เผยแพร่เมื่อ: 2025-05-22 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-20
ทองคำกำลังซื้อขายอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาสปอตล่าสุดแตะราว 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2025 เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 เส้นทางของทองคำในอีกห้าปีข้างหน้า (2025–2030) ยังคงน่าติดตามแต่ก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ทองคำจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้หรือไม่ หากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงและธนาคารกลางยังคงเดินหน้าลดดอกเบี้ย? หรือราคาจะร่วงลง หากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (real yields) เพิ่มขึ้น และความต้องการลงทุนเบนไปที่สินทรัพย์อื่น?
บทความนี้เจาะลึกข้อมูลล่าสุด ปัจจัยเสี่ยง การคาดการณ์จากสถาบันต่าง ๆ และฉากทัศน์ระยะยาว เพื่อช่วยคุณประเมินเส้นทางที่เป็นไปได้ของทองคำในอนาคต

ราคาทองคำสปอตทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 ท่ามกลางความวิตกกังวลด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน และความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยยังคงทรงตัวแข็งแกร่งอยู่ในช่วง 4,200–4,230 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ณ กลางเดือนตุลาคม ราคาทองคำปรับตัวขึ้นราว 42% ตั้งแต่ต้นปี ได้รับแรงหนุนจากการไหลเข้าของกองทุน ETF อย่างหนัก ความต้องการซื้อจากธนาคารกลางที่แข็งแกร่ง และการคาดการณ์ว่าธนาคารเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2026
ล่าสุด การไหลเข้าของกองทุน ETF พุ่งขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ เข้าสู่ตลาดทองคำภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ตามข้อมูลจากธนาคาร BofA ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่ง
ระดับราคาปัจจุบันได้กลายเป็นจุดอ้างอิงใหม่สำหรับการคาดการณ์ราคา ทำให้นักวิเคราะห์และสถาบันการเงินหลายแห่งต้องปรับประมาณการขึ้นอีกครั้ง
| ตัวชี้วัด | ข้อมูลล่าสุด (ตุลาคม 2025) | หมายเหตุ |
| ดัชนี CPI สหรัฐฯ (กันยายน 2025) | +0.3% รายเดือน, +2.7% รายปี | เงินเฟ้อลดลงแต่ยังสูงกว่าเป้าหมายของเฟด |
| ดัชนี Core CPI (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) | +2.9% รายปี | ยังคงอยู่ในระดับ “เหนียว” หรือปรับลงช้า |
| อัตราดอกเบี้ย Fed Funds (หลังการลดดอกเบี้ยเดือนกันยายน) | 4.00–4.25% | การลดดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 |
| อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ ECB | 3.25% | คงอัตราไว้เท่าเดิม |
| ปริมาณการซื้อทองคำของธนาคารกลาง (ยอดรวมถึงกันยายน) | ประมาณ 950 ตัน | นำโดยจีน อินเดีย ตุรกี และโปแลนด์ (ข้อมูลจาก WGC ไตรมาส 2 ปี 2025) |
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มเย็นลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปรับลดดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง และความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองยังคงแข็งแกร่งทั่วโลก

1) การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในเดือนกันยายน 2025 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024
ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยและท่าทีผ่อนคลายของเฟดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน เช่น ทองคำ
ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งในปี 2026 ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ
2) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน
เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญในระยะสั้นที่ผลักดันความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) และช่วยให้ราคาทองคำทะลุระดับ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
3) การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ร่วงลงต่ำกว่า 100 จุดในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 18 เดือน ส่งผลให้แรงซื้อทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น
4) ความต้องการจากธนาคารกลางและกระแส Safe Haven
ยอดซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกปีนี้ทะลุ 950 ตัน (จนถึงปัจจุบัน) ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในปี 2022
การกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองเงินตรา (โดยเฉพาะจากจีนและตุรกี) เป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อความต้องการทองคำในเชิงโครงสร้าง
4) เงินเฟ้อที่ยัง “เหนียว” อยู่
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ยังคงสูงกว่า 2.5% ทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน และความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง ยังคงหนุนให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมี พรีเมียมความปลอดภัย (Safe-Haven Premium) ต่อเนื่อง
| สถาบัน / นักวิเคราะห์ | การคาดการณ์ | กรอบเวลา | สมมติฐาน / ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก |
| Bank of America | 4,400–5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ | 2025–2026 | อัตราผลตอบแทนจริงต่ำ, การลดดอกเบี้ย, เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF |
| UBS | 4,000 ดอลลาร์ สิ้นปี 2025 → 4,400 ดอลลาร์ ภายในปี 2028 | 2025-2028 | การผ่อนคลายนโยบายของเฟด, การซื้อทองคำจากธนาคารกลาง (900–950 ตันต่อปี) |
| ANZ Group | 3,900–4,200 ดอลลาร์ ภายในปี 2026 → 4,300 ดอลลาร์ขึ้นไป ภายในปี 2028 | 2025-2028 | นโยบายการเงินผ่อนคลาย, ความต้องการในเอเชีย |
| Deutsche Bank | เฉลี่ย 4,200 ดอลลาร์ ในปี 2026 → 4,500–4,800 ดอลลาร์ ภายในปี 2029 | 2026-2029 | เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่สูง, การอ่อนค่าของดอลลาร์ |
| WGC & IMF (แนวโน้ม) | อยู่ในช่วง 4,000–4,800 ดอลลาร์ ต่อเนื่องถึงปี 2030 | 2025-2030 | กระบวนการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarisation), การใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อความปลอดภัย |
ระยะสั้น (2025–2026): นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าทองคำจะทรงตัวในช่วง 4,000–4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ระยะกลาง (2027–2028): การคาดการณ์รวมตัวอยู่ที่ช่วง 4,400–4,800 ดอลลาร์ ภายใต้สมมติฐานว่าธนาคารกลางยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินและความต้องการทองคำแข็งแกร่ง
ระยะยาว (2029–2030): แนวโน้มเชิงบวกอาจผลักดันราคาขึ้นเหนือ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเงินเฟ้อยังคงอยู่สูง การลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังดำเนินต่อไป

แม้ว่าราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่:
อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงสูงขึ้น: หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตเกินคาด ธนาคารเฟดอาจชะลอหรือแม้แต่กลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะกดดันราคาทองคำ
การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ: หากค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อาจกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด รวมถึงทองคำด้วย
การตอบสนองด้านอุปทาน: ราคาทองคำที่สูงอาจกระตุ้นการลงทุนในเหมืองทองคำใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป
การไหลออกของกองทุน ETF: หากตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวอย่างรุนแรง นักลงทุนอาจโยกเงินออกจากกองทุนทองคำ ETF เพื่อกลับไปลงทุนในหุ้น
จีนและอินเดียยังคงเป็นตลาดหลัก คิดเป็นเกือบ 55% ของความต้องการทองคำเพื่อทำเครื่องประดับและทองคำแท่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความต้องการทองคำในจีนลดลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากนักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
ธนาคารกลางจีน ยังคงซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ในขณะที่ความต้องการทองคำจากผู้บริโภคลดลงเพราะตลาดหุ้นภายในประเทศปรับตัวขึ้น
ตลาดเกิดใหม่ เช่น ตุรกี อียิปต์ และลาตินอเมริกา ต่างก็เห็นราคาทองคำในสกุลเงินท้องถิ่นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กระตุ้นให้ครัวเรือนในประเทศเหล่านี้หันมาใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
แม้ว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังครองสัดส่วนประมาณ 58% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลก แต่แนวโน้ม ลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarisation) ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้ทองคำยังคงมีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในฐานะสินทรัพย์สำรองที่สำคัญ
1. ราคาสูงสุดของทองคำในปัจจุบันคือเท่าไหร่?
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 ทองคำได้ทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือระดับ 4,230 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากแตะระดับดังกล่าว ราคาทองคำยังคงทรงตัวแข็งแกร่ง โดยซื้อขายอยู่เหนือ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
2. เป้าหมายราคาทองคำที่คาดไว้สิ้นปี 2025 อยู่ที่เท่าไหร่?
สถาบันการเงินส่วนใหญ่คาดว่าราคาทองคำสิ้นปี 2025 จะอยู่ในช่วงประมาณ 4,000–4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
3. ปัจจัยใดที่อาจทำให้ราคาทองคำไม่สามารถปรับขึ้นต่อได้?
เงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่คาด
อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yields) แข็งแกร่งขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างมาก
ผลตอบแทนที่ดีกว่าจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น
4. ทองคำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น ๆ ตอนนี้เป็นอย่างไร?
ทองคำยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตรสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แต่ฟรังก์สวิส (CHF) และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หากบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาฟื้นตัว
โดยสรุปแล้ว ทองคำไม่เพียงแค่รักษาระดับราคาไว้ได้ แต่ยัง สร้างสถิติใหม่ในตลาดโลก ด้วยราคาสปอตที่ทะลุ 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดว่าทองคำจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปถึงปี 2026 ภายใต้แรงหนุนจากรอบการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้าซื้อของธนาคารกลาง
ในภาพรวมระยะ 5 ปีข้างหน้า ราคาทองคำมีแนวโน้มทรงตัวในช่วง 4,000–4,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสทะลุ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากภาวะเงินเฟ้อยังคงอยู่และธนาคารกลางเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจกลับทิศได้รวดเร็ว หากเส้นทางนโยบายของเฟดหรือแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์เปลี่ยนแปลงไป
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ