เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-21
ตลาดหุ้นเอเชียร่วงหนักในวันพฤหัสบดี หลังกระแสหลีกเลี่ยงความเสี่ยงแผ่กระจายไปทั่วตลาดหุ้นโลก ส่งผลกระทบหนักเป็นพิเศษต่อดัชนีที่มีน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีสูง กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างรุนแรง ขณะที่แรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ได้เร่งให้เกิดการปิดสถานะและปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาค

ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ร่วงนำตลาดในภูมิภาค ปิดลบ 3.69% ที่ระดับ 3,857.24 ถือเป็นหนึ่งในวันที่ปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
แรงขายต่างชาติถาโถมกดดันหุ้นเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีร่วงหลุดระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ

แรงเทขายยังลุกลามไปยังตลาดสำคัญอื่น ๆ โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปิดลบ 2.35% ที่ระดับ 48,653.80 ขณะที่ Hang Seng Index ของฮ่องกงร่วง 2.36% สู่ระดับ 25,226.30 และดัชนี Weighted Index ของไต้หวันดิ่ง 3.20% ปิดที่ 26,548.12

ด้านตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ดัชนี Shanghai Composite อ่อนตัวลง 2.10% แตะระดับ 3,848.38 ณ ช่วงระหว่างการซื้อขาย สะท้อนความกังวลที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับอุปสงค์ภายในประเทศ และความอ่อนแอที่ยังยืดเยื้อในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

กระแสขายหนักในตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิกครั้งล่าสุดเกิดจากหลายปัจจัยรุมเร้า โดยมีการปรับพอร์ตแบบ “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off)” เป็นแกนหลัก จากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจภายนอก และความเปราะบางเฉพาะในภูมิภาค
ด้านล่างนี้คือปัจจัยสำคัญที่ฉุดกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
ดอลลาร์ที่แข็งค่ากลายเป็นแรงกดดันต่อตลาดในภูมิภาค เมื่อนักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนระดับโลก ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นยิ่งทำให้ตลาดเกิดใหม่และประเทศส่งออกในเอเชียเผชิญความเสี่ยงค่าเงินผันผวนและเงินทุนไหลออกหนักขึ้น
ดอลลาร์ที่แข็งค่ายังกดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และฉุดกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาความต้องการการค้าโลกให้ชะลอลงอีกด้วย สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น บวกกับความผันผวนของค่าเงิน สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและความต้องการรับความเสี่ยงที่ลดต่ำลงในภูมิภาค
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการปรับฐานครั้งนี้ โดยเฉพาะในตลาดอย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งมีสัดส่วนของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับสูง
การปรับลดคาดการณ์ความต้องการชิปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความกังวลเรื่องอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลให้เกิดแรงขายอย่างกว้างขวางในกลุ่มนี้
นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐและยุโรปยังเผชิญแรงกดดันมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ซึ่งผลกระทบได้ลุกลามมายังเอเชีย ตลาดที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในวัฏจักรเทคโนโลยีโลกอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ
การพัฒนาทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลางสร้างบรรยากาศเสี่ยงเพิ่มขึ้น นักลงทุนทั่วโลกจึงลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เกิดความกังวลต่อความเสี่ยงการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดด้านความมั่นคง และทิศทางนโยบายการค้า ซึ่งล้วนสร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของภูมิภาค
ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนยังสะท้อนสัญญาณที่ผสมผสาน โดยเฉพาะความอ่อนแอที่ยังคงยืดเยื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ และอุปสงค์ผู้บริโภคที่ฟื้นตัวน้อยกว่าคาด ซึ่งทั้งสองปัจจัยยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
การอ่อนตัวของดัชนี Shanghai Composite สะท้อนถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างเหล่านี้ และส่งผลกระทบต่อบรรดาตลาดหุ้นที่มีการพึ่งพาการค้าและเศรษฐกิจจีนในระดับสูง นักลงทุนยังคงระมัดระวังต่อมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง พร้อมตั้งคำถามว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศมาจะมากพอหรือไม่ในการประคับประคองเศรษฐกิจโดยรวมให้กลับสู่เสถียรภาพ
แม้แรงขายจะกระจายไปทั่วทั้งตลาด แต่บางอุตสาหกรรมเผชิญแรงกดดันมากกว่ากลุ่มอื่น สะท้อนถึงความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงภายนอกและการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ในเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เป็นกลุ่มที่ร่วงหนักที่สุด ความกังวลต่อการชะลอตัวของความต้องการชิปทั่วโลกถ่วงหุ้นยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคลงแรง ขณะที่คำสั่งส่งออกที่อ่อนแอและแรงกดดันจากสต็อกสินค้าที่ล้นตลาด ทำให้กลุ่มนี้กลายเป็นจุดโฟกัสของการเปิดสถานะขาย (Bearish positioning)
หุ้นกลุ่มธนาคารและบริการทางการเงินอ่อนตัวลงจากความกังวลเรื่องเส้นอัตราผลตอบแทนที่แบนลง (Flattening yield curves) และภาวะสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น นักลงทุนยังระมัดระวังต่อความเสี่ยงของหนี้เสีย โดยเฉพาะในตลาดที่พึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์สูงอย่างจีนและฮ่องกง
หุ้นกลุ่มผู้บริโภคลดลง ท่ามกลางความกังวลว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะฉุดการใช้จ่าย นอกจากนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ก็ปรับตัวลงจากแรงกดดันด้านค่าเงินและสัญญาณอุปสงค์ที่อ่อนแรง
หุ้นพลังงานและหุ้นเชื่อมโยงสินค้าโภคภัณฑ์ถูกขายหนัก เนื่องจากความกังวลต่อภาคการผลิตทั่วโลกและอุปสงค์น้ำมันที่ลดลง บวกกับดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่ายิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์

การปรับตัวลงรอบล่าสุดสะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิกต่อความเสี่ยงภายนอกใด ๆ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเด็นความผันผวนของค่าเงินกลับมาเป็นปัจจัยสำคัญอีกครั้ง โดยหลายสกุลเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะในเกาหลีใต้และไต้หวัน เนื่องจากนักลงทุนย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ย้ำให้เห็นความท้าทายของตลาดที่พึ่งพาการส่งออกเทคโนโลยีสูงและอ่อนไหวต่อความต้องการความเสี่ยงทั่วโลก
ตลาดตราสารหนี้ทั่วภูมิภาคก็เริ่มส่งสัญญาณตึงตัว ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้นตามการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยโลก ส่วนการร่วงลงของหุ้นกระตุ้นให้มีการเข้าซื้อทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น แสดงถึงท่าทีระมัดระวังมากขึ้นของนักลงทุนทั่วโลก
แม้การปรับฐานครั้งนี้จะสร้างความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับลงลึกกว่าเดิม แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเป็นไปได้ที่จะฟื้นตัวระยะสั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ การชะลอลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หรือข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งล้วนสามารถลดแรงกดดันต่อตลาดเอเชียได้
ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ยกระดับความตึงเครียดเพิ่มเติม หรือความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงอ่อนแอ ก็อาจทำให้ความผันผวนของตลาดยืดเยื้อออกไป
แม้มีความท้าทายในระยะสั้น แต่นักกลยุทธ์บางรายมองว่า มูลค่าหุ้นหลายส่วนในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มน่าดึงดูดมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ระยะยาว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดว่าจะยังคงถือท่าทีระมัดระวังจนกว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในทิศทางนโยบายการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิกร่วงลงจากแรงกดดันของดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับขึ้น ความอ่อนแอของหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและบรรยากาศการลงทุนที่เน้นลดความเสี่ยง (Risk-off) ยิ่งกระตุ้นแรงขายในดัชนีสำคัญของภูมิภาค
ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ปรับตัวลงแรงที่สุด โดยร่วง 3.69% สู่ระดับ 3,857.24 จากแรงขายต่างชาติในหุ้นเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันดัชนี Weighted Index ของไต้หวันก็ปรับลงแรงเช่นกัน สะท้อนแรงกดดันที่ถาโถมในตลาดหุ้นเทคโนโลยีทั่วภูมิภาค
กลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์เป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงหนักที่สุดในเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น นอกจากนี้ กลุ่มการเงิน ผู้บริโภค และพลังงานก็อ่อนตัวตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนลดความเสี่ยงในสภาวะที่ดอลลาร์แข็งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น
ทิศทางการฟื้นตัวยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การอ่อนกำลังของดอลลาร์ การทรงตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ และข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และความต้องการในอุตสาหกรรมเทคที่ยังซบเซา อาจทำให้ความผันผวนยืดเยื้อ และนักลงทุนยังคงระมัดระวังจนกว่าจะมีปัจจัยหนุนที่ชัดเจนขึ้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ