2025-09-26
การดีดตัว (Retracements) เกิดขึ้นเพราะตลาดแทบไม่เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรงเสมอไป โดยมักมีการถอยกลับระยะสั้นจากการที่นักเทรดทำกำไร รับข่าวสาร หรือรอโอกาสในการเข้าซื้อที่ดีกว่า
การเข้าใจการปรับฐานชั่วคราวเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านล่างนี้ คุณจะได้สำรวจถึงสาเหตุของการดีดตัว เครื่องมือที่ใช้ในการระบุ กลยุทธ์การเทรดที่สามารถนำไปใช้ได้จริง รวมถึงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยซึ่งควรหลีกเลี่ยง
ตลาดการเงินแทบไม่เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แม้ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงที่แข็งแกร่ง ราคาก็มักจะมีการถอยกลับจากการทำกำไรระยะสั้น ข่าวสารเฉพาะหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่า การดีดตัว (Retracement)
ในทางกลับกัน การกลับทิศทาง (Reversal) บ่งบอกว่าแนวโน้มก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแล้วร่วงลงมาราว 38% ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อ แบบนี้คือการดีดตัว แต่หากราคาหลุดแนวรับสำคัญและยังคงร่วงลงต่อด้วยแรงส่งที่มาก กรณีนั้นมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นการกลับทิศทาง
จิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังการดีดตัวของราคามีรากฐานมาจากพฤติกรรมของนักลงทุนคือปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการดีดตัว นักเทรดบางส่วนเลือกปิดทำกำไร ผู้ซื้อที่ระมัดระวังรอโอกาสเข้าที่ดีกว่า และผู้ขายชั่วคราวมีจำนวนมากกว่าผู้ซื้อ แรงกดดันเหล่านี้ทำให้เกิดการปรับฐานสั้น ๆ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทิศทางที่ถาวร
การระบุการดีดตัวเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจแนวโน้มหลัก การดีดตัวจะยังคงถือว่าถูกต้องหากแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงเดิมยังคงอยู่ โดยนักเทรดมักพิจารณา:
การถอยกลับของราคาที่เคารพแนวรับหรือแนวต้านเดิม
การปรับฐานชั่วคราวที่ไม่ทะลุโครงสร้างแนวโน้มโดยรวม
การแก้ไขที่เกิดขึ้นในกรอบที่มีเหตุผล มักพบในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า
การเลือกจุด Swing High และ Swing Low เป็นขั้นตอนสำคัญในการวัดการดีดตัว โดยเมื่อนำอินดิเคเตอร์ เช่น ระดับ Fibonacci มายึดกับจุดเหล่านี้ จะสามารถประเมินได้ว่าราคาอาจหยุดพักที่ใดก่อนที่จะเดินหน้าตามแนวโน้มเดิมต่อไป
มีหลายเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการระบุโซนการดีดตัว ได้แก่:
ระดับสำคัญ เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6% แสดงถึงพื้นที่ที่ราคามีโอกาสหยุดพักก่อนกลับเข้าสู่แนวโน้ม
ระดับราคาที่เกิดขึ้นในอดีตมักเป็นจุดที่ราคาดีดตัวได้ตามธรรมชาติ
การดีดตัวมักเคลื่อนไหวตามเส้นแนวโน้มหรือขอบของช่องราคา
เช่น ค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 200 วัน ที่มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบไดนามิก
อินดิเคเตอร์อย่าง RSI และ MACD ช่วยยืนยันว่าการดีดตัวเป็นเพียงการหยุดพักที่แข็งแรง หรือเป็นสัญญาณของแรงส่งที่อ่อนลง
ปริมาณที่ลดลงในช่วงการถอยกลับมักยืนยันว่าเป็นการดีดตัวมากกว่าการกลับทิศทาง
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกันให้ความแม่นยำและความมั่นใจมากกว่าการพึ่งพาเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว
การดีดตัวสามารถนำมาใช้ทั้งในการวางกลยุทธ์เข้าและออกจากตลาด
เทคนิคการเข้า: นักเทรดอาจเข้าซื้อเมื่อราคาดีดกลับจากระดับ Fibonacci หรือแนวรับ หรือตัดสินใจรอการเบรกเอาท์หลังการดีดตัว
การจัดการความเสี่ยง: มักมีการวางจุด Stop Loss ไว้เหนือระดับที่ถือว่าการดีดตัวถูกทำให้เป็นโมฆะ เพื่อป้องกันความเคลื่อนไหวที่เกินคาด
การทำกำไร: นักเทรดบางรายทยอยปิดบางส่วนที่ระดับการดีดตัวหลัก หรือเลื่อนจุด Stop ตาม Swing High และ Swing Low ใหม่
แนวทางการผสมผสาน: การดีดตัวจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับรูปแบบแท่งเทียน การยืนยันแนวโน้ม หรือสัญญาณโมเมนตัม
การหลีกเลี่ยงการดีดตัวลวง (False Retracements) ต้องอาศัยวินัย การถอยกลับที่รวดเร็วหรือการแก้ไขที่ตื้นเกินไปอาจหลอกให้นักเทรดเข้าตลาดก่อนเวลา การรอการยืนยันช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากกว่า
งานวิจัยเกี่ยวกับ Fibonacci Retracements ให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย บางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับ 38.2% และ 61.8% มีความสำคัญทางสถิติในสินทรัพย์บางประเภท
เช่น หุ้นกลุ่มพลังงานเคยแสดงรูปแบบการดีดตัวที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการถือครองแบบ Buy-and-Hold
อย่างไรก็ตาม หลายงานวิชาการชี้ว่า ระดับการดีดตัวไม่ได้มีคุณสมบัติทำนายผลลัพธ์โดยตรง ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับสภาพตลาด กรอบเวลา และการใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น
ในทางปฏิบัติ การดีดตัวมักใช้ได้ผลเพราะนักเทรดจำนวนมากจับตามองระดับเดียวกัน ทำให้เกิดลักษณะ Self-fulfilling แต่ก็ไม่ได้รับประกันเสมอไป
เมื่อใช้งานการดีดตัว ปัจจัยด้านปฏิบัติจริงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าทฤษฎี
กรอบเวลา: กรอบเวลาที่ยาวกว่ามักให้สัญญาณที่แข็งแรงกว่ากราฟรายวัน
แพลตฟอร์มการสร้างกราฟ : ซอฟต์แวร์เทรดส่วนใหญ่รองรับการวาด Fibonacci และเส้นแนวโน้มอย่างรวดเร็ว
การบรรจบกัน: ระดับการดีดตัวที่สอดคล้องกับแนวรับ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และสัญญาณโมเมนตัม จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการพิจารณาเพียงระดับเดียว
วินัยทางจิตวิทยา: นักเทรดต้องรอให้การดีดตัวเสร็จสิ้น และหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
กรณีศึกษา: ในตลาดหุ้น การดีดตัวมักเป็นจังหวะเข้าซื้อระหว่างรอบขาขึ้นใหญ่ ส่วนในตลาดฟอเร็กซ์ การดีดตัวเกิดขึ้นบ่อยในคู่เงินที่มีแนวโน้มชัด เช่น EUR/USD
แม้การดีดตัวจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้แม่นยำเสมอไป ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่:
การพึ่งพาเพียง Fibonacci หรือระดับราคาคงที่โดยไม่รอการยืนยัน
การเข้าใจผิดว่าการดีดตัวลึกคือการกลับทิศทาง จนนำไปสู่การจัดการเทรดที่ไม่ดี
มองข้ามปัจจัยพื้นฐานที่อาจมีอิทธิพลเหนือสัญญาณทางเทคนิค
ความมั่นใจมากเกินไป โดยคิดว่าการดีดตัวจะกลับเข้าสู่แนวโน้มเดิมเสมอ
นักเทรดควรใช้การบริหารความเสี่ยงทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะใหญ่เกินไปเพียงเพราะอิงจากสัญญาณการดีดตัวครั้งเดียว
การดีดตัวถือเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่ช่วยให้นักเทรดมีวิธีการที่เป็นระบบในการมองหาโอกาส ความสำคัญอยู่ที่การผสมผสานการดีดตัวเข้ากับการวิเคราะห์แนวโน้ม การใช้อินดิเคเตอร์หลายตัว และการปฏิบัติอย่างมีวินัย
เช็กลิสต์แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ได้แก่:
ยืนยันแนวโน้มก่อนค้นหาการดีดตัว
ใช้เครื่องมือหลายประเภทเพื่อยืนยันสัญญาณ
กำหนดจุด Stop Loss และแผนการออกอย่างชัดเจน
พิจารณาปัจจัยพื้นฐานควบคู่กับเทคนิคเสมอ
หากใช้ด้วยความระมัดระวัง การดีดตัวสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเทรดและการลงทุนได้
คำถามที่ 1: ความแตกต่างระหว่างการดีดตัวกับการกลับทิศทางคืออะไร?
การดีดตัวคือการหยุดพักชั่วคราวภายในแนวโน้มที่ยังดำเนินอยู่ ส่วนการกลับทิศทางคือการเปลี่ยนทิศทางของตลาดอย่างสิ้นเชิง
คำถามที่ 2: ระดับ Fibonacci Retracement ใดที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุด?
ระดับที่นิยมที่สุดคือ 38.2%, 50% และ 61.8% นอกจากนี้บางคนยังเฝ้าดู 23.6% สำหรับการแก้ไขที่ตื้น และ 78.6% สำหรับการถอยกลับที่ลึก
คำถามที่ 3: กลยุทธ์การใช้การดีดตัวสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
ผลลัพธ์แตกต่างกันไป การดีดตัวมีประสิทธิภาพเมื่อใช้ร่วมกับการยืนยันแนวโน้มและการบริหารความเสี่ยง แต่ไม่สามารถใช้ทำนายได้อย่างแม่นยำเพียงลำพัง
คำถามที่ 4: นักเทรดจะลดความเสี่ยงในการสับสนระหว่างการกลับทิศทางกับการดีดตัวได้อย่างไร?
ควรยืนยันด้วยอินดิเคเตอร์หลายตัว เฝ้าติดตามปริมาณการซื้อขายและโมเมนตัม และกำหนดจุด Invalidation หากราคาหลุดเกินระดับการดีดตัวทั่วไป ความเป็นไปได้ที่จะเป็นการกลับทิศทางจะเพิ่มขึ้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ