เผยแพร่เมื่อ: 2025-09-22
อัปเดตเมื่อ: 2025-11-07
สภาพคล่องหมายถึงระดับความรวดเร็วที่สินทรัพย์สามารถถูกซื้อหรือขายในตลาดได้โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาของมัน
สภาพคล่อง (Liquidity) หมายถึงความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในตลาดโดยไม่ทำให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
กล่าวง่าย ๆ สภาพคล่องคือการวัดว่าคุณสามารถแปลงสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ให้กลายเป็นเงินสดได้เร็วเพียงใด สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงคือสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็วในราคาที่ใกล้เคียงกับมูลค่าตลาดของมัน

สภาพคล่องคือระดับความสามารถของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ในการถูกแปลงเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยสูญเสียมูลค่าน้อยที่สุด
สภาพคล่องสูงหมายถึงมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว (เช่น คู่เงินหลักหรือหุ้นขนาดใหญ่)
สภาพคล่องต่ำหมายถึงมีผู้เข้าร่วมในตลาดน้อยและการทำธุรกรรมช้ากว่า ซึ่งมักนำไปสู่ความผันผวนของราคาที่มากขึ้น (เช่น หุ้นขนาดเล็กหรือของสะสมหายาก)
สภาพคล่องยังสามารถหมายถึง สภาพคล่องของตลาด (ระดับความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาด) หรือ สภาพคล่องของบัญชี (จำนวนเงินสดหรือเครดิตที่เทรดเดอร์มีพร้อมใช้งาน)
สภาพคล่องขึ้นอยู่กับกิจกรรมในตลาด เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมซื้อขายที่ใช้งานอยู่และปริมาณการซื้อขาย ยิ่งมีผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดมากเท่าใด การจับคู่คำสั่งซื้อขายก็จะง่ายขึ้นและราคาจะคงที่มากขึ้น
ตัวอย่างการทำงานของสภาพคล่องในทางปฏิบัติ:
เทรดเดอร์ส่งคำสั่งซื้อคู่เงิน EUR/USD
ระบบของโบรกเกอร์จะตรวจสอบผู้ขายที่มีอยู่ในตลาดระหว่างธนาคาร
เนื่องจาก EUR/USD เป็นหนึ่งในคู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด จึงมีคู่สัญญาจำนวนมาก
การซื้อขายจะถูกดำเนินการทันทีในราคาที่เสนอ แสดงถึงสภาพคล่องสูง
ในทางตรงกันข้าม หากเทรดเดอร์พยายามขายพันธบัตรบริษัทที่หายาก อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะหาผู้ซื้อได้ และอาจจำเป็นต้องยอมขายในราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณของสภาพคล่องต่ำ
สภาพคล่องสูง: ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน คู่เงินหลักอย่าง EUR/USD หรือ USD/JPY สามารถซื้อขายได้ทันทีด้วยส่วนต่างราคาที่แคบ
สภาพคล่องต่ำ: ในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 หลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage-Backed Securities) จำนวนมากกลายเป็นสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง เพราะไม่มีผู้ซื้อที่เต็มใจ ส่งผลให้ผู้ขายต้องยอมขายในราคาต่ำมาก
ผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider): สถาบันการเงินหรือผู้เข้าร่วมตลาดที่เสนอราคา “ซื้อ” และ “ขาย” เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องของตลาด
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ขาดทุนในระดับมาก
ความลึกของตลาด (Market Depth): ปริมาณคำสั่งซื้อและขายในแต่ละระดับราคา ตลาดที่มีความลึกมากบ่งชี้ถึงสภาพคล่องสูง
ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและขาย (Bid-Ask Spread): ส่วนต่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อเสนอ (Bid) กับราคาที่ผู้ขายต้องการ (Ask) โดยส่วนต่างที่แคบกว่าหมายถึงสภาพคล่องที่สูงกว่า
สภาพคล่องช่วยให้การซื้อขายสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและในราคาที่เป็นธรรม หากขาดสภาพคล่อง เทรดเดอร์อาจเผชิญกับปัญหาการลื่นไถลของราคา (slippage) หรือไม่สามารถปิดสถานะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อสภาพคล่องสูง ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและขาย (spread) จะมีขนาดแคบลง ทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำลง แต่หากสภาพคล่องต่ำ สเปรดจะกว้างขึ้นและอาจเกิดการลื่นไถลของราคาได้
ได้ สภาพคล่องมักลดลงในช่วงเวลาที่ตลาดปิด วันหยุด หรือช่วงวิกฤตทางการเงิน เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมในตลาดน้อยลง
สภาพคล่องเป็นการวัดความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่กระทบต่อราคา สภาพคล่องสูงช่วยให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่น มีสเปรดแคบ และราคามีเสถียรภาพ ในขณะที่สภาพคล่องต่ำอาจทำให้เกิดความล่าช้าและความผันผวนสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของตลาด โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ