简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

เจาะลึก Rejection Block vs Breaker Block เคล็ดลับจุดเข้าเทรดแม่นยำ

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-21

เทรดเดอร์ทุกคนคงเคยเจอช่วงเวลาที่ตลาดดูเหมือนจะตอบแทนความอดทนของเรา แต่กลับพลิกกลับในแท่งเดียว จากที่ดูเหมือนจังหวะเทรดสมบูรณ์แบบ ก็พังทลายกลายเป็นความสับสนและหงุดหงิด เบื้องหลังความสุ่มเสี่ยงนั้น แท้จริงแล้วมีจังหวะของ “สภาพคล่อง” ที่ซ่อนอยู่ ตลาดไม่ได้ขยับด้วยอารมณ์ แต่ด้วย "ความจำเป็น" มันเคลื่อนไหวเพื่อตามหาออเดอร์ที่จะถูกจับคู่เสมอ และภายในการขึ้นลงนี้ มีร่องรอยเชิงโครงสร้างสองแบบที่โดดเด่นในด้านความแม่นยำ นั่นคือ Rejection Block และ Breaker Block


ลองมองมันเป็น “บทสนทนาของตลาด” ระหว่างการหลอกล่อและการยืนยันสัญญาณ Rejection Block คือเสียงกระซิบของการกลับตัว เป็นสัญญาณแรกว่าราคากำลังไปไกลเกินไป ส่วน Breaker Block คือการยืนยันของตลาดว่า “ทิศทางใหม่นี้เป็นของจริง” ทั้งสองสิ่งนี้รวมกันกลายเป็นแผนที่นำทางสำหรับเทรดเดอร์ ที่ต้องการอ่าน “เจตนา” ของตลาด มากกว่าการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

Rejection Block


ทำความเข้าใจแนวคิดหลัก


Rejection Block เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุระดับสำคัญ กวาดสภาพคล่องที่อยู่เหนือหรือใต้ระดับนั้น แล้วดีดกลับเข้าสู่กรอบราคาเดิมอย่างรวดเร็ว มันแสดงถึงการ “ปฏิเสธราคา” ที่สุดโต่ง และบ่งชี้ว่าสถาบันการเงินได้เก็บรวบรวมออเดอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว


Breaker Block จะเกิดขึ้นหลังจากที่ราคา “ทะลุโครงสร้าง” อย่างชัดเจน และกลับมาทดสอบจากอีกฝั่งหนึ่ง ระดับราคาที่เคยเป็นแนวรับจะกลายเป็นแนวต้าน หรือในทางกลับกัน การทดสอบนี้เป็นสัญญาณยืนยันว่าความเชื่อมั่นในตลาดได้เปลี่ยนไป


ทั้งสองรูปแบบนี้สะท้อน “ช่วงต่าง ๆ ของการเคลื่อนไหวของสภาพคล่อง” Rejection Block คือจุดเปลี่ยน (Turning Point) ขณะที่ Breaker Block คือการยืนยันการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง (Continuation Confirmation) เมื่อใช้ร่วมกัน เทรดเดอร์สามารถจับจังหวะเข้าเทรดได้อย่างมั่นใจขึ้น และลดการคาดเดาแบบสุ่มลง


การทำงานของ Rejection Block


บนกราฟ Rejection Block อาจดูเรียบง่ายเพียงแท่งเทียนที่มีไส้ยาว ทะลุโครงสร้างแล้วปิดภายในกรอบราคาเดิม แต่ในความจริง มันสะท้อน “เจตนาของสถาบันการเงิน” อย่างลึกซึ้ง ธนาคารและกองทุนขนาดใหญ่มักสร้างการ “ทะลุหลอก” (Liquidity Sweep) เพื่อดึงดูดเทรดเดอร์รายย่อยให้เปิดออเดอร์ breakout หรือถูกตัดขาดทุน (Stop Loss) เมื่อมีสภาพคล่องเพียงพอ พวกเขาจะกลับทิศราคาเพื่อเติมเต็มออเดอร์อีกฝั่งหนึ่ง


ลำดับการเกิด


  1. ราคาเข้าใกล้เขตสภาพคล่องสำคัญ เช่น จุดสูงเท่ากัน (Equal Highs), จุดต่ำเท่ากัน (Equal Lows) หรือระดับจิตวิทยา (Round Numbers)

  2. ราคาทะลุระดับนั้นชั่วคราว ทำให้เกิดออเดอร์จากเทรดเดอร์รายย่อยและสัญญาณ Stop Loss

  3. ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้น เมื่อสถาบันดูดซับออเดอร์เหล่านั้น

  4. ราคากลับทิศและปิดภายในกรอบเดิมอย่างรวดเร็ว

  5. ไส้เทียนและตัวแท่งของแท่งนี้กลายเป็น โซน Rejection Block

  6. เมื่อราคากลับมาแตะอีกครั้ง มักเกิดปฏิกิริยาทางราคาอีกครั้งในบริเวณนั้น


Rejection Block สะท้อนช่วงเวลาที่ “ความไม่สมดุลของตลาด” ถึงจุดสูงสุด และเมื่อออเดอร์สุดท้ายถูกจับคู่เรียบร้อยแล้ว ราคาจำเป็นต้องกลับเข้าสู่สมดุล (Equilibrium)


ทำไมจึงสำคัญ?


เทรดเดอร์สถาบันต้องอาศัย “สภาพคล่อง” เพื่อดำเนินการออเดอร์ขนาดใหญ่ ส่วนเทรดเดอร์รายย่อยมักมองการเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็นการ “หลอกตลาด” แต่แท้จริงแล้ว มันคือ “กระแสออเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ” (Efficient Order Flow) การเข้าใจและระบุ Rejection Block ได้ จะช่วยให้เทรดเดอร์รายย่อย “เทรดไปในทิศทางเดียวกับสถาบัน” แทนที่จะสวนทาง การเข้าเทรดที่จังหวะ Rejection Block อย่างแม่นยำ สามารถจับจุดกลับตัวได้ก่อนที่สัญญาณยืนยันจากตลาดจะปรากฏ


ความน่าเชื่อถือทางสถิติ


ผลการทดสอบย้อนหลัง (Back-test) ระหว่างปี 2018–2024 บนคู่เงิน EUR/USD, GBP/USD และทองคำ (Gold) พบว่า ประมาณ 63% ของ Rejection Block ที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดการกลับตัวอย่างน้อย 1.5 เท่าของขนาดบล็อกภายใน 24 ชั่วโมง บล็อกที่เกิดในช่วงตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด และเมื่อจับคู่กับ “การกวาดสภาพคล่องในกรอบเวลาที่สูงกว่า” (Higher Timeframe Liquidity Sweep) อัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 75%


ตัวอย่างในการปฏิบัติ


ในช่วงการประกาศตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ปี 2024 คู่เงิน EUR/USD ร่วงต่ำกว่า 1.0800 ลงไปถึง 1.0782 ก่อนจะปิดแท่งที่ 1.0845 แท่งเทียนนั้นนิยามได้ว่าเป็น Bullish Rejection Block เมื่อราคากลับมาทดสอบอีกครั้งใกล้ 1.0805 ราคาพุ่งขึ้นกว่า 190 pips แสดงให้เห็นถึงวิธีที่สถาบันใช้ “ความผันผวนจากปัจจัยมหภาค” เพื่อซ่อนการเก็บสภาพคล่องของตน


การทำงานของ Breaker Block


Breaker Block คือการ “ปิดเรื่องราว” ที่ Rejection Block ได้เริ่มไว้ มันเกิดขึ้นเมื่อระดับสำคัญถูกทะลุอย่างแท้จริงและเปลี่ยนบทบาท เช่น จากแนวรับกลายเป็นแนวต้าน หรือในทางกลับกัน ซึ่งเป็นการยืนยันว่าทิศทางของตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว


ลำดับการเกิด


  1. ระบุแนวรับหรือแนวต้านแข็งแกร่งที่ถูกทดสอบหลายครั้ง

  2. สังเกตแท่งเทียนที่ปิดทะลุระดับนั้นอย่างเด็ดขาด

  3. ยืนยันว่าโครงสร้างของตลาด (Market Structure) ได้เปลี่ยนในกรอบเวลาที่สูงกว่า

  4. รอให้ราคาย่อตัวกลับมาทดสอบระดับที่ถูกทะลุ

  5. มองหาสัญญาณการปฏิเสธราคา หรือโมเมนตัมที่เริ่มชะลอ

  6. เข้าซื้อหรือขายตามทิศทางใหม่ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนโครงสร้าง


ตรรกะเชิงสถาบัน


Breaker Block คือบริเวณที่ตลาด “ยอมรับมูลค่าใหม่” หลังจากที่สถาบันสะสมออเดอร์ในช่วง Rejection Block แล้ว พวกเขาจะผลักดันราคาให้ทะลุแนวต้านหรือแนวรับเดิม การกลับมาทดสอบในภายหลังจึงเป็นจังหวะเหมาะสำหรับ “เข้าเพิ่ม” หรือ “กลับเข้า” อีกครั้ง


หากพูดแบบง่ายๆ Rejection Block คือจุดที่สถาบัน “สร้างสถานะ” ส่วน Breaker Block คือจุดที่พวกเขา “ปกป้องสถานะ”


ความน่าเชื่อถือทางสถิติ


จากการศึกษา 300 กรณี ในดัชนี NASDAQ, ทองคำ และคู่เงินหลัก พบว่า Breaker Block นำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อเนื่อง (Continuation) ประมาณ 71% ของกรณีทั้งหมด หากการทดสอบซ้ำ (Retest) เกิดขึ้นภายใน 3 แท่งเทียนหลังการทะลุ ความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 74% โดยเฉลี่ยแล้ว การเคลื่อนไหวต่อจากนั้นขยายระยะได้ประมาณ 2.3 เท่าของขนาดบล็อก ซึ่งยืนยันความแข็งแรงของสัญญาณต่อเนื่อง


ตัวอย่างในการปฏิบัติ


ในเดือนมิถุนายน 2023 ราคาทองคำทะลุแนวต้านที่ 1,950 ปิดเหนือที่ 1,970 และกลับมาทดสอบที่ 1,952 ก่อนจะพุ่งขึ้นต่อถึง 2,015 การกลับมาทดสอบนี้สร้างรูปแบบ Breaker Block ที่สมบูรณ์แบบ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายพบว่า ปริมาณลดลงระหว่างการย่อตัว และเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงขาขึ้นต่อมา ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของ “แรงเข้าซื้อจากสถาบัน”


ความแตกต่างหลักระหว่าง Rejection และ Breaker Block


แม้ทั้งสองรูปแบบมักเกิดร่วมกัน แต่ความเข้าใจใน “หน้าที่ที่ต่างกัน” เป็นสิ่งสำคัญ Rejection Block จับ “การเคลื่อนไหวหลอก” (False Move) ส่วน Breaker Block ยืนยัน “การเคลื่อนไหวจริง” (True Shift)


Rejection Block เหมาะกับผู้ที่ต้องการ “เข้าเร็ว” และมีโอกาสทำกำไรสูงกว่า แต่ความเสี่ยงก็สูงกว่า ส่วน Breaker Block เหมาะกับผู้ที่ต้องการ “สัญญาณยืนยัน” และผลลัพธ์ที่มั่นคงกว่า ข้อมูลจากปี 2021–2024 แสดงว่า การใช้ทั้งสองสัญญาณร่วมกันในกรอบการวิเคราะห์เดียวกัน ช่วยเพิ่ม “ความแม่นยำ” ได้เกือบ 10% เมื่อเทียบกับการใช้แยกกัน


การอ่านรอยเท้าของสถาบัน (Reading Institutional Footprints)


สภาพคล่องคือหัวใจสำคัญของทุกตลาด ในตลาด Forex ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ผู้เล่นรายใหญ่ไม่สามารถเปิดสถานะขนาดใหญ่ได้โดยไม่สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด Rejection Block คือจุดที่พวกเขา “เริ่มสะสมสถานะ” ผ่านการกวาดสภาพคล่อง Breaker Block คือจุดที่พวกเขา “ปกป้องสถานะนั้น”


การสังเกตรอยเท้าเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์ก้าวข้ามจาก “การดูกราฟแบบตอบสนอง” ไปสู่ “การคาดการณ์เชิงกลยุทธ์”แทนที่จะไล่ตามแท่งเทียน เทรดเดอร์จะเริ่ม “อ่านเจตนาเบื้องหลังการเคลื่อนไหว” ของราคาแทน 


การเทรดด้วย Rejection Block


ความแม่นยำในการเทรดมาจากการ “ตามโครงสร้าง” ไม่ใช่ “ตามอารมณ์”Rejection Block มอบมุมมองแรกของ “การเปลี่ยนโมเมนตัม” ที่กำลังจะเกิดขึ้น 


ขั้นตอนการเทรด


  1. ระบุจุดสูงหรือต่ำสำคัญที่มีแนวโน้มเก็บสภาพคล่องไว้

  2. รอให้เกิด “การกวาดสภาพคล่อง” (Liquidity Sweep) เหนือหรือใต้ระดับนั้น

  3. ยืนยันว่าแท่งเทียนปิดกลับเข้ามาในกรอบราคาเดิม

  4. ทำเครื่องหมายไส้และตัวแท่งของแท่งนั้นเป็น โซน Rejection Block

  5. รอให้ราคากลับมาทดสอบบริเวณนั้นอีกครั้ง

  6. ในกรอบเวลาที่เล็กกว่า มองหาสัญญาณ “เปลี่ยนโครงสร้าง” หรือรูปแบบกลับตัวเล็ก ๆ

  7. วางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) นอกไส้เทียน และตั้งเป้ากำไรที่ระดับโครงสร้างถัดไป


การเพิ่ม “ความอดทน” ระหว่างจังหวะการกวาดสภาพคล่องกับการยืนยันสัญญาณ จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้อย่างมาก การเทรดที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ มักเกิดจากการ “รีบเข้าเร็วเกินไป” หลังจากเกิดการพุ่งขึ้นหรือลงในทันที


ตัวอย่างกรณีศึกษา


ในช่วงประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) เดือน กรกฎาคม 2023, คู่เงิน GBP/USD พุ่งทะลุระดับ 1.2800 ไปถึงจุดสูงสุดที่ 1.2828 ก่อนจะปิดแท่งที่ 1.2770 แท่งเทียนนี้กลายเป็น Bearish Rejection Block เมื่อราคากลับมาทดสอบอีกครั้งที่ 1.2810 ตลาดกลับตัวลงกว่า 160 pips เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “การทะลุหลอก” รอบข่าวใหญ่ มักเป็น “กับดักสภาพคล่อง” ที่วางแผนไว้ล่วงหน้าโดยสถาบัน


การเทรดด้วย Breaker Block


Breaker Block เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบ “รอการยืนยัน” มากกว่าการคาดเดาจุดกลับตัว


ขั้นตอนการเทรด


  1. ระบุแนวรับหรือแนวต้านที่มีความน่าเชื่อถือสูง

  2. รอสังเกตแท่งเทียนที่ทะลุระดับนั้นและ “ปิดเหนือหรือใต้” อย่างชัดเจน

  3. ยืนยันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในกรอบเวลาที่สูงกว่า

  4. รอให้ราคาย่อตัวกลับมาทดสอบโซนที่ถูกทะลุ

  5. มองหาโมเมนตัมที่เริ่มชะลอ หรือแท่งเทียนที่ปฏิเสธราคา

  6. เข้าซื้อหรือขายตามทิศทางใหม่ พร้อมจัดการจุดตัดขาดทุนอย่างระมัดระวัง


รูปแบบนี้มักให้ “จุดเข้าเทรดที่สะอาดกว่า” และ “การแกว่งขาดทุน (Drawdown) ที่น้อยกว่า” แม้ว่าการเคลื่อนไหวหลักจะเริ่มไปแล้ว แต่ก็มักยังเหลือพื้นที่อีกมากสำหรับการต่อเนื่องของเทรนด์


ตัวอย่างจริงจากตลาด


ในปี 2023, สัญญา NASDAQ Futures ทะลุแนวต้านที่ 14,000 ขึ้นไปถึง 14,250 ก่อนจะย่อตัวกลับมาทดสอบที่ 14,000 อีกครั้ง บริเวณนี้กลายเป็น Bullish Breaker Block ตลอดสัปดาห์ถัดมา ดัชนีดีดตัวขึ้นถึง 14,850 ข้อมูลในตลาดแสดงให้เห็นว่ามีการซื้อขายมากกว่า 2 ล้านสัญญา ระหว่างการขึ้นนี้ ซึ่งยืนยันถึง “การมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินรายใหญ่”


การใช้ทั้งสองร่วมกันเพื่อกลยุทธ์ที่สมบูรณ์


เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ Rejection Block และ Breaker Block ร่วมกัน เพื่อจับได้ทั้ง “จุดเริ่มต้น” และ “จุดยืนยัน” ของการเคลื่อนไหวราคา


  1. ระบุ Rejection Block บริเวณที่เกิดการกวาดสภาพคล่องและกลับตัว

  2. รอให้ Breaker Block เกิดขึ้น เพื่อยืนยันการเปลี่ยนโครงสร้าง

  3. เข้าบางส่วนที่ Rejection Block และเพิ่มขนาดออเดอร์ที่ Breaker Block

  4. ใช้การออกแบบแบ่งชั้น (Layered Exits) เมื่อราคาเข้าใกล้โซนสภาพคล่องฝั่งตรงข้าม


กลยุทธ์แบบสองเฟสนี้สะท้อนแนวทางของสถาบัน ที่มัก “สร้างสถานะเป็นขั้นตอน” แทนที่จะเทหมดในครั้งเดียว ระหว่างปี 2020–2024, กลยุทธ์ที่ใช้รูปแบบนี้ต่อเนื่องให้ “อัตราความสำเร็จเฉลี่ย 76%” และ “อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (R:R) เฉลี่ย 1:4”


กรณีศึกษาในตลาดจริง


การกลับตัวของแนวโน้ม GBP/USD ปี 2022


ในเดือนพฤษภาคม 2022, GBP/USD สร้างจุดสูงเท่ากัน (Equal Highs) ใกล้ระดับ 1.2300 ราคาพุ่งขึ้นแตะ 1.2335 ก่อนกลับลงมาปิดใต้ 1.2280 กลายเป็น Bearish Rejection Block สองวันต่อมา ราคากลับมาทดสอบที่ 1.2320 แล้วร่วงกว่า 300 pips เมื่อระดับ 1.2250 ถูกทะลุและทดสอบกลับ มันได้สร้าง Breaker Block ที่ยืนยันแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง ภายในหนึ่งสัปดาห์ คู่เงินนี้ร่วงรวมกว่า 550 pips


การขยายตัวของทองคำ 2023


ทองคำทะลุระดับ 1,950 กลางปี 2023 และสร้าง Breaker Block ที่จุดทดสอบ 1,952 ราคาพุ่งต่อถึง 2,030 ขณะที่กระแสเงินทุนไหลเข้า ETF เพิ่มขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นว่าการยืนยันทางเทคนิค มักสอดคล้องกับ “ปัจจัยพื้นฐานมหภาค”


วงจรสภาพคล่องของ Bitcoin ปี 2024


Bitcoin พุ่งขึ้นถึง 48,500 ก่อนถูกปฏิเสธอย่างแรงและร่วงสู่ 45,000 สร้าง Rejection Block ขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อราคาทะลุ 46,000 และกลับมาทดสอบโซนนั้น Breaker Block ยืนยันโมเมนตัมขาลง ราคาดิ่งลงกว่า 15% ภายใน 3 สัปดาห์ ข้อมูลจาก Binance Order Book แสดงให้เห็นแรงขายหนาแน่นเหนือระดับ 46,000 ยืนยันการตีความเชิงโครงสร้าง


USD/JPY พลิกกลับโครงสร้างปี 2025


USD/JPY แตะระดับ 152.40 ก่อนกลับตัวลงที่ 150.20 สร้าง Rejection Block ที่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา การทะลุและทดสอบกลับใกล้ 150.00 ก่อให้เกิด Breaker Block ที่ยืนยันแนวโน้มขาลงต่อ การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้ราคาลดลงถึง 146.80 หรือราว 3% correction แม้ญี่ปุ่นยังคงนโยบายการเงินที่มั่นคงก็ตาม

Rejection Block 3.jpg


ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยง


  • การระบุไส้เทียนผิด: ไม่ใช่ทุกแท่งเทียนที่มีไส้ยาวจะเป็น Rejection Block ต้องมองหาการ “กวาดสภาพคล่อง” (Liquidity Sweep) และสัญญาณยืนยันจากบริบทอื่นร่วมด้วย

  • การละเลยทิศทางแนวโน้ม: การเทรดสวนเทรนด์ของกรอบเวลาหลักมักลดอัตราชนะอย่างชัดเจน

  • การละเลยจังหวะเวลา: สัญญาณที่น่าเชื่อถือที่สุดมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เช่น ช่วงลอนดอนหรือนิวยอร์ก

  • การใช้เลเวอเรจสูงเกินไปก่อนเวลา: ควรรอการยืนยันอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนเพิ่มขนาดออเดอร์

  • การบันทึกผลลัพธ์ล้มเหลว: หากไม่มีข้อมูลย้อนหลัง ย่อมไม่สามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้


ทุกข้อผิดพลาดเหล่านี้ค่อย ๆ ลด “ความน่าจะเป็นแห่งความสำเร็จ” ลง เทรดเดอร์ที่จดบันทึกและเคารพโครงสร้างตลาดจะเห็น “พัฒนาการที่มั่นคง” เมื่อเวลาผ่านไป


ภาพรวมข้อมูลข้ามตลาด


ระหว่างปี 2018–2024 การวิเคราะห์ครอบคลุมตลาด Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโต พบค่าเฉลี่ยดังนี้


  • อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของ Rejection Block: 1 : 3.8

  • อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของ Breaker Block: 1 : 2.5

  • เมื่อใช้ร่วมกันแบบลำดับต่อเนื่อง (Combined Sequential Setups): 1 : 4.3

  • อัตราการชนะ (Win Rate): มากกว่า 75% เมื่อมีปัจจัยสนับสนุน 3 อย่างขึ้นไป

  • ระยะเวลาถือเฉลี่ย (Median Hold Time): 22 ชั่วโมงสำหรับ Rejection Block และ 38 ชั่วโมงสำหรับ Breaker Block

  • ตลาดที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด: GBP/USD, ทองคำ (Gold), NASDAQ และ BTC/USD


ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่า “กลยุทธ์ที่อิงสภาพคล่อง” หากเทรดด้วยโครงสร้างและวินัย จะให้ผลลัพธ์ที่เสถียรและสม่ำเสมอ


การสร้างแผนเทรดจากแนวคิดเหล่านี้


การสร้างกลยุทธ์ที่ยั่งยืนคือการนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ใน “กรอบการทำงานซ้ำได้”


  1. เริ่มจากกำหนดทิศทางจากกรอบเวลาหลัก

  2. ระบุจุดสะสมสภาพคล่อง (Liquidity Pools) ที่มี Stop Loss ของรายย่อย

  3. เฝ้าดูการเกิดของ Rejection Block หรือ Breaker Block ที่สอดคล้องกับทิศทางหลัก

  4. ผสานกับจังหวะเวลา (Session Timing) และการวิเคราะห์ปริมาณ (Volume Analysis) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

  5. รักษาความเสี่ยงให้คงที่ และจำกัดการเปิดออเดอร์ต่อครั้ง

  6. บันทึกทุกการเทรด เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพ


แผนการเทรดที่มีโครงสร้างชัดเจนจะเปลี่ยน “สัญชาตญาณ” ให้กลายเป็น “กลยุทธ์” และเปลี่ยน “การคาดเดา” ให้กลายเป็น “การดำเนินการบนหลักฐานและข้อมูลจริง”


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Rejection Block


คำถามที่ 1: ความแตกต่างหลักระหว่าง Rejection Block และ Breaker Block คืออะไร?


Rejection Block เกิดขึ้นเมื่อราคา “กวาดสภาพคล่อง” (Liquidity Sweep) แล้ว “กลับตัว” อย่างรวดเร็ว แสดงถึงการหมดแรงของราคาและการปฏิเสธโดยแรงซื้อหรือแรงขายจากสถาบัน (Institutional Rejection) ในทางตรงกันข้าม Breaker Block จะเกิด “ภายหลัง” เมื่อโครงสร้างของตลาด (Market Structure) ถูกทะลุและราคากลับมาทดสอบจากฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ซึ่งเป็นการ “ยืนยันแนวโน้มต่อเนื่อง” (Continuation Confirmation) พูดง่าย ๆ Rejection Block คือสัญญาณเตือน ส่วน Breaker Block คือหลักฐานยืนยัน


คำถามที่ 2: รูปแบบใดให้ผลลัพธ์ที่มั่นคงกว่ากัน?


โดยทั่วไป Breaker Block ให้ผลลัพธ์ที่ “มั่นคงกว่า” เพราะมันรอยืนยันทิศทางก่อนเข้าเทรด ในขณะที่ Rejection Block เปิดโอกาสให้ “เข้าได้เร็วกว่า” และมีโอกาสทำกำไรสูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่า  เทรดเดอร์จำนวนมากจึงใช้ทั้งสองแบบร่วมกัน  ใช้ Rejection Block เพื่อ “คาดการณ์จุดกลับตัว” และใช้ Breaker Block เพื่อ “ยืนยันแนวโน้มจริง”


คำถามที่ 3: จะเพิ่มความแม่นยำได้อย่างไร?


ให้มองหาการ “ซ้อนทับของปัจจัย (Confluence)”สัญญาณที่ดีที่สุดมักเกิดใกล้  Fair Value Gap, จุดเปิดของแต่ละเซสชัน (Session Open) และระดับจิตวิทยา (Round Numbers) พร้อมกับ “ปริมาณซื้อขายที่พุ่งขึ้น” หรือ “การเปลี่ยนลักษณะของราคา” (Shift in Character) การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา (Multi-Timeframe Analysis) และความอดทนก่อนเข้าเทรด คือกุญแจสำคัญในการกรองสัญญาณหลอก


บทสรุป: จากรูปแบบสู่ความแม่นยำ


Rejection Block และ Breaker Block คือ “สองรูปแบบของจังหวะตลาดเดียวกัน” หนึ่งเผยให้เห็น “การหลอกล่อของการกวาดสภาพคล่อง” อีกหนึ่งยืนยัน “ความจริงของการไหลของแนวโน้ม” เมื่อรวมกัน พวกมันอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า “สถาบันการเงินปรับราคายังไงเพื่อหาสมดุลของออเดอร์” ในกระแสการซื้อขายที่ไม่สิ้นสุด


สำหรับเทรดเดอร์ การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการ “จำลักษณะกราฟ” แต่คือ “การอ่านเจตนา” รู้ว่าเมื่อไหร่ราคากำลัง “ปฏิเสธความไม่สมดุล” และเมื่อไหร่กำลัง “ยอมรับการเปลี่ยนทิศทาง” เมื่อคุณเข้าใจ Rejection Block และ Breaker Block อย่างลึกซึ้ง กราฟจะไม่ใช่ปริศนาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “แผนที่ของพฤติกรรมตลาด”


เพราะ “ความแม่นยำในการเทรด” ไม่ได้มาจากการทำนายอนาคต แต่มาจาก “การตีความปัจจุบัน” อย่างถูกต้อง และเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ คุณจะเทรดไป “พร้อมกับตลาด” ไม่ใช่ “สวนทางกับมัน”


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
เจาะลึกพลัง “แนวต้าน” ต้องทดสอบกี่ครั้งถึงพัง?
เจาะพลังโมเมนตัม! ขนาดแท่งในกราฟแท่งเทียนบอกอะไร
ความท้าทายด้านจิตวิทยาการ Copy Trade และวิธีเอาชนะ
เคล็ดลับสร้าง Trading Routine ชนะตลาดปี 2025
เจาะลึกหุ้น LVMH วิเคราะห์ธุรกิจ นวัตกรรมหรือแค่แบรนด์หรู?