简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ดัชนี KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุด หลังตลาดฟิวเจอร์สหยุดทำการ สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร

เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-05

หลังจากการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้ดัชนี KOSPI พุ่งทะลุ 4,200 จุด และทำนิวไฮใหม่ ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ก็ได้ปรับทิศทางกลับอย่างฉับพลันในสัปดาห์นี้

KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุด

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ดัชนีชี้วัดหลักของเกาหลีใต้ KOSPI ได้ร่วงลงต่ำกว่าระดับเชิงสัญลักษณ์ที่ 4,000 จุดชั่วคราว แตะระดับประมาณ 3,985.6 จุดในช่วงต้นการซื้อขาย ขณะที่สัญญาฟิวเจอร์ส KOSPI-200 ดิ่งลงราว 5.2% จนไปแตะระดับที่ทำให้ระบบหยุดซื้อขายอัตโนมัติหรือ “ไซด์คาร์” ถูกเปิดใช้งานในเวลา 9:46 น. ส่งผลให้การซื้อขายแบบโปรแกรมถูกระงับเป็นเวลา 5 นาที


ความเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันนี้ ทำให้นักลงทุนกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปรับฐานตามปกติหลังจากการพุ่งขึ้นแรงเกินไป หรือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการปรับลงลึก ที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตหุ้นเทคโนโลยีและการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ


บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิดขึ้น กลไกตลาดทำงานอย่างไร และนักลงทุนควรจับตาอะไรในระยะถัดไป


การดิ่งลง 5.2% อย่างรุนแรงของ KOSPI

KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุด

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ดัชนี KOSPI ร่วงต่ำกว่าระดับ 4,000 จุด หลังจากสัญญาฟิวเจอร์ส KOSPI-200 ปรับตัวลงแรง โดยแรงเทขายที่เกิดขึ้นเป็นหลักในหุ้นเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำ


สัญญาฟิวเจอร์ส KOSPI-200 ลดลงมากกว่า 5% ภายในไม่กี่นาที ส่งผลให้กลไกระงับการซื้อขายแบบอัตโนมัติหรือ “ไซด์คาร์” ถูกเปิดใช้งานตามกฎของตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KRX) ซึ่งหยุดการซื้อขายแบบโปรแกรมเป็นเวลา 5 นาที หลังจากนั้นการซื้อขายก็กลับมาดำเนินต่อ


หุ้นที่อ่อนไหวต่อภาวะตลาดเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะผู้ผลิตชิปและซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง ถูกเทขายอย่างหนัก ขณะที่ค่าเงินวอนอ่อนค่าลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้นท่ามกลางบรรยากาศหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-off)


นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้นำในการเทขาย โดยสื่อเกาหลีรายงานว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิราว 2.2 ล้านล้านวอนในวันที่ 4 พฤศจิกายน และแรงขายจากต่างชาติก็ยังคงหนักหน่วงในช่วงการซื้อขายที่ผันผวนในวันถัดมา


ทำไม KOSPI ร่วงวันนี้? 5 ปัจจัยหลักที่ต้องรู้

KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุด

1. การเทขายหุ้นกลุ่ม AI และความกังวลเรื่องมูลค่าบวมเกินจริง

ปัจจัยหลักมาจากการดิ่งลงของหุ้นเทคโนโลยีและ AI ในตลาดสหรัฐฯ เมื่อคืนก่อนหน้า โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ เช่น Nvidia, AMD และ Palantir ซึ่งส่งผลกระทบมายังซัพพลายเออร์และหุ้นเทคโนโลยีในเกาหลีใต้โดยตรง


เมื่อหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีน้ำหนักสูงในดัชนี เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix อ่อนตัวลง ก็ยิ่งทำให้ดัชนี KOSPI เผชิญแรงกดดันหนักขึ้น


ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับ “ฟองสบู่ AI” จากประเด็นมูลค่าที่สูงเกินไปและความไม่แน่นอนของการเติบโตในระยะยาว ยิ่งกระตุ้นแรงเทขายในตลาด


2. นักลงทุนต่างชาติเทขายอย่างหนัก

ตามข้อมูลก่อนหน้านี้ นักลงทุนสถาบันต่างชาติขายหุ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ สวนทางกับแรงซื้อก่อนหน้า กดดันให้ KOSPI อ่อนตัวลง


รายงานท้องถิ่นระบุว่า มีเงินทุนต่างชาติไหลออกสุทธิราว 2.2 ล้านล้านวอนในวันที่ 4 พฤศจิกายน เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าและการปรับพอร์ตของกองทุนต่างชาติออกจากสินทรัพย์เสี่ยงในเอเชีย


3. การขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งแรง

ก่อนหน้านี้ KOSPI ปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง จนทะลุระดับ 4,000 จุดในปลายเดือนตุลาคม


หลังจากราคาขึ้นมามาก นักลงทุนระยะสั้นและกองทุนที่ตามกระแสจึงเริ่มขายทำกำไร ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในตลาด


แหล่งข่าวท้องถิ่นหลายแห่งระบุว่า การขายทำกำไรจากหุ้นขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญของการปรับตัวลงครั้งนี้


4. สัญญาณเศรษฐกิจมหภาค: ความคาดหวังลดดอกเบี้ยและข้อมูลเศรษฐกิจ

ตลาดยังอ่อนไหวต่อความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมา


คำแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed ก่อนหน้านี้ที่ลดความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ ทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนยิ่งกระตุ้นให้เปลี่ยนจากโหมด “เสี่ยงต่อ” (risk-on) เป็น “เลี่ยงความเสี่ยง” (risk-off)


นักวิเคราะห์สังเกตเห็นสัญญาณมหภาคเหล่านี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลังของการเทขาย


5. ตัวเลขเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนจากนโยบายธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BoK)

ข้อมูลล่าสุดเผยว่าเงินเฟ้อของเกาหลีใต้เดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 2.4% เทียบกับปีก่อนหน้า สูงกว่าคาดการณ์ ทำให้เกิดความกังวลว่า BoK อาจเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไปอีก ส่งผลให้สภาพการเงินตึงตัว


เงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยง และเพิ่มต้นทุนเงินทุนของบริษัท ซึ่งกดดันตลาดหุ้นเพิ่มเติม


ทำความเข้าใจการหยุดซื้อขายฟิวเจอร์ส: “ไซด์คาร์” คืออะไร?

ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้มีมาตรการพิเศษหลายอย่างเพื่อชะลอความผันผวนรุนแรงในตลาด เช่น:


1. ไซด์คาร์ (Sidecar):

กลไกไซด์คาร์จะถูกเปิดใช้อัตโนมัติเมื่อดัชนีฟิวเจอร์ส KOSPI-200 เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เช่น ลดลง 5% หรือมากกว่า ภายในเวลาอย่างน้อย 1 นาที โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดความผันผวนที่เกิดจากการซื้อขายของโปรแกรมอัตโนมัติ เปิดโอกาสให้นักลงทุนมีเวลาประเมินสถานการณ์ ลดแรงขายที่เกิดจากความตื่นตระหนก


ในการร่วงลงครั้งล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KRX) ได้เปิดใช้งานไซด์คาร์เป็นเวลา 5 นาทีในช่วงเวลา 9:46 น. หลังดัชนีฟิวเจอร์ส KOSPI-200 ดิ่งลงประมาณ 5.2% พร้อมกับการหยุดซื้อขายฟิวเจอร์สในตลาด KOSDAQ บางส่วนตามมา


ไซด์คาร์ไม่ใช่การหยุดตลาดทั้งหมด ตลาดหุ้นยังคงซื้อขายได้ตามปกติ แต่จะหยุดการซื้อขายฟิวเจอร์สอัตโนมัติชั่วคราว เพื่อป้องกันการขายตามดัชนีอย่างรุนแรง และเปิดช่องให้ตลาดปรับสมดุล


2. เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breakers):

นอกจากไซด์คาร์แล้ว ยังมีมาตรการระดับที่เข้มงวดกว่าอย่าง "เซอร์กิตเบรกเกอร์" ซึ่งจะหยุดการซื้อขายตลาดทั้งหมดเมื่อดัชนีร่วงถึงระดับที่กำหนด ใช้ในกรณีที่ตลาดผันผวนหนักมากและมีสัญญาณของความตื่นตระหนกในวงกว้าง


ผลจากการใช้ไซด์คาร์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน คือไซด์คาร์ทำหน้าที่หยุดแรงขายจากโปรแกรมอัตโนมัติได้ชั่วคราว ช่วยให้ตลาดมีเวลาฟื้นตัวจากการร่วงหนักในตอนเช้า 


อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาซื้อขายตามปกติ แรงขายที่เกิดจากนักลงทุนรายใหญ่ หรือการปรับมุมมองพื้นฐานของตลาดยังคงเกิดขึ้นได้


หุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

กลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นชั้นนำ การปรับตัว หมายเหตุ
เทคโนโลยี Samsung Electronics, SK Hynix -5% ถึง -6.5% แรงขายจากหุ้น AI และชิป
ยานยนต์ Hyundai Motor -3.5% กังวลห่วงโซ่อุปทานและดีมานด์โลก
อุตสาหกรรม Hanwha Aerospace, Doosan Enerbility -4% ถึง -7% ความไม่แน่นอนด้านสัญญารัฐบาลและกลาโหม
ชีวเภสัช Samsung Biologics -2% ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ


โดยปกติ กลุ่มหุ้นป้องกันความเสี่ยง เช่น สาธารณูปโภค หรือสินค้าอุปโภคบริโภค มักจะปรับตัวได้ดีกว่าในช่วงที่ตลาดผันผวน แต่ครั้งนี้ ความรุนแรงจากหุ้นเทคโนโลยีและชิปขนาดใหญ่ได้กลบผลบวกของหุ้นกลุ่มป้องกันไปทั้งหมด


ผลกระทบระยะสั้นต่อดัชนี KOSPI (ในช่วงไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า)

แนวโน้ม KOSPI Index

1. ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น:

คาดว่าความผันผวนระหว่างวันจะเพิ่มขึ้นเมื่อการซื้อขายแบบโปรแกรมกลับมาดำเนินการ และนักลงทุนเริ่มประเมินพอร์ตใหม่ แม้ไซด์คาร์จะช่วยให้ตลาดหยุดพักชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจขจัดความไม่แน่นอนได้


2. การสลับกลุ่มหุ้นและการเปลี่ยนผู้นำตลาด:

หากการปรับฐานครั้งนี้เกิดจากการขายทำกำไร เราอาจเห็นการสลับเงินลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (เช่น สาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภค หรือหุ้นการเงินขนาดใหญ่) ขณะที่หุ้นขนาดเล็กและกลุ่มที่อิงกระแสอาจอ่อนตัวต่อเนื่อง หากความกังวลด้านเศรษฐกิจมหภาครุนแรงขึ้น กลุ่มป้องกันความเสี่ยงอาจเป็นผู้นำได้ยาวนานขึ้น


3. พฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติ:

ควรจับตาการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ เพราะหากแรงขายยังคงมีต่อเนื่อง อาจกดดันค่าเงินวอนให้อ่อนค่า และดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้น การอ่อนค่าของค่าเงินในระยะสั้นจึงเป็นความเสี่ยงสำคัญในภาวะที่หุ้นถูกเทขายหนัก


4. การตอบสนองและการสื่อสารด้านนโยบาย:

หน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ (KRX) มักจะออกมาสื่อสารอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดความผันผวนรุนแรง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน


มาตรการหรือแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับสภาพคล่องหรือนโยบายแก้ไขความเสี่ยง อาจส่งผลต่อทิศทางตลาดทันที


นักลงทุนจึงควรจับตาสัญญาณจากฝ่ายนโยบายอย่างใกล้ชิด เพราะในอดีต รัฐบาลและธนาคารกลางเคยส่งสัญญาณพร้อมเข้าดูแลหากความผันผวนกระทบเสถียรภาพทางการเงิน


สถานการณ์ระยะยาว: 3 เส้นทางที่ตลาดอาจเคลื่อนไป


1. ฟื้นตัวแบบขาขึ้น (กรณีดีที่สุด)

หากการปรับฐานเป็นเพียงการขายทำกำไรระยะสั้นจากแรงเก็งกำไรในช่วงก่อนหน้า และตัวเลขเศรษฐกิจหรือบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกกลับมาสดใสอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่แรงซื้อจะกลับมา


ในกรณีนี้ ดัชนี KOSPI อาจตั้งหลักและกลับไปยืนเหนือ 4,000 จุดได้ภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ โดยเฉพาะหากบริษัทผู้ส่งออกขนาดใหญ่รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง


คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวแบบรูปตัว V มีแรงซื้อกลับเข้ามาหนักในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เมื่อมูลค่าหุ้นกลับเข้าสู่ระดับสมเหตุสมผล


2. การพักฐานระยะยาว (สร้างฐานใหม่)

ตลาดอาจเข้าสู่ช่วงพักตัว โดย KOSPI เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ใต้ระดับสูงสุดก่อนหน้า ขณะที่นักลงทุนรอปัจจัยชัดเจนจากผลประกอบการ นโยบายการเงิน และสัญญาณเศรษฐกิจโลก


กรณีนี้เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยหลังจากการปรับขึ้นแรง ดัชนีอาจทดสอบระดับแนวรับ สลับหมุนกลุ่มผู้นำตลาดใหม่ แล้วค่อยกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งเมื่อทิศทางมหภาคชัดเจนขึ้น


3. การปรับฐานลงลึก (โหมดหลีกเลี่ยงความเสี่ยง)

หากหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกยังอ่อนตัวต่อ ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยแบบเข้มงวด หรือเงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง ดัชนี KOSPI อาจเข้าสู่ช่วงขาลงระยะลึก


สถานการณ์นี้จะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงในประเทศ ขยายส่วนต่างผลตอบแทนตราสารหนี้ ทำให้ค่าเงินวอนอ่อนค่าลง และกระตุ้นแรงขายต่อเนื่องจากกองทุนที่ใช้เลเวอเรจ ภาครัฐอาจต้องเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง


นักลงทุน KOSPI ควรจับตาอะไรต่อไป?


  • คาดว่าดัชนีจะพยายามทรงตัวบริเวณ 3,900–4,000 จุดในระยะสั้น ขณะตลาดปรับสมดุลจากแรงกระแทกที่ผ่านมา


ตัวแปรสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ท่าทีและถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ตัวเลขเงินเฟ้อของเกาหลีใต้


นักวิเคราะห์จำนวนมากยังมองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นเพียงการปรับทางเทคนิค ไม่ใช่สัญญาณของตลาดหมีระยะยาว ดังนั้น แนวโน้มระยะกลางถึงยาวยังคงเป็นบวกอย่างระมัดระวัง หากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและในประเทศมีเสถียรภาพ


ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ เช่น ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น และ Hang Seng ของฮ่องกง ก็มีผลต่อจังหวะตลาดเกาหลีเช่นกัน


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ดัชนี KOSPI “พัง” หรือไม่? นี่คือเหตุการณ์ตลาดหุ้นถล่มหรือเปล่า?

ไม่จำเป็นต้องมองเช่นนั้น การร่วงลงครั้งนี้เป็นผลจากการขายทำกำไรตามปกติ ประกอบกับแรงกดดันจากหุ้นเทคโนโลยีโลกที่อ่อนตัว และการทำงานของระบบหยุดซื้อขายอัตโนมัติช่วยควบคุมสถานการณ์ไม่ให้รุนแรงเกินไป


2. การหยุดซื้อขายแบบไซด์คาร์คืออะไร?

ไซด์คาร์เป็นกลไกฉุกเฉินที่หยุดการซื้อขายฟิวเจอร์สชั่วคราวเมื่อราคาปรับตัวลงเร็วผิดปกติ เพื่อป้องกันความวุ่นวายในตลาด และให้เวลานักลงทุน “ตั้งหลัก” ก่อนตัดสินใจซื้อขายต่อ


3. กรณีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหมีระยะยาวหรือไม่?

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเพียงการปรับฐานตามรอบหลังจากตลาดปรับขึ้นแรงมาเป็นเวลานาน ยังไม่ใช่สัญญาณของตลาดหมี แม้ว่าความผันผวนจะยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม


บทสรุป

การที่ KOSPI ร่วงต่ำกว่า 4,000 จุดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 ถือเป็นการปรับฐานที่ค่อนข้างรุนแรง แต่เป็นไปอย่างมีระบบ สาเหตุมาจากแรงกดดันจากหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก การขายออกของนักลงทุนต่างชาติ และความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในประเทศ


การเปิดใช้งานกลไก “ไซด์คาร์” โดยตลาดหลักทรัพย์เกาหลี (KRX) เป็นสัญญาณว่าการซื้อขายแบบอัตโนมัติสามารถเพิ่มความผันผวนได้รวดเร็วเพียงใด อย่างไรก็ตาม จุดแข็งพื้นฐานของเกาหลีใต้ ทั้งจากภาคส่งออกเทคโนโลยีชั้นนำ และบทบาทของหน่วยงานรัฐในการดูแลเสถียรภาพตลาด ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในระยะกลางถึงยาว


นักลงทุนควรเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นต่อไป แต่ยังมีโอกาสเห็นแรงฟื้นตัว หากความต้องการเทคโนโลยี AI ทั่วโลกฟื้นตัว และนโยบายเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เดินหน้าอย่างสอดคล้องในปี 2026


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ปัจจัยใดบ้างที่หนุนให้ Nikkei 225 พุ่งทะลุ 51,000 จุดครั้งประวัติศาสตร์
ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งแรง รับความคาดหวังก่อนการพบปะทรัมป์–สีจิ้นผิง
ทำไมตลาดหุ้นเกาหลีใต้จึงพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์?
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐพุ่งแตะ 99.8 รับสัญญาณเฟดเปลี่ยนนโยบาย
เปิดสัญญาณอารมณ์นักลงทุนผ่านดัชนี VIX  (Volatility Index)