เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-09 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-10
สกุลเงินไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนกราฟเท่านั้น แต่สะท้อนจังหวะชีพของแต่ละประเทศ บางสกุลเงินสะท้อนการเติบโตและประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่บางสกุลเงินเคลื่อนไหวตามจังหวะของทรัพยากรธรรมชาติของโลก เมื่อราคาน้ำมันดิบพุ่งสูง ทองคำเปล่งประกาย หรือความต้องการแร่เหล็กเพิ่มขึ้น สกุลเงินบางประเภทจะตอบสนองแทบจะทันที สกุลเงินเหล่านี้เรียกว่า Commodity Currency หรือสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมูลค่าของมันถูกกำหนดโดยประสิทธิภาพการส่งออกวัตถุดิบ
ในการเทรด Forex การระบุ Commodity Currency เป็นทักษะที่แยกนักเทรดที่ตอบสนองเพียงอย่างเดียวออกจากนักเทรดเชิงกลยุทธ์ เพราะมันช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกับความต้องการโลก แนวโน้มเงินเฟ้อ และความผันผวนด้านอุปทาน แทนที่จะตอบสนองเพียงกราฟราคา การเข้าใจว่าทำไมและอย่างไรสกุลเงินเหล่านี้เคลื่อนไหวสามารถเปิดมุมมองที่มีคุณค่าเกี่ยวกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลก
บทความนี้จะสำรวจว่าคุณสมบัติของ Commodity Currency คืออะไร วิธีระบุผ่านข้อมูลและพฤติกรรม ตัวอย่างสำคัญที่ครองการค้าระดับโลก และวิธีที่นักเทรดสามารถใช้มันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ของตน ในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง เรามาเริ่มด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดหลักของสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ก่อน แล้วจึงไปยังการใช้งานจริง ข้อดี และความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ในปัจจุบัน
สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Currency) คือสกุลเงินของประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบเป็นหลัก มูลค่าของสกุลเงินมักขึ้นลงตามราคาสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่เหล็ก ทองคำ หรือผลิตภัณฑ์เกษตร เนื่องจากสินค้าเหล่านี้มีการซื้อขายทั่วโลกในปริมาณมาก ความผันผวนของอุปสงค์หรือราคาใด ๆ จะส่งผลโดยตรงต่อรายได้จากการค้าของประเทศนั้น และส่งผลต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงิน
เมื่อความต้องการโลกเพิ่มขึ้นและราคาส่งออกสูงขึ้น ผู้ซื้อจากต่างประเทศจำเป็นต้องซื้อสกุลเงินของประเทศนั้นมากขึ้นเพื่อจ่ายค่าสินค้า ส่งผลให้ความต้องการสกุลเงินสูงขึ้นและทำให้มูลค่าของสกุลเงินแข็งค่าขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าลดลง รายได้จากการส่งออกลดลง และสกุลเงินมักอ่อนค่าลง
ตัวอย่างประเทศที่มี Commodity Currency ได้แก่:
ออสเตรเลีย (แร่เหล็ก ถ่านหิน ทองคำ)
แคนาดา (น้ำมันดิบ พลังงาน)
นิวซีแลนด์ (อุตสาหกรรมนมและเกษตรกรรม)
นอร์เวย์ (น้ำมันดิบเบรนท์ ก๊าซ)
แอฟริกาใต้ (โลหะ แร่ธาตุ)
แต่ละประเทศมีทรัพยากรเฉพาะตัว แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดแสดงให้เห็นสกุลเงินที่ผูกกับสินค้าสำคัญ สำหรับนักเทรด Forex สกุลเงินเหล่านี้สามารถสะท้อนกระแสการค้าจริงและสุขภาพเศรษฐกิจมหภาคได้โดยตรง
ราคาสินค้ามีผลต่อสกุลเงินผ่านหลายช่องทางที่เชื่อมโยงการค้า การลงทุน และนโยบายเข้าด้วยกัน
ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นทำให้รายได้จากการส่งออกสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศดีขึ้นและสนับสนุนการแข็งค่าของสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาสินค้าแร่เหล็กสูงขึ้น รายได้จากการส่งออกของออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้น ทำให้สกุลเงิน AUD แข็งค่าขึ้น
ภาคสินค้าโภคภัณฑ์ที่แข็งแกร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ภาคพลังงาน เหมืองแร่ หรือเกษตรกรรม การไหลเข้าของเงินทุนนี้สร้างความต้องการสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มเติมเมื่อนักลงทุนซื้อสินทรัพย์หรือสนับสนุนการดำเนินงาน จังหวัดที่อุดมไปด้วยน้ำมันของแคนาดาได้รับประโยชน์จากวัฏจักรนี้มายาวนาน เมื่อราคาพลังงานเพิ่มขึ้น จะดึงดูดเงินทุนเข้ามาและผลักดันให้ CAD แข็งค่าขึ้น
รายได้จากการส่งออกที่สูงสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศและเงินเฟ้อ ธนาคารกลางในเศรษฐกิจเหล่านี้มักตอบสนองด้วยนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันความร้อนแรงของเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้สกุลเงินมีความน่าสนใจต่อผู้ลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทน
สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์มักมีผลการดำเนินงานดีเมื่อคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งและนักลงทุนมีความพร้อมรับความเสี่ยงสูง แต่เมื่อมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนมักหันไปถือสกุลเงินปลอดภัย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือเยนญี่ปุ่น ส่งผลให้สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนค่าลง
ตัวอย่างที่ชัดเจนเกิดขึ้นระหว่างปี 2020 ถึง 2022 เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มเปิดตัวหลังการระบาด ความต้องการน้ำมัน โลหะ และสินค้าการเกษตรพุ่งสูง ประเทศผู้ส่งออกพลังงานอย่างแคนาดาและนอร์เวย์เห็นสกุลเงินของตนแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ส่งผลกระทบต่อ Forex อย่างไร
การรับรู้สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา นักเทรดสามารถอ้างอิงกระบวนการระบบที่ยึดข้อมูลเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และพฤติกรรมตลาด
หากมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกของประเทศเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงินของประเทศนั้นมักถือว่าเป็น Commodity Currency
ออสเตรเลีย ประมาณ 60 % ของการส่งออกมาจากทรัพยากร เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน และทองคำ
แคนาดา ประมาณ 50 % จากน้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์พลังงาน
นิวซีแลนด์ มากกว่า 40 % มาจากผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ และไม้
การส่งออกเหล่านี้มีผลต่อทั้งดุลการค้าและนโยบายการคลัง ทำให้มูลค่าสกุลเงินผูกติดกับวัฏจักรความต้องการโลก
การวิเคราะห์เชิงสถิติช่วยให้เห็นชัดเจน Commodity Currency มักมีความสัมพันธ์บวก (มากกว่า +0.6) กับสินค้าส่งออกหลัก
CAD มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน
AUD แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับทองคำและแร่เหล็ก
NZD ติดตามดัชนีราคาผลิตภัณฑ์นมทั่วโลก
การวิเคราะห์ข้อมูลราคาสัปดาห์หรือรายเดือนช่วยให้นักเทรดเห็นว่าสกุลเงินแข็งค่าตามแนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์หรือไม่
Terms of Trade คืออัตราส่วนระหว่างราคาส่งออกกับราคานำเข้า สามารถบ่งชี้ความได้เปรียบของภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงรายได้จากการส่งออกที่ดีขึ้น มักนำไปสู่การแข็งค่าของสกุลเงิน
ธนาคารกลางในประเทศที่พึ่งพาทรัพยากรมักกล่าวถึงวัฏจักรสินค้าโภคภัณฑ์ในรายงาน เช่น ธนาคารกลางออสเตรเลียติดตามราคาสินค้าแร่เหล็กในแนวโน้มเงินเฟ้อ ขณะที่ธนาคารกลางแคนาดามักอ้างอิงราคาน้ำมันดิบเป็นปัจจัยสำคัญจากต่างประเทศ
Commodity Currency มักอ่อนค่าลงในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเมื่อความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง ความสามารถในการขยายตัวตามวัฏจักรโลกทำให้สกุลเงินเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
โดยการประยุกต์ใช้เกณฑ์เหล่านี้ นักเทรดสามารถยืนยันได้ว่าสกุลเงินนั้นเป็นสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์จริงหรือเพียงได้รับอิทธิพลจากความผันผวนการค้าชั่วคราว
สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์มีอยู่ในหลายทวีป สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการทรัพยากรโลกเชื่อมโยงเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างไร
การส่งออกของออสเตรเลียพึ่งพาแร่เหล็ก ถ่านหิน และทองคำเป็นหลัก โดยเฉพาะกับจีน เมื่อกิจกรรมอุตสาหกรรมในเอเชียเพิ่มขึ้น ความต้องการทรัพยากรของออสเตรเลียก็สูงขึ้น ทำให้ AUD แข็งค่า ในทางกลับกัน การชะลอตัวทางการค้าหรือราคาสินแร่ลดลงอาจทำให้สกุลเงินอ่อนค่า AUD ยังได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอื่น ๆ ซึ่งมักดึงดูดเงินทุนแสวงหาผลตอบแทนในช่วงบูมของสินค้าโภคภัณฑ์
เศรษฐกิจแคนาดาพึ่งพาน้ำมันดิบ ทำให้ CAD เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ไวต่อราคาพลังงานโลกมากที่สุด การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องช่วยเสริมความมั่นคงทางการคลังของแคนาดา มักทำให้สกุลเงินมีผลการดำเนินงานเหนือกว่าสกุลเงินคู่แข่ง ในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำในปี 2020 CAD ร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่เมื่อราคาน้ำมันฟื้นตัวเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 สกุลเงินก็กลับมาฟื้นตัวส่วนใหญ่
NZD ขับเคลื่อนโดยการส่งออกผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ และไม้ ความต้องการสินค้าเกษตรโลกและสภาพอากาศส่งผลต่อทิศทางสกุลเงิน โดยทั่วไป NZD แข็งค่าขึ้นในช่วงที่การบริโภคโลกแข็งแกร่ง และอ่อนค่าลงเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง ปัจจัยตามฤดูกาล เช่น ผลผลิตพืชหรือภัยแล้ง ก็สามารถเพิ่มความผันผวนได้
เศรษฐกิจนอร์เวย์สร้างขึ้นบนการส่งออกน้ำมันและก๊าซ NOK เคลื่อนไหวใกล้ชิดกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ความรอบคอบทางการคลังและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติช่วยบรรเทาความผันผวน แต่โครนาก็ยังสะท้อนวัฏจักรพลังงาน เมื่อความต้องการพลังงานในยุโรปเพิ่มขึ้น NOK มักแข็งค่า
แรนด์สะท้อนการพึ่งพาโลหะมีค่า เช่น ทองคำ แพลตตินั่ม และพาลาเดียม ของแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อมั่นความเสี่ยงของโลก เพราะนักลงทุนมักใช้ ZAR เป็นตัวแทนของผลการดำเนินงานตลาดเกิดใหม่ การได้รับผลกระทบสองทางนี้ทำให้มีโอกาสสูง แต่ก็มีความผันผวนมากเช่นกัน
สกุลเงินเหล่านี้สะท้อนจุดแข็งด้านทรัพยากรของแต่ละประเทศ และให้ข้อมูลเชิงลึกแก่นักเทรดว่าวัฏจักรสินค้าโภคภัณฑ์โลกส่งผลต่อการเงินและจิตวิทยาการลงทุนอย่างไร
เพื่อตรวจสอบว่าสกุลเงินใดเชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์หรือไม่ นักเทรดสามารถผสมผสานการวิเคราะห์เชิงปริมาณกับบริบทเศรษฐกิจมหภาคได้
ระบุสินค้าส่งออกหลักของประเทศ (เช่น น้ำมันสำหรับแคนาดา)
ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลา
เปรียบเทียบการเคลื่อนไหวเหล่านั้นกับคู่สกุลเงิน (เช่น USD/CAD)
คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในช่วง 6-12 เดือน
ตรวจสอบผลลัพธ์กับข้อมูลการค้าและ GDP
ติดตามข่าวสารและแถลงการณ์ของธนาคารกลางเพื่อความสม่ำเสมอ
ความสัมพันธ์เชิงบวกที่สม่ำเสมอบ่งชี้ถึงความพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 10% และ CAD แข็งค่าขึ้น 3–4% ภายในไม่กี่สัปดาห์ แสดงถึงความไวต่อสินค้าโภคภัณฑ์สูง AUD และทองคำมักแสดงรูปแบบคล้ายกัน โดยเฉพาะในช่วงตลาดมีความเสี่ยงสูง (risk-on)
การวิเคราะห์นี้ไม่เพียงแต่อธิบายประวัติราคาเท่านั้น แต่ยังช่วยคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต หากฟิวเจอร์สินค้าชี้ถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้น นักเทรดสามารถเตรียมรับการแข็งค่าของสกุลเงินล่วงหน้าก่อนที่ข้อมูลทางการจะยืนยัน
ปัจจัยขับเคลื่อนชัดเจน: ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ถูกติดตามอย่างกว้างขวาง ทำให้นักเทรดได้รับสัญญาณชัดเจนว่าปัจจัยใดอาจส่งผลต่อสกุลเงิน
สามารถคาดการณ์จากปัจจัยพื้นฐาน: เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรจริง นักเทรดสามารถใช้ตรรกะเศรษฐกิจมหภาคแทนการเก็งกำไร
คุณค่าในการกระจายความเสี่ยง: Commodity Currency มีพฤติกรรมแตกต่างจากคู่ USD หรือ EUR ทำให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์
ความผันผวน: ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่แกว่งตัวรุนแรงสามารถทำให้สกุลเงินเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์: การคว่ำบาตร ความขัดแย้ง หรือข้อจำกัดทางการค้าอาจรบกวนการส่งออกสินค้า
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและนโยบาย: รายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นเศรษฐกิจจนร้อนแรง ทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยอย่างฉับพลัน ส่งผลต่อการกำหนดราคาสกุลเงิน
การเทรดสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพต้องรักษาสมดุล ระหว่างการติดตามแนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์กับการจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย
เมื่อราคาน้ำมันดิ่งต่ำกว่า 0 ดอลลาร์ชั่วคราวในเดือนเมษายน 2020 CAD ร่วงอย่างรุนแรงเนื่องจากรายได้จากการส่งออกของแคนาดาลดลง แต่เมื่อปี 2022 ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น สกุลเงินฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง วัฏจักรนี้ยืนยันความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง CAD กับราคาน้ำมันดิบ และบทบาทของ CAD เป็นตัวชี้วัดตลาดพลังงานโลก
เมื่อราคาสินค้าแร่เหล็กสูงกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในต้นปี 2021 ทำให้ดุลการค้าเกินดุลของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และ AUD/USD ขึ้นไปใกล้ระดับสูงสุดของปี ต่อมาปีเดียวกัน เมื่อการผลิตเหล็กของจีนชะลอตัว ราคาลดลงครึ่งหนึ่ง และ AUD ก็ปรับตัวลดลงตาม
NZD เคลื่อนไหวตามราคาประมูลนมโลกแทบทุกขั้นตอน เมื่อราคานมเฉลี่ยลดลง 10% กลางปี NZD ก็อ่อนค่าลงตามสัดส่วน แสดงให้เห็นว่ารอบการเกษตรสามารถส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงาน Forex
กรณีศึกษาแต่ละตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจที่ผูกกับสินค้าโภคภัณฑ์สามารถถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงในโลกจริงไปยังมูลค่าสกุลเงินได้เร็วกว่าที่นักเทรดหลายคนคาดคิด
สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเชิงปฏิบัติสำหรับวิเคราะห์วัฏจักรเศรษฐกิจโลก
เครื่องชี้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจมหภาค: นักเทรดติดตามสกุลเงินเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ล่วงหน้าของการเติบโตหรือชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
การเทรดตามความสัมพันธ์: การจับคู่การเทรดสกุลเงินกับสินค้าที่เกี่ยวข้องช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้จากทั้งสองตลาด
การป้องกันความเสี่ยงในพอร์ต: นักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์สามารถถือสกุลเงินที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความเสี่ยง
การวิเคราะห์หลายสินทรัพย์: การผสานกราฟ Forex กับข้อมูลสินค้าโภคภัณฑ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านกลยุทธ์และจังหวะการเข้าตลาด
ตัวอย่างเช่น นักเทรดที่มองบวกต่อน้ำมันอาจเปิดสถานะซื้อ CAD หรือขาย USD/CAD เพื่อสอดคล้องทั้งสองสินทรัพย์ ในทำนองเดียวกัน การคาดการณ์ราคาทองคำสูงขึ้นสามารถสนับสนุนมุมมองบวกต่อ AUD
กลยุทธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์สามารถเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจมหภาคกับการดำเนินการในตลาดได้
เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.3% ทั้งในปี 2025 และ 2026 ตามการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF แม้จะเติบโตอย่างมั่นคง แต่ยังคงมีความเสี่ยงเงินเฟ้อและราคาสินค้าโภคภัณฑ์แสดงสัญญาณผสม สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยจะอยู่ที่ 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 ปี 2025 และลดลงเหลือ 52 ดอลลาร์ในปี 2026 เนื่องจากอุปทานโลกยังคงเกินความต้องการ การผลิตน้ำมันคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2025 และเพิ่มอีก 1.1 ล้านบาร์เรลในปี 2026 นำโดยผู้ผลิตนอก OPEC เช่น สหรัฐและบราซิล ซึ่งสภาวะนี้บ่งชี้ว่าสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น ดอลลาร์แคนาดา (CAD) และโครนานอร์เวย์ (NOK) อาจอยู่ในกรอบเคลื่อนไหวจำกัด เว้นแต่ OPEC+ จะลดการผลิตอย่างเข้มงวดหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะจำกัดอุปทาน
ในทางกลับกัน โลหะอุตสาหกรรมเข้าสู่ช่วงตึงตัว กลุ่มศึกษาทองแดงระหว่างประเทศ (ICSG) คาดว่าตลาดทองแดงบริสุทธิ์จะขาดดุล 150,000 ตันในปี 2026 พลิกจากแนวโน้มเกินดุลก่อนหน้านี้ เนื่องจากการผลิตต่ำกว่าที่คาดในชิลี อินโดนีเซีย และคองโก ธนาคารโลกคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมจะลดลงประมาณ 5% ในปี 2025 และอีก 2% ในปี 2026 แต่ทองแดงยังคงแข็งแกร่งเพราะความต้องการเชิงโครงสร้างจากการใช้ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน สภาวะนี้สนับสนุนสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับโลหะ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) โดยเฉพาะเพราะทองแดงที่แข็งแกร่งชดเชยราคาพลังงานที่อ่อนตัว รัฐบาลออสเตรเลียยังคงให้ความสำคัญกับแร่เหล็กเป็นสินค้าส่งออกหลัก แต่ความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์และเหล็กของจีนทำให้ AUD ยังคงไวต่อรอบวัฏจักร
ตลาดสินค้าเกษตรและแร่สำคัญมีภาพที่แตกต่าง ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์นม FAO ลดลง 2.6% ในเดือนกันยายน 2025 แต่ยังสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 9% ขณะที่สต็อกธัญพืชโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสิ้นสุดฤดูกาล 2025/26 ทำให้ราคาผลิตอาหารโดยรวมค่อนข้างทรงตัว สำหรับ NZD นี่เป็นสัญญาณการสนับสนุนที่ปานกลางแต่มั่นคง มากกว่าการแข็งค่าพุ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน รายงาน Global Critical Minerals Outlook 2025 ของ IEA ยืนยันว่าราคาลิเทียมลดลงมากกว่า 80% จากจุดสูงสุดปี 2021–22 กราฟไทต์ โคบอลต์ และนิกเกิลก็ลดลงเช่นกัน ตลาดยังมีอุปทานเพียงพอจนถึงปี 2026 และคาดว่าอุปทานจะแน่นจริงจังในช่วงปลายทศวรรษ สรุปคือ ปี 2026 จะเป็นปีของพลังงานอ่อนตัว โลหะแข็งแกร่ง และเกษตรทรงตัว ซึ่งเป็นการผสมผสานที่น่าจะเอื้อประโยชน์ต่อ AUD และ ZAR มากกว่า CAD และ NOK ขณะเดียวกัน NZD น่าจะทรงตัวท่ามกลางความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต่ำ
สกุลเงินจะได้รับฉลากนี้เมื่อมูลค่าของมันสะท้อนประสิทธิภาพการส่งออกของทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น น้ำมัน โลหะ หรือสินค้าการเกษตรอย่างสม่ำเสมอ
เพราะราคาส่งออกที่เพิ่มขึ้นดึงดูดเงินตราต่างประเทศไหลเข้าสู่ประเทศ เพิ่มความต้องการสกุลเงินท้องถิ่น เมื่อราคาลดลง เงินไหลเข้าก็น้อยลง ส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่าลง
สกุลเงินที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ได้แก่ ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD), ดอลลาร์แคนาดา (CAD), ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD), โครนานอร์เวย์ (NOK), และแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR)
การระบุสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Currency) คือการเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของ Forex กับเศรษฐกิจโลกจริง ซึ่งรวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับรายได้ การส่งออก และการตอบสนองต่อความต้องการทรัพยากรธรรมชาติของโลก สกุลเงินเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเทรด แต่เป็นการสะท้อนชีวิตของการค้าโลกและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับนักเทรด การเข้าใจ Commodity Currency ช่วยให้มองเห็นความชัดเจนในตลาดที่วุ่นวาย ช่วยคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยราคาพลังงาน ผลผลิตการเกษตร หรือความต้องการอุตสาหกรรม การเชื่อมโยงนี้เปลี่ยนการเทรดจากการเดาไปสู่การวิเคราะห์อย่างมีข้อมูล
Commodity Currency จะยังคงพัฒนา แต่บทบาทของมันในฐานะสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มโลกจะยังสำคัญเสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ หรือสินค้ารุ่นใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม สกุลเงินเหล่านี้จะยังเล่าเรื่องราวของการเคลื่อนไหวของทรัพยากรและเงินในโลกต่อไป
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ