2025-09-23
ออปชั่น Call กับ Put คือสัญญาทางการเงินที่ให้สิทธิ์แก่นักเทรดในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่ราคาที่กำหนดไว้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ใช่ข้อผูกมัดที่ต้องทำเสมอไป
Call คือสิทธิ์ในการซื้อ ในขณะที่ Put คือสิทธิ์ในการขาย ซึ่งทั้งสองแบบถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเก็งกำไร การป้องกันความเสี่ยง (hedging) และการสร้างรายได้
ด้วยความที่ออปชั่นสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการควบคุมความเสี่ยง
ในเนื้อหาต่อไป เราจะอธิบายอย่างละเอียดว่า Call กับ Put คืออะไร วิธีการทำงาน รูปแบบกำไรและขาดทุน กลยุทธ์ที่ใช้กันบ่อย ความเสี่ยงที่ควรรู้ และตอบคำถามที่พบบ่อย
ออปชั่น (Options) คือสัญญาทางการเงินที่มอบความยืดหยุ่นให้กับเทรดเดอร์มากกว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ แตกต่างจากการซื้อหุ้นโดยตรงที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ออปชั่นเปิดโอกาสให้คุณควบคุมมูลค่าของสินทรัพย์ ได้ด้วยต้นทุนเพียงเล็กน้อย
เทรดเดอร์มักใช้ออปชั่นด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ ได้แก่:
การเก็งกำไร : คาดการณ์ทิศทางของตลาดโดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง
การป้องกันความเสี่ยง : คุ้มครองการลงทุนที่มีอยู่จากการขาดทุน เสมือนการซื้อประกัน
การสร้างรายได้ : ขายออปชั่นเพื่อเก็บค่าพรีเมียม มักใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุน
ในทุกการใช้งาน องค์ประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ก็คือ Call กับ Put
เนื่องจาก Call กับ Put คือแกนหลักของการเทรดออปชั่น ขั้นแรกจึงควรเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานที่ใช้กำหนดตลาดนี้:
1) สินทรัพย์อ้างอิง :
หุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ออปชั่นอ้างอิงอยู่ เช่น Call Option ของหุ้น Apple จะผูกสิทธิ์ไว้กับหุ้น Apple
2) ราคาใช้สิทธิ์:
ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงได้ผ่านออปชั่น
3) วันหมดอายุ:
วันที่สัญญาออปชั่นจะสิ้นสุดลง
4) ค่าพรีเมียม:
ราคาที่ผู้ซื้อจ่ายให้ผู้ขายเพื่อถือครองออปชั่น และเป็นความเสี่ยงสูงสุดของผู้ซื้อ
5) In-the-Money, At-the-Money, Out-of-the-Money:
คำที่ใช้อธิบายว่าออปชั่นมีมูลค่าในตัวเอง (Intrinsic Value) ที่ระดับราคาตลาดปัจจุบันหรือไม่
เมื่อเข้าใจคำเหล่านี้แล้ว เราก็พร้อมที่จะไปทำความรู้จักกับสัญญาออปชั่นสองประเภทหลัก คือ Call กับ Put
Call Option คือสิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ข้อบังคับ) ที่ให้ผู้ถือสามารถซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) ภายในหรือก่อนวันหมดอายุ
ใครใช้ Call?
เทรดเดอร์ที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้น มักซื้อ Call เพื่อเก็งกำไร
นักลงทุนที่ต้องการล็อกราคาซื้อในอนาคต ก็นิยมใช้ Call เช่นกัน
โปรไฟล์กำไรและขาดทุน
ผู้ซื้อ Call: ขาดทุนสูงสุดเท่ากับ ค่าพรีเมียม ที่จ่ายไป แต่กำไรมีโอกาส ไม่จำกัด หากราคาสินทรัพย์ปรับขึ้นสูง
ผู้ขาย Call: ได้ค่าพรีเมียมล่วงหน้า แต่มีความเสี่ยงขาดทุน ไม่จำกัด หากราคาสินทรัพย์พุ่งสูงเกินคาด
ตัวอย่างจริง
คุณซื้อ Call ของบริษัท A ที่ราคาใช้สิทธิ์ £100 โดยจ่ายพรีเมียม £5
หากราคาหุ้นขึ้นไปที่ £120 ก่อนหมดอายุ ค่าออปชั่นของคุณ = £20 (120 – 100)
หักพรีเมียม £5 จะเหลือกำไรสุทธิ £15 ต่อหุ้น
Put Option คือสิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ข้อบังคับ) ที่ให้ผู้ถือสามารถขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) ภายในหรือก่อนวันหมดอายุ
ใครใช้ Put?
เทรดเดอร์ที่คาดว่าราคาจะปรับตัวลง มักซื้อ Put เพื่อทำกำไร
นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่แล้ว มักซื้อ Put เพื่อทำหน้าที่เป็น “ประกัน” หากราคาหุ้นร่วงแรง
โปรไฟล์กำไรและขาดทุน
ผู้ซื้อ Put: ขาดทุนสูงสุดเท่ากับ ค่าพรีเมียม แต่กำไรอาจสูงมากหากราคาสินทรัพย์ร่วงลงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์
ผู้ขาย Put: ได้พรีเมียมเป็นกำไรสูงสุด แต่มีความเสี่ยงขาดทุนมากหากราคาหุ้นตกต่ำลง
ตัวอย่างจริง
คุณถือหุ้นบริษัท B ที่ราคาปัจจุบัน £50 และซื้อ Put ที่ราคาใช้สิทธิ์ £48 ด้วยค่าพรีเมียม £2
หากราคาหุ้นตกลงเหลือ £40 คุณยังสามารถขายได้ที่ £48
เท่ากับคุณป้องกันการขาดทุนไว้ได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง £2 สำหรับการประกันนี้
คุณสมบัติ | Call Option | Put Option |
สิทธิ์ที่ได้รับ | สิทธิ์ในการซื้อ | สิทธิ์ในการขาย |
แนวโน้มตลาด | ขาขึ้น (คาดว่าราคาจะเพิ่ม) | ขาลง (คาดว่าราคาจะลด) |
การขาดทุนสูงสุดของผู้ซื้อ | ค่าพรีเมียมที่จ่าย | ค่าพรีเมียมที่จ่าย |
กำไรสูงสุดของผู้ซื้อ | ไม่จำกัด (ตามราคาที่ขึ้นได้เรื่อย ๆ) | มีนัยสำคัญ (ได้สูงสุดหากราคาลดลงจนเหลือศูนย์) |
เมื่อคุณเข้าใจ Call กับ Put แยกกันแล้ว ขั้นต่อไปคือการนำมาประยุกต์เป็นกลยุทธ์ขั้นสูง เช่น:
Covered Calls: ถือหุ้นไว้ และขาย Call ทับบนหุ้นที่ถือเพื่อสร้างรายได้เสริมจากค่าพรีเมียม
Protective Puts: ถือหุ้นไว้ และซื้อ Put เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
Spreads: ซื้อและขายออปชั่นที่ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) หรือวันหมดอายุที่ต่างกัน เพื่อปรับสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
บทบาทของเวลาและความผันผวน: ราคาของออปชั่นได้รับอิทธิพลจาก Time Decay (ค่าเวลาลดลงเมื่อใกล้วันหมดอายุ) และ Implied Volatility (ความคาดหวังของการแกว่งตัวในอนาคต)
กลยุทธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Call กับ Put ไม่ได้เป็นเพียงการเดิมพันทิศทางตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการความเสี่ยงอย่างแม่นยำ
แม้ออปชั่นจะเปิดโอกาส แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูง:
ผู้ซื้อสี่ยงเสียค่าพรีเมียมทั้งหมด หากออปชั่นหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า
Time Decay ทำให้มูลค่าออปชั่นลดลงเรื่อย ๆ หากราคาสินทรัพย์ไม่เคลื่อนไหวตามคาด
ผู้ขายอาจเผชิญการขาดทุนไม่จำกัด หากไม่มีสินทรัพย์อ้างอิงค้ำประกัน (Uncovered)
สภาพคล่องและค่าธรรมเนียมอาจกัดกินกำไร
ดังนั้น การวางแผนอย่างรอบคอบและมีวินัย คือสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรดที่ใช้ออปชั่น
1) Call ที่ทำกำไร
นักลงทุนซื้อ Call บนหุ้นที่ราคาใช้สิทธิ์ £100 โดยจ่ายพรีเมียม £5
ราคาหุ้นขึ้นไปที่ £120 → ออปชั่นมีมูลค่า £20
หักพรีเมียม £5 → กำไรสุทธิ £15 ต่อหุ้น
2) Put ที่ขาดทุน
เทรดเดอร์ซื้อ Put ที่ราคาใช้สิทธิ์ £50 โดยจ่ายพรีเมียม £3
ราคาหุ้นอยู่ที่ £52 จนถึงวันหมดอายุ
ออปชั่นหมดอายุไร้ค่า → ขาดทุนเท่ากับพรีเมียม £3
3) หมดอายุไร้มูลค่า
ออปชั่นจำนวนมากหมดอายุโดยไม่มีค่า
ผู้ซื้อสูญเสียค่าพรีเมียม
ผู้ขายเก็บพรีเมียมไว้เป็นกำไร
ตัวอย่างเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่าออปชั่นสามารถสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้ในเวลาเดียวกัน
โดยพื้นฐานแล้ว Call คือสิทธิ์ในการซื้อ และ Put คือสิทธิ์ในการขาย ทั้งสองสามารถใช้แยกกันได้ แต่พลังที่แท้จริงของออปชั่นจะปรากฏเมื่อถูกนำมาประยุกต์เป็นกลยุทธ์ที่หลากหลาย
การเข้าใจและเชี่ยวชาญเครื่องมือทั้งสองนี้ ช่วยให้เทรดเดอร์มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับตลาด ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์
1. ถ้าออปชั่นหมดอายุแบบ Out-of-the-Money จะเกิดอะไรขึ้น?
ออปชั่นจะหมดมูลค่า ในฐานะผู้ซื้อ คุณจะสูญเสียค่าพรีเมียมที่จ่ายไป ในฐานะผู้ขาย คุณจะเก็บค่าพรีเมียมไว้เป็นกำไร
2. ความแตกต่างระหว่าง American Option กับ European Option คืออะไร?
American Option สามารถใช้สิทธิ์ได้ทุกเมื่อก่อนวันหมดอายุ ส่วน European Option ใช้สิทธิ์ได้เฉพาะในวันหมดอายุเท่านั้น
3. ราคาของออปชั่นถูกกำหนดอย่างไร?
ราคาของออปชั่นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง, ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price), เวลาที่เหลือก่อนหมดอายุ, ความผันผวน (Volatility), อัตราดอกเบี้ย และเงินปันผล โดยราคาจะประกอบด้วย มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) และ มูลค่าเวลา (Time Value)
4. มือใหม่สามารถเทรดออปชั่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?
ได้ แต่ต้องเริ่มจากกลยุทธ์พื้นฐาน ใช้เงินลงทุนในระดับเล็ก และเข้าใจว่าออปชั่นอาจหมดอายุไร้มูลค่า กลยุทธ์ง่าย ๆ เช่น Protective Put หรือ Covered Call เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ