简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

หุ้นเอเชีย–แปซิฟิกฟื้นตัวแรง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เฟดอาจลดดอกเบี้ย

ผู้เขียน: Ethan Vale

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-24   
อัปเดตเมื่อ: 2025-11-26

ตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิกปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ หลังนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยกระตุ้นกระแสการรับความเสี่ยงทั่วทั้งภูมิภาค การปรับขึ้นครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณเชิงผ่อนคลายจากเจ้าหน้าที่เฟดรายสำคัญ แนวโน้มข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนลง และการปรับราคาอย่างมีนัยสำคัญในตลาดฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ย แม้ความเสี่ยงด้านค่าเงินและภูมิรัฐศาสตร์ยังคงทำให้นักลงทุนระมัดระวัง


ภาพรวมตลาด

  • ดัชนี MSCI เอเชีย–แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) และตลาดหุ้นสำคัญในหลายประเทศเปิดสูงขึ้น โดยหุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก

  • ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น ส่งสัญญาณว่าตลาดยุโรปอาจได้รับแรงหนุนตามมา

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนเพิ่มความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม โดยเครื่องชี้หลายตัวในตลาดประเมินโอกาสไว้ระหว่าง 50% กลาง ๆ ถึง 60% กลาง ๆ


สัญญาณนโยบายจากเฟดและบทบาทต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิก

นักธุรกิจหญิงชาวเอเชียวางแผนการเติบโตจากสัญญาณเชิงบวกในธุรกิจของเธอ

ปัจจัยกระตุ้นหลักมาจากชุดถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง John Williams ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ซึ่งถูกตลาดตีความว่าเปิดกว้างต่อการผ่อนคลายนโยบายในระยะใกล้ ข้อความเหล่านี้ เมื่อผสานกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอลง และสัญญาณการเย็นตัวของตลาดแรงงาน ส่งผลให้การคาดการณ์ในตลาดฟิวเจอร์สเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ


ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ:

  • ถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายจากเฟด ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม

  • ความคาดหวังเงินเฟ้อที่อ่อนลงและแนวโน้มว่าข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศ (ยอดค้าปลีก, PPI) อาจสนับสนุนมุมมองผ่อนคลายยิ่งขึ้น

  • แรงขายทำกำไรและแรงเข้าซื้อหุ้นเก็งกำไร โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่ถูกกดดันหนักก่อนหน้า ซึ่งมักได้ประโยชน์เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลด


ผู้ชนะและผู้ตามในรอบการฟื้นตัวของตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิก

ภาพรวมของตลาดหุ้นในภูมิภาคมีความผสมผสาน แต่โดยรวมเป็นบวก พร้อมรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละตลาด

1. ตลาดที่โดดเด่นและมีเม็ดเงินไหลเข้า:

  • เกาหลีใต้ (KOSPI):
    หุ้นกลุ่มชิปช่วยหนุนดัชนี โดยนักลงทุนคาดหวังว่ากำไรของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์จะขยายตัวมากขึ้นภายใต้นโยบายดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง

    ราคา KOSPI วันนี้

  • ออสเตรเลีย (ASX 200):
    หุ้นกลุ่มทรัพยากรและหุ้นวัฏจักรขยับขึ้นตามบรรยากาศการรับความเสี่ยงที่ดีขึ้น

    ราคา ASX 200 วันนี้

  • ฮ่องกง:
    กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีสัดส่วนสูงในตลาดกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หนุนให้ดัชนี Hang Seng ปรับขึ้นตั้งแต่ช่วงเปิดตลาด

    ดัชนี Hang Seng วันนี้

2. ตลาดอ่อนแรง / จุดที่ต้องจับตา:

  • จีนแผ่นดินใหญ่:
    ผู้ผลิตชิปบางรายยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเชิงลบเฉพาะกลุ่ม ทำให้ดัชนีหุ้นจีนฟื้นตัวได้จำกัด

  • ญี่ปุ่น:
    ตลาดค่อนข้างเงียบจากวันหยุดราชการ ส่งผลให้สภาพคล่องในภูมิภาคลดลงและบดบังแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่แท้จริง


3. มุมมองรายอุตสาหกรรม (สรุปสั้น ๆ):

  • เทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์: มีแรงซื้อกลับหลังจากถูกขายหนักในช่วงก่อนหน้า

  • การเงิน: ผสมผสาน — ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเติบโต แต่ยังอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของเส้นอัตราผลตอบแทน

  • ทรัพยากรและพลังงาน: ทรงตัวมากขึ้น แม้ราคาน้ำมันยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่แยกออกจากกระแสตลาดหลัก


ผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของเงินเยนต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิก

USD/JPY วันนี้

แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น แต่ตลาดตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนยังสะท้อนความตึงเครียดระหว่างสินทรัพย์ต่างประเภทอย่างชัดเจน:

  1. เยน:
    เงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สร้างแรงกดดันให้ตลาดคาดว่าทางการญี่ปุ่นอาจเข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดการอ่อนค่าของเงินเยน หากเกิดขึ้นจริงอาจเปลี่ยนทิศทางกระแสเงินทุนในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

  2. พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ:
    อัตราผลตอบแทนลดลงเล็กน้อย หลังตลาดฟิวเจอร์สเพิ่มความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐานในเดือนธันวาคม แม้ตัวเลขความน่าจะเป็นจะแตกต่างกันไปตามผู้ให้ข้อมูล (ราว 50% กลาง ๆ ถึง 60% กลาง ๆ)

  3. สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ (EM FX):
    บางสกุลเงิน เช่น รูปีอินเดีย เผชิญแรงกดดันด้านความเสี่ยงขาลง ท่ามกลางสัญญาณสภาพคล่องในประเทศที่ผสมผสานและแนวโน้มการเติบโตที่ไม่แน่นอน


ความเสี่ยงระดับมหภาคที่ยังคงกดดันตลาดเอเชีย–แปซิฟิก

แม้ปฏิกิริยาเริ่มต้นของตลาดเป็นบวก แต่ความเสี่ยงหลายประการยังสามารถพลิกทิศการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว:

  • ปัจจัยเสี่ยงหลัก:

  1. ข้อมูลสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด:
    หากเงินเฟ้อหรือข้อมูลตลาดแรงงานสูงกว่าคาด อาจลดความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคม และทำให้ตลาดต้องปรับราคาอย่างรวดเร็ว

  2. การแทรกแซงสกุลเงิน:
    หากทางการญี่ปุ่นหรือหน่วยงานอื่น ๆ ดำเนินมาตรการพยุงค่าเงินเยน การเปลี่ยนกระแสเงินทุนข้ามพรมแดนจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นระยะสั้น

  3. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์:
    ความขัดแย้งที่ปะทุใหม่ หรือเหตุการณ์ในภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อราคาพลังงาน อาจดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นและบีบกำไรของบริษัทต่าง ๆ


กลยุทธ์การลงทุนระหว่างภาวะฟื้นตัวของตลาดเอเชีย–แปซิฟิก

  1. ยอดค้าปลีกของสหรัฐและดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของเฟดในเดือนธันวาคม

  2. ถ้อยแถลงเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจช่วยระบุช่วงเวลาและความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ย

  3. ทิศทางค่าเงิน รวมถึงสัญญาณการแทรกแซงของญี่ปุ่นหรือหน่วยงานอื่น

  4. ผลประกอบการบริษัทชั้นนำในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อประเมินแนวโน้มอุปสงค์พื้นฐาน


มองหาโอกาสด้วยความระมัดระวังในช่วงฟื้นตัว

การปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ของตลาดช่วยเปิดโอกาสเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อการเติบโต แต่ควรจัดท่าทีอย่างรอบคอบ

  • ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติ:

  1. นักลงทุนระยะยาว:
    อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงของนโยบายสามารถสนับสนุนการประเมินมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะภาคการเติบโตและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ควรรักษาการกระจายความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามความเหมาะสม

  2. เทรดเดอร์ระยะสั้น:
    ระวังการกลับตัวอย่างรวดเร็วหากข้อมูลขัดแย้งกับการคาดการณ์ในปัจจุบัน ขอแนะนำให้ควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวดและมีวินัยในการหยุดขาดทุน

  3. นักลงทุนตราสารหนี้:
    การลดลงของอัตราผลตอบแทนช่วยสร้างกำไรจากราคาพันธบัตร แต่ควรประเมินความเสี่ยงด้านอายุพันธบัตร (duration) อย่างระมัดระวัง หากกำหนดการลดดอกเบี้ยยังไม่แน่นอน

  4. ผู้ติดตามตลาด FX:
    เฝ้าดูทิศทางของเงินเยนอย่างใกล้ชิด ความเสี่ยงในการแทรกแซงอาจทำให้ตลาดผันผวนฉับพลัน


บทสรุป

การฟื้นตัวของตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิกสะท้อนให้เห็นถึงการปรับราคาครั้งสำคัญของตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในเดือนธันวาคม แม้มุมมองเชิงบวกได้กลับมาสู่สินทรัพย์เสี่ยง แต่แรงขึ้นของตลาดครั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับกระแสข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงจากธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรมองการปรับขึ้นครั้งนี้เป็น “เงื่อนไขชั่วคราว” จัดการความเสี่ยงอย่างชัดเจน และติดตามตลาดเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าเงินเยน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินทุนข้ามพรมแดนในเชิงโครงสร้าง


คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิกฟื้นตัวในวันนี้?

ตลาดหุ้นเอเชีย–แปซิฟิกฟื้นตัวขึ้นเพราะนักลงทุนเพิ่มความคาดหวังว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม สัญญาณข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนตัวลง ถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายจากเจ้าหน้าที่เฟด และการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ล้วนช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลให้กลุ่มเทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นวัฏจักรในหลายตลาดขยับขึ้น

2. อะไรเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม?

ความคาดหวังเพิ่มขึ้นหลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณเปิดกว้างต่อการผ่อนคลายนโยบายในระยะใกล้ เมื่อรวมกับเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและสัญญาณการอ่อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้ตลาดฟิวเจอร์สปรับเพิ่มความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี

3. ตลาดใดในเอเชีย–แปซิฟิกที่ปรับตัวดีเป็นพิเศษ?

ตลาดที่โดดเด่นได้แก่ KOSPI ของเกาหลีใต้ ซึ่งได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ ASX ของออสเตรเลีย ที่ปรับขึ้นตามหุ้นกลุ่มทรัพยากร ฮ่องกง ที่เห็นแรงซื้อกลับในหุ้นเทคโนโลยีบางส่วน ขณะที่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่มีการฟื้นตัวแบบผสมผสาน เนื่องจากผู้ผลิตชิปรายสำคัญยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเฉพาะกลุ่ม


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
หุ้นเอเชียดิ่งหนัก! KOSPI รั้งหัวขบวนขาลงในภูมิภาค
แรงหนุนจาก AI! หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น หลัง Nvidia โชว์งบสุดแกร่ง
ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง จากความกังวล AI และกระแสเงินทุนไหลออก
สาเหตุราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่า 62 ดอลลาร์?
ดัชนี KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุด หลังตลาดฟิวเจอร์สหยุดทำการ สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร