วิธีสังเกตการกลับตัวแนวโน้มด้วยโครงสร้างตลาด Forex

2025-06-18
สรุป

เรียนรู้การอ่านโครงสร้างตลาด Forex โดยใช้จุดสูงสุด/ต่ำสุด, BoS, ChoCH และการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เพื่อเทรดอย่างแม่นยำมากขึ้น

ในโลกของตลาด Forex "ราคา"  คือสิ่งที่บอกทุกอย่าง ทุกจังหวะขึ้นหรือลงบนกราฟ ไม่ว่าจะเป็นการสวิงขึ้นสูงหรือร่วงลงแรง ล้วนสะท้อนถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์ อุปทาน และความรู้สึกของนักเทรดในขณะนั้น หากต้องการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดจำเป็นต้องเข้าใจ "โครงสร้างตลาด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการอ่านพฤติกรรมของราคา และช่วยคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ


โครงสร้างตลาดต่างจากอินดิเคเตอร์ที่มักตามหลังราคา โครงสร้างตลาดช่วยให้เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ผ่านรูปแบบต่าง ๆ ที่สะท้อนอำนาจของฝั่งซื้อและฝั่งขาย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างตลาด Forex ตั้งแต่แนวโน้ม การเบรกเอาท์ แนวรับแนวต้าน ไปจนถึงวิธีประยุกต์ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรดแต่ละครั้ง


พื้นฐานของโครงสร้างตลาด: HH/HL และ LH/LL

พื้นฐานของโครงสร้างตลาด: HH/HL และ LH/LL

แก่นสำคัญของการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด คือการระบุ “จุดกลับตัว” หรือจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคา (Swing Highs และ Swing Lows) ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นทิศทางของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน:

  • หากเป็นโครงสร้างขาขึ้น (Bullish Structure) ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High: HH) และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low: HL)

  • หากเป็นโครงสร้างขาลง (Bearish Structure) ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High: LH) และจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Low: LL)


ลำดับของโครงสร้างขาขึ้นบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โครงสร้างขาลงสะท้อนแรงขายที่ยังคงกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง การรู้จักสังเกตรูปแบบเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้นักเทรดสามารถวางตำแหน่งการเทรดให้สอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบัน


ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD เพิ่งสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเหนือระดับแนวต้านเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าฝั่งซื้อเริ่มเข้าควบคุมตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเปิดสถานะซื้อ (Long) ในทางกลับกัน หากราคาเริ่มสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ก็อาจสะท้อนถึงแรงขายต่อเนื่อง และเป็นโอกาสในการมองหาจุดเปิดสถานะขาย (Short)

Break of Structure (BoS) และ Change of Character (ChoCH)

Break of Structure(BoS)และChange of Character(ChoCH) 

แม้ว่าแนวโน้มจะช่วยบอกทิศทางของตลาดโดยรวม แต่สิ่งที่ช่วยให้นักเทรดมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแรงส่งในตลาดอย่างชัดเจน คือ การเบรกโครงสร้าง (Break of Structure: BoS) และการเปลี่ยนแปลงลักษณะพฤติกรรมของราคา (Change of Character: ChoCH)

  • Break of Structure (BoS) คือการที่ราคาทะลุผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มเดิมยังคงดำเนินต่อไป

  • Change of Character (ChoCH) คือสัญญาณเริ่มต้นของการกลับทิศของแนวโน้ม เช่น ตลาดขาลงที่เริ่มสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น หรือตลาดขาขึ้นที่เริ่มทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง


แนวคิดทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดสาย Swing และ Scalping เพราะต้องอาศัยการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเพื่อใช้ในการเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ การระบุ BoS หรือ ChoCH ได้ทันเวลา จะช่วยให้นักเทรดประเมินได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไป หรือกำลังเข้าสู่แนวโน้มใหม่


ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน GBP/USD มีรูปแบบการทำจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่จู่ ๆ ราคากลับทะลุผ่าน swing high ล่าสุด (เกิด BoS) นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลง และหากตามมาด้วยการเกิดจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (เกิด ChoCH) ก็อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นใหม่กำลังก่อตัวขึ้น


แนวโน้ม ช่วงพักตัว และระยะไร้ทิศทาง (Sideways)

ตลาด Forex ไม่ได้อยู่ในภาวะแนวโน้มเสมอไป การรู้จักแยกแยะช่วงที่ราคากำลังพักตัวหรือเคลื่อนไหวแบบไม่มีทิศทางชัดเจน จึงสำคัญพอ ๆ กับการมองเห็นแนวโน้ม โดยทั่วไป พฤติกรรมราคามักหมุนเวียนอยู่ใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่:

  • แนวโน้ม (Trending): ราคามีทิศทางชัดเจน เช่น มีรูปแบบ HH/HL ในขาขึ้นหรือ LH/LL ในขาลง

  • ช่วงพักตัว (Ranging): ราคาสวิงขึ้นลงระหว่างแนวรับแนวต้านแนวนอน

  • ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transitional หรือ Sideways): ช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแบบไม่ชัดเจน มักเกิดก่อนการเบรกเอาท์หรือการกลับตัว


การเข้าใจว่าอยู่ในช่วงใดของโครงสร้างตลาด มีความสำคัญต่อการเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสม เช่น กลยุทธ์ตามแนวโน้มจะใช้ได้ผลดีในช่วงมีทิศทางชัดเจน ขณะที่กลยุทธ์เทรดในกรอบ (Range Trading) จะได้ผลดีกว่าในช่วงพักตัว


ตัวอย่างเช่น คู่เงิน AUD/USD อาจเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 0.6600 ถึง 0.6700 ต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ หากมีการเบรกกรอบราคาพร้อมแรงส่งที่ชัดเจน และมีสัญญาณ Break of Structure (BoS) ก็อาจหมายถึงการกลับเข้าสู่ภาวะแนวโน้มอีกครั้ง การหลีกเลี่ยงช่วงที่ราคาผันผวนไร้ทิศทางจะช่วยลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกและเสียงรบกวนของตลาด


กลไกของแนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้านคือพื้นฐานสำคัญของโครงสร้างตลาด ไม่ใช่แค่จุดทางจิตวิทยา แต่คือบริเวณที่คำสั่งซื้อขายหนาแน่น สภาพคล่องสะสม และราคามักตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญ

  • แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามามากกว่าการขาย ทำให้ราคาหยุดปรับตัวลง

  • แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่แรงขายมีมากกว่าแรงซื้อ ส่งผลให้ราคาหยุดปรับตัวขึ้น


ในแง่ของโครงสร้างตลาด จุดสูงหรือต่ำก่อนหน้า (swing highs/lows) มักกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านในอนาคต โดยบริเวณเหล่านี้จะมีความสำคัญยิ่งขึ้น หากสอดคล้องกับตัวเลขกลม ๆ (เช่น 155.00) ระดับ Fibonacci หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


ตัวอย่างเช่น หาก USD/JPY เบรกเหนือระดับ 155.00 ซึ่งเคยเป็นแนวต้าน และกลับมาทดสอบระดับนี้อีกครั้งในฐานะ “แนวรับ” ก็แสดงถึงโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแรง นักเทรดอาจใช้จุดนี้ในการวางแผนเข้าเทรดระหว่างการย่อตัว หรือกำหนดตำแหน่ง stop-loss อย่างมีเหตุผล


การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis) และโครงสร้างแบบ Fractals

หนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเสริมความแม่นยำในการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด คือ การใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เพราะแนวโน้มและโครงสร้างของตลาดมีลักษณะเป็น“Fractal”หรือเกิดซ้ำในทุกกรอบเวลา นั่นหมายความว่าโครงสร้างขาลงในกรอบเวลา 15 นาที อาจเป็นเพียงการพักตัวภายในแนวโน้มขาขึ้นของกราฟ 4 ชั่วโมงก็ได้


การประเมินโครงสร้างตลาดในหลายกรอบเวลาจะช่วยให้นักเทรดสามารถ:

  • มองเห็นแนวโน้มของกรอบเวลาใหญ่ เพื่อเทรดให้สอดคล้องกับทิศทางหลักของตลาด

  • ใช้กรอบเวลาที่เล็กลงในการหาโอกาสเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น

  • ระบุสัญญาณที่ขัดแย้งกัน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะที่ตลาดยังไร้ทิศทางชัดเจน (Sideway)


ตัวอย่างการวิเคราะห์ GBP/USD หลายกรอบเวลา:

  • กราฟรายวัน (Daily) แสดงแนวโน้มขาขึ้นโดยมี HH และ HL ชัดเจน

  • กราฟรายชั่วโมง (1H) กลับมีโครงสร้างขาลงชั่วคราวโดยแสดง LH และ LL

  • กราฟ 15 นาที อาจเริ่มแสดงสัญญาณ Break of Structure (BoS) บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นใหญ่กำลังกลับมา


การมองตลาดแบบหลายชั้นเช่นนี้ ช่วยให้นักเทรดหลีกเลี่ยงการเทรดย้อนทิศของแรงส่งหลัก และช่วยให้สามารถหาเซ็ตอัปที่มีความน่าจะเป็นสูงได้มากขึ้น


สรุป


การอ่านโครงสร้างตลาดถือเป็นหนึ่งในวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาของตลาด Forex โดยการเข้าใจว่าจุดสูงและจุดต่ำเกิดขึ้นอย่างไร การสังเกตการเบรกโครงสร้างและการเปลี่ยนแนวโน้ม ตลอดจนการนำโซนแนวรับแนวต้าน และบริบทจากหลายกรอบเวลามาประกอบ นักเทรดจะสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอินดิเคเตอร์ที่ล่าช้า


โครงสร้างตลาดไม่ใช่เครื่องมือทำนายอนาคต แต่เป็นเครื่องมือสำหรับ “อ่านปัจจุบัน” และเมื่อใช้อย่างมีวินัยร่วมกับการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างมีระบบในตลาดที่มักผันผวนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้เสมอ


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

อธิบาย ETF XLU ใน 4 ประเด็นง่ายๆ

อธิบาย ETF XLU ใน 4 ประเด็นง่ายๆ

แยกย่อยสิ่งสำคัญของ ETF XLU ตั้งแต่การมุ่งเน้นตามภาคส่วนไปจนถึงบทบาทในพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย

2025-08-11
รูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องเทียบกับตัวบ่งชี้

รูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องเทียบกับตัวบ่งชี้

เปรียบเทียบรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องกับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อดูว่ารูปแบบใดเหมาะกับกลยุทธ์ของคุณที่สุด

2025-08-11
รู้จัก S&P 500 คืออะไร ดัชนีที่ครองใจนักลงทุนทั่วโลก

รู้จัก S&P 500 คืออะไร ดัชนีที่ครองใจนักลงทุนทั่วโลก

ดัชนี S&P 500 คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ ที่สะท้อนเศรษฐกิจอเมริกา เจาะลึกโครงสร้างเกณฑ์คัดเลือก พร้อมแนะนำกองทุน ETF S&P 500

2025-08-08