简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

วิธีสังเกตการกลับตัวแนวโน้มด้วยโครงสร้างตลาด Forex

เผยแพร่เมื่อ: 2025-06-18    อัปเดตเมื่อ: 2025-06-19

ในโลกของตลาด Forex "ราคา"  คือสิ่งที่บอกทุกอย่าง ทุกจังหวะขึ้นหรือลงบนกราฟ ไม่ว่าจะเป็นการสวิงขึ้นสูงหรือร่วงลงแรง ล้วนสะท้อนถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์ อุปทาน และความรู้สึกของนักเทรดในขณะนั้น หากต้องการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ นักเทรดจำเป็นต้องเข้าใจ "โครงสร้างตลาด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการอ่านพฤติกรรมของราคา และช่วยคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ


โครงสร้างตลาดต่างจากอินดิเคเตอร์ที่มักตามหลังราคา โครงสร้างตลาดช่วยให้เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ผ่านรูปแบบต่าง ๆ ที่สะท้อนอำนาจของฝั่งซื้อและฝั่งขาย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างตลาด Forex ตั้งแต่แนวโน้ม การเบรกเอาท์ แนวรับแนวต้าน ไปจนถึงวิธีประยุกต์ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรดแต่ละครั้ง


พื้นฐานของโครงสร้างตลาด: HH/HL และ LH/LL

พื้นฐานของโครงสร้างตลาด: HH/HL และ LH/LL

แก่นสำคัญของการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด คือการระบุ “จุดกลับตัว” หรือจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคา (Swing Highs และ Swing Lows) ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นทิศทางของแนวโน้มได้อย่างชัดเจน:

  • หากเป็นโครงสร้างขาขึ้น (Bullish Structure) ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher High: HH) และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low: HL)

  • หากเป็นโครงสร้างขาลง (Bearish Structure) ราคาจะสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High: LH) และจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Low: LL)


ลำดับของโครงสร้างขาขึ้นบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โครงสร้างขาลงสะท้อนแรงขายที่ยังคงกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง การรู้จักสังเกตรูปแบบเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้นักเทรดสามารถวางตำแหน่งการเทรดให้สอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบัน


ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD เพิ่งสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเหนือระดับแนวต้านเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าฝั่งซื้อเริ่มเข้าควบคุมตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการพิจารณาเปิดสถานะซื้อ (Long) ในทางกลับกัน หากราคาเริ่มสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ก็อาจสะท้อนถึงแรงขายต่อเนื่อง และเป็นโอกาสในการมองหาจุดเปิดสถานะขาย (Short)

Break of Structure (BoS) และ Change of Character (ChoCH)

Break of Structure(BoS)และChange of Character(ChoCH) 

แม้ว่าแนวโน้มจะช่วยบอกทิศทางของตลาดโดยรวม แต่สิ่งที่ช่วยให้นักเทรดมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแรงส่งในตลาดอย่างชัดเจน คือ การเบรกโครงสร้าง (Break of Structure: BoS) และการเปลี่ยนแปลงลักษณะพฤติกรรมของราคา (Change of Character: ChoCH)

  • Break of Structure (BoS) คือการที่ราคาทะลุผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มเดิมยังคงดำเนินต่อไป

  • Change of Character (ChoCH) คือสัญญาณเริ่มต้นของการกลับทิศของแนวโน้ม เช่น ตลาดขาลงที่เริ่มสร้างจุดสูงสุดที่สูงขึ้น หรือตลาดขาขึ้นที่เริ่มทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง


แนวคิดทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดสาย Swing และ Scalping เพราะต้องอาศัยการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเพื่อใช้ในการเข้าและออกจากตลาดอย่างแม่นยำ การระบุ BoS หรือ ChoCH ได้ทันเวลา จะช่วยให้นักเทรดประเมินได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไป หรือกำลังเข้าสู่แนวโน้มใหม่


ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน GBP/USD มีรูปแบบการทำจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่จู่ ๆ ราคากลับทะลุผ่าน swing high ล่าสุด (เกิด BoS) นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลง และหากตามมาด้วยการเกิดจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (เกิด ChoCH) ก็อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นใหม่กำลังก่อตัวขึ้น


แนวโน้ม ช่วงพักตัว และระยะไร้ทิศทาง (Sideways)

ตลาด Forex ไม่ได้อยู่ในภาวะแนวโน้มเสมอไป การรู้จักแยกแยะช่วงที่ราคากำลังพักตัวหรือเคลื่อนไหวแบบไม่มีทิศทางชัดเจน จึงสำคัญพอ ๆ กับการมองเห็นแนวโน้ม โดยทั่วไป พฤติกรรมราคามักหมุนเวียนอยู่ใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่:

  • แนวโน้ม (Trending): ราคามีทิศทางชัดเจน เช่น มีรูปแบบ HH/HL ในขาขึ้นหรือ LH/LL ในขาลง

  • ช่วงพักตัว (Ranging): ราคาสวิงขึ้นลงระหว่างแนวรับแนวต้านแนวนอน

  • ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transitional หรือ Sideways): ช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแบบไม่ชัดเจน มักเกิดก่อนการเบรกเอาท์หรือการกลับตัว


การเข้าใจว่าอยู่ในช่วงใดของโครงสร้างตลาด มีความสำคัญต่อการเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสม เช่น กลยุทธ์ตามแนวโน้มจะใช้ได้ผลดีในช่วงมีทิศทางชัดเจน ขณะที่กลยุทธ์เทรดในกรอบ (Range Trading) จะได้ผลดีกว่าในช่วงพักตัว


ตัวอย่างเช่น คู่เงิน AUD/USD อาจเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 0.6600 ถึง 0.6700 ต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ หากมีการเบรกกรอบราคาพร้อมแรงส่งที่ชัดเจน และมีสัญญาณ Break of Structure (BoS) ก็อาจหมายถึงการกลับเข้าสู่ภาวะแนวโน้มอีกครั้ง การหลีกเลี่ยงช่วงที่ราคาผันผวนไร้ทิศทางจะช่วยลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอกและเสียงรบกวนของตลาด


กลไกของแนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้านคือพื้นฐานสำคัญของโครงสร้างตลาด ไม่ใช่แค่จุดทางจิตวิทยา แต่คือบริเวณที่คำสั่งซื้อขายหนาแน่น สภาพคล่องสะสม และราคามักตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญ

  • แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามามากกว่าการขาย ทำให้ราคาหยุดปรับตัวลง

  • แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่แรงขายมีมากกว่าแรงซื้อ ส่งผลให้ราคาหยุดปรับตัวขึ้น


ในแง่ของโครงสร้างตลาด จุดสูงหรือต่ำก่อนหน้า (swing highs/lows) มักกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านในอนาคต โดยบริเวณเหล่านี้จะมีความสำคัญยิ่งขึ้น หากสอดคล้องกับตัวเลขกลม ๆ (เช่น 155.00) ระดับ Fibonacci หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


ตัวอย่างเช่น หาก USD/JPY เบรกเหนือระดับ 155.00 ซึ่งเคยเป็นแนวต้าน และกลับมาทดสอบระดับนี้อีกครั้งในฐานะ “แนวรับ” ก็แสดงถึงโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแรง นักเทรดอาจใช้จุดนี้ในการวางแผนเข้าเทรดระหว่างการย่อตัว หรือกำหนดตำแหน่ง stop-loss อย่างมีเหตุผล


การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis) และโครงสร้างแบบ Fractals

หนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเสริมความแม่นยำในการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด คือ การใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เพราะแนวโน้มและโครงสร้างของตลาดมีลักษณะเป็น“Fractal”หรือเกิดซ้ำในทุกกรอบเวลา นั่นหมายความว่าโครงสร้างขาลงในกรอบเวลา 15 นาที อาจเป็นเพียงการพักตัวภายในแนวโน้มขาขึ้นของกราฟ 4 ชั่วโมงก็ได้


การประเมินโครงสร้างตลาดในหลายกรอบเวลาจะช่วยให้นักเทรดสามารถ:

  • มองเห็นแนวโน้มของกรอบเวลาใหญ่ เพื่อเทรดให้สอดคล้องกับทิศทางหลักของตลาด

  • ใช้กรอบเวลาที่เล็กลงในการหาโอกาสเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น

  • ระบุสัญญาณที่ขัดแย้งกัน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะที่ตลาดยังไร้ทิศทางชัดเจน (Sideway)


ตัวอย่างการวิเคราะห์ GBP/USD หลายกรอบเวลา:

  • กราฟรายวัน (Daily) แสดงแนวโน้มขาขึ้นโดยมี HH และ HL ชัดเจน

  • กราฟรายชั่วโมง (1H) กลับมีโครงสร้างขาลงชั่วคราวโดยแสดง LH และ LL

  • กราฟ 15 นาที อาจเริ่มแสดงสัญญาณ Break of Structure (BoS) บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นใหญ่กำลังกลับมา


การมองตลาดแบบหลายชั้นเช่นนี้ ช่วยให้นักเทรดหลีกเลี่ยงการเทรดย้อนทิศของแรงส่งหลัก และช่วยให้สามารถหาเซ็ตอัปที่มีความน่าจะเป็นสูงได้มากขึ้น


สรุป


การอ่านโครงสร้างตลาดถือเป็นหนึ่งในวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาของตลาด Forex โดยการเข้าใจว่าจุดสูงและจุดต่ำเกิดขึ้นอย่างไร การสังเกตการเบรกโครงสร้างและการเปลี่ยนแนวโน้ม ตลอดจนการนำโซนแนวรับแนวต้าน และบริบทจากหลายกรอบเวลามาประกอบ นักเทรดจะสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอินดิเคเตอร์ที่ล่าช้า


โครงสร้างตลาดไม่ใช่เครื่องมือทำนายอนาคต แต่เป็นเครื่องมือสำหรับ “อ่านปัจจุบัน” และเมื่อใช้อย่างมีวินัยร่วมกับการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างมีระบบในตลาดที่มักผันผวนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้เสมอ


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
เจาะลึก Rejection Block vs Breaker Block เคล็ดลับจุดเข้าเทรดแม่นยำ
Smart Money Concept คืออะไร? คำแนะนำฉบับสมบูรณ์
Liquidity Sweep คืออะไร? เข้าใจกลยุทธ์เทรด
Dow Theory คือ สูตรลับจับจังหวะตลาดหุ้นที่ไม่เคยล้าสมัย
กลยุทธ์ Breaker Block: เทรดอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ