภาพคล่องต่ำ ขณะที่กรอบการกำกับดูแล (และข้อเสนอจากอุตสาหกรรม) พยายามสร้างสมดุลระหว่างการรายงานที่ทันเวลาและเสถียรภาพของตลาด
การอภิปรายอยู่ที่การกำหนดช่วงเวลาและเกณฑ์ไม่ใช่การยกเลิกการรายงาน
"มันเหมาะสำหรับผู้จัดการขนาดใหญ่มากเท่านั้น"
การโต้แย้ง: ถึงแม้ว่าผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดจะตกอยู่กับผู้จัดการที่มีการลงทุนจำนวนมาก แต่การเปิดตัวแพลตฟอร์มและสภาพคล่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีขึ้นทำให้ผู้จัดการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมได้มากขึ้นผ่านกระบวนการร่วมกลุ่มหรือการมอบหมายงาน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
กระบวนการซื้อขายจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลลึกยิ่งขึ้น (Electronification will deepen) เทคโนโลยีอย่างการสร้างพอร์ตโดยใช้เครื่องมืออัจฉริยะ (machine-assisted basket construction), โมเดลคาดการณ์สภาพคล่อง (predictive liquidity models) และ ระบบป้องกันความเสี่ยงขั้นสูง (hedging engines) จะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินการ และขยายขอบเขตของตราสารที่สามารถใช้ Portfolio Trading ได้
การแข่งขันของแพลตฟอร์ม:
ผู้ให้บริการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Tradeweb, MarketAxess และแพลตฟอร์มอื่น ๆ จะแข่งขันกันเพื่อเสนอ อัลกอริทึมการดำเนินการที่ดีที่สุด, ระบบเชื่อมต่อที่รวดเร็ว, และ เครือข่ายดีลเลอร์ที่ครอบคลุมมากที่สุด
วิวัฒนาการของกฎระเบียบ:
จะมีการหารืออย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับกรอบเวลาการรายงานธุรกรรม (reporting windows) และความโปร่งใสของการเทรดขนาดใหญ่ (large-trade transparency) เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างความโปร่งใสของตลาด (market integrity) และการรักษาสภาพคล่อง (liquidity provision) การอภิปรายในที่สาธารณะล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของประเด็นนี้อย่างชัดเจน
Portfolio Trading ได้ก้าวจากนวัตกรรมเฉพาะกลุ่ม สู่การเป็นเครื่องมือหลักในตลาดตราสารหนี้และการจัดพอร์ตขนาดใหญ่ในระดับสถาบัน
สำหรับผู้จัดการสินทรัพย์ที่มีขนาดพอร์ตใหญ่และซับซ้อน Portfolio Trading ไม่ใช่แค่เทคนิคการดำเนินการซื้อขาย แต่เป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่หากใช้อย่างรอบคอบ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (implementation outcomes) และรักษาความยืดหยุ่น (optionality) ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง
โดยเฉลี่ย ลดต้นทุนธุรกรรมได้ราว 30–40% เมื่อเทียบกับการส่งคำขอ RFQ แยกรายหลักทรัพย์ โดยเฉพาะในพันธบัตรที่มีสภาพคล่องต่ำ
ส่วนใหญ่คือพันธบัตรภาคเอกชน (Corporate Bonds) แต่ปัจจุบันเริ่มมีการนำไปใช้ในพอร์ตหลายสินทรัพย์ (multi-asset) และ พอร์ตผสม (hybrid baskets) มากขึ้น
ติดตามต้นทุนการดำเนินการจริงเทียบกับที่คาดการณ์ก่อนเทรด อัตราการเติมคำสั่ง (fill rate) และประสิทธิภาพด้านเวลาผ่านแดชบอร์ด TCA (Transaction Cost Analysis)
ดีลเลอร์รายเดียว (Single-dealer) เหมาะสำหรับคำสั่งที่ใหญ่และต้องการความรวดเร็ว
หลายดีลเลอร์ (Multi-dealer) ช่วยให้ค้นหาราคาที่ดีที่สุด (price discovery) การเลือกขึ้นอยู่กับ ความซับซ้อนของพอร์ต และ ความลึกของดีลเลอร์ ที่พร้อมรับความเสี่ยง
ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการหารือ และจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงต้องมีกลไกคุ้มครองความโปร่งใสของตลาด อย่างเหมาะสมก่อนนำมาใช้จริง.
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ