เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-06 อัปเดตเมื่อ: 2025-11-07
สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity) เป็นปัจจัยที่กำหนดว่า สินทรัพย์สามารถถูกซื้อหรือขายได้ง่ายเพียงใดโดยไม่กระทบต่อราคา ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุนของการซื้อขาย
สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity) หมายถึงความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นเงินสดหรือทำการซื้อขายในตลาดได้ โดยไม่ทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำมักนำไปสู่ส่วนต่างราคาที่กว้างขึ้นและความผันผวนของราคาที่เพิ่มขึ้น

สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity) หมายถึงความลึกและความเคลื่อนไหวของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดการเงิน
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงจะมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากและมีปริมาณการซื้อขายสูง ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่นและราคามีความเสถียร
ตลาดฟอเร็กซ์ ตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ และตลาดพันธบัตรรัฐบาล เป็นตัวอย่างของตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กหรือคู่สกุลเงินแปลกใหม่มักมีสภาพคล่องต่ำกว่า
เมื่อเทรดเดอร์ทำคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์
ระบบสมุดคำสั่งของตลาดจะตรวจสอบว่ามีผู้ซื้อหรือผู้ขายที่ตรงกันหรือไม่
หากมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก คำสั่งซื้อขายจะถูกดำเนินการอย่างรวดเร็วที่ราคาที่เสนอหรือใกล้เคียง
แต่หากมีผู้เข้าร่วมน้อย การซื้อขายอาจใช้เวลานานขึ้น หรือถูกดำเนินการในราคาที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร
สภาพคล่องได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดของตลาด ปริมาณการซื้อขาย ภาวะเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ให้ลองนึกถึงสภาพคล่องเหมือนกับ “ความราบรื่น” ของตลาด ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง คุณสามารถซื้อหรือขายได้ทันทีโดยที่ราคาขยับไม่มาก
ตัวอย่างเช่น เมื่อตลาดคุณเทรดคู่เงินหลักอย่าง EUR/USD หรือ USD/JPY คำสั่งของคุณมักจะถูกดำเนินการภายในเสี้ยววินาทีที่ราคาที่เห็น โดยมีสเปรดเพียงประมาณ 0.1–0.3 pips เท่านั้น นั่นเป็นเพราะมีเทรดเดอร์และสถาบันการเงินนับล้านรายที่เข้าซื้อขายในคู่สกุลเงินเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ในทางกลับกัน หากคุณเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า เช่น USD/TRY (ดอลลาร์สหรัฐ/ลีราตุรกี) หรือ EUR/ZAR (ยูโร/แรนด์แอฟริกาใต้) จะมีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยลง ทำให้ราคาขยับไม่ราบรื่น
สเปรดอาจกว้างถึง 20 pips หรือมากกว่า และคำสั่งขนาดใหญ่ก็อาจเกิด “slippage” หรือถูกจับคู่บางส่วนเท่านั้น
นี่คือความแตกต่างระหว่างการเทรดบน “ทางด่วนที่มีการจราจรคล่องตัว” (สภาพคล่องสูง) กับ “ถนนในชนบทที่เงียบสงบ” (สภาพคล่องต่ำ) ทั้งสองเส้นทางอาจพาไปถึงจุดหมายได้ แต่เส้นทางแรกจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers): สถาบันหรือโบรกเกอร์ที่เสนอราคาซื้อและขายในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและขาย (Bid-Ask Spread): ส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งจะมีช่องว่างแคบกว่าในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง
ความลึกของตลาด (Market Depth): จำนวนคำสั่งซื้อและขายในระดับราคาต่าง ๆ
ปริมาณการซื้อขาย (Volume): จำนวนธุรกรรมหรือหน่วยการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
สภาพคล่องอาจลดลงในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ หรือเมื่อผู้เล่นรายใหญ่ถอนตัวออกจากการซื้อขาย
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมากเกินไป
ให้สังเกตตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายรายวันสูง ส่วนต่างราคาซื้อขายแคบ และมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก เช่น คู่สกุลเงินหลักในฟอเร็กซ์ หรือหุ้นขนาดใหญ่ (Blue-chip stocks)
สภาพคล่องของตลาดสะท้อนถึงความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก
ตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นขนาดใหญ่ มักมีส่วนต่างราคาที่แคบและการดำเนินคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็ว
การทำความเข้าใจสภาพคล่องของตลาดช่วยให้เทรดเดอร์สามารถบริหารต้นทุนและความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ