เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-18
ในการซื้อขายล่าสุดของตลาดสหรัฐเมื่อวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2025 ตามเวลานิวยอร์ก ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอีกครั้ง โดยดัชนี S&P 500 ลดลงประมาณ 1.2%, Nasdaq ร่วงลงราว 1.8% และ Dow Jones ปรับตัวลงประมาณ 0.5%

การปรับตัวลงครั้งนี้ถือเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ที่ทั้ง S&P 500 และ Dow Jones ปิดลบ สะท้อนให้เห็นว่าแรงขายไม่ได้เป็นเพียงอาการตื่นตระหนกระยะสั้น แต่เริ่มพัฒนาไปสู่ แนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ทำให้การปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐรอบนี้น่าสนใจ คือ สาเหตุไม่ได้มาจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ช็อกตลาด หรือความประหลาดใจจากธนาคารกลาง หากแต่เป็นแรงกระทบต่อความเชื่อมั่น ของนักลงทุน ตลาดเริ่มตั้งคำถามว่า การแข่งขันในระยะถัดไปของ เทคโนโลยี AI จะต้องใช้ เงินลงทุน หนี้ และการใช้จ่ายมากเพียงใด และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผลตอบแทนจะเกิดขึ้นเร็วพอหรือไม่ เพื่อรองรับระดับราคาหุ้นในปัจจุบัน
| ดัชนี | ปิดตลาด | เปลี่ยนแปลงรายวัน | สะท้อนอะไร |
|---|---|---|---|
| S&P 500 | 6,721.43 | -1.2% | ตลาดโดยรวมอ่อนตัวลง แต่ยังไม่อยู่ในภาวะปั่นป่วน |
| Dow Jones | 47,885.97 | -0.5% | หุ้นเศรษฐกิจดั้งเดิมและกลุ่มป้องกันความเสี่ยงช่วยพยุงตลาด |
| Nasdaq Composite | 22,693.32 | -1.8% | กลุ่มหุ้นเติบโตและ AI เป็นแรงกดดันหลักของตลาด |
แรงอ่อนตัวที่นำโดยหุ้นเทคโนโลยีส่งผลให้ตลาดปรับตัวลงเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มักขยายผลด้านลบของพาดหัวข่าวและบั่นทอนความเชื่อมั่น แม้ว่าการขายยังคงกระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่มเป็นหลักก็ตาม

คำอธิบายหลักยังคงเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ หุ้นผู้นำในธีม AI ปรับตัวลงอย่างรุนแรง และด้วยน้ำหนักของหุ้นเหล่านี้ที่สูงมาก จึงส่งผลกระทบต่อดัชนีทั้งระบบ ในเชิงบริบท มีรายงานเกี่ยวกับแผนจัดหาเงินทุนสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ขนาดใหญ่ที่เริ่มมีปัญหา ซึ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงขายเป็นวงกว้างในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI และแรงกดดันดังกล่าวได้ฉุด Nasdaq ลงอย่างชัดเจน
เมื่อหุ้นที่เป็น “ผู้ชนะรายใหญ่” และเป็นตำแหน่งที่นักลงทุนถือกันอย่างหนาแน่นเริ่มปรับฐานพร้อมกัน ความเสียหายจึงสะท้อนออกมาในระดับดัชนี แม้ว่าหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยจะยังปรับตัวบวกอยู่ก็ตาม
ประเด็นนี้มีความสำคัญ เพราะธีม AI ถูกประเมินราคาไว้ราวกับเป็นเส้นตรง โดยอุปสงค์เพิ่มขึ้น การลงทุนเพิ่มขึ้น และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การเคลื่อนไหวของตลาดในวันนี้เตือนนักลงทุนว่า การใช้จ่ายมีขีดจำกัด และแหล่งเงินทุนไม่ได้รับประกันเสมอไป เมื่อความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ปฏิกิริยาปกติของตลาดคือ ลดสัดส่วนในดีลที่แออัดที่สุด
สิ่งที่สะท้อนจากจุดนี้
ตลาดเริ่มไม่ยอมจ่าย “ราคาเท่าไรก็ได้” เพื่อถือธีม AI
หุ้นที่ต้องพึ่งพาเงินลงทุน (Capex) สูงมักถูกลงโทษเป็นกลุ่มแรก เมื่อความกังวลด้านเงินทุนเพิ่มขึ้น
การปรับลงของดัชนีอาจดูรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นทั้งตลาด เพราะหุ้นขนาดใหญ่มีน้ำหนักสูงมาก
แม้จะเป็นวันที่ตลาดขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเฉพาะของหุ้น แต่อัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นฉากหลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นักเทรดยังคงพยายามประเมินว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินจะเกิดขึ้นได้มากแค่ไหน และเร็วเพียงใด
ความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางช่วยเติมเชื้อให้กับการถกเถียงเรื่องการลดดอกเบี้ย แต่ตลาดยังไม่มองว่าเป็นสัญญาณไฟเขียวที่ชัดเจน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไม่จำเป็นต้องพุ่งขึ้น หุ้นก็สามารถปรับตัวลงได้ เมื่อระดับการประเมินมูลค่าสูงอยู่แล้ว เพียงแค่ความไม่แน่นอนก็เพียงพอ นักเทรดเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอัตราผลตอบแทนหรือความคาดหวังด้านดอกเบี้ย สามารถเปลี่ยนระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมถือข้ามคืนได้อย่างมีนัยสำคัญ
การซื้อขายช่วงปลายปีมักมีลักษณะผิดปกติ กองทุนขนาดใหญ่ทำการปรับพอร์ต บางฝ่ายลดความเสี่ยง ขณะที่นักลงทุนบางรายล็อกกำไรหรือขายเพื่อบริหารภาษี เมื่อสภาพคล่องลดลง แรงขายเพียงเล็กน้อยก็สามารถกดดัชนีลงได้แรงกว่าปกติ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานล่าสุดเกี่ยวกับความตึงตัวในตลาดเงินระยะสั้น ซึ่งอัตรา repo ที่สูงขึ้นอาจเป็นสัญญาณของสภาพคล่องที่เริ่มตึง แม้สิ่งเหล่านี้จะไม่ปรากฏชัดบนกราฟหุ้น แต่สามารถเพิ่มระดับความระมัดระวังให้กับทั้งระบบได้
แม้หุ้นกลุ่มเติบโตจะปรับตัวลง แต่บางกลุ่มที่มีลักษณะป้องกันความเสี่ยงกลับทำผลงานได้ดีกว่าและมีความทนทานมากกว่า ขณะเดียวกัน หุ้นพลังงานได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น จากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความกังวลด้านอุปทาน
เมื่อหุ้นพลังงานทรงตัวได้ดีในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีอ่อนแรง มักสะท้อนถึงการเปลี่ยนโหมดจาก “รับความเสี่ยง” ไปสู่การปกป้องพอร์ตการลงทุน
การหลุดระดับทางเทคนิคที่ชัดเจนสามารถเปลี่ยนวันปรับลงธรรมดา ให้กลายเป็นการปรับฐานที่รุนแรงขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ดัชนีหลักปรับตัวหลุด เส้นค่าเฉลี่ยที่นักลงทุนจำนวนมากจับตา ซึ่งมักกระตุ้นแรงขายเชิงกลไกและคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-loss)
เมื่อผู้นำตลาดกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว การปรับฐานจึงดูรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะว่า
กลยุทธ์แบบ Passive และ Systematic ลดความเสี่ยงพร้อมกัน
ดีลเลอร์ทำเฮดจ์กระแสออปชันแบบอัตโนมัติ
กำไรที่สะสมอยู่กระจุกตัวในหุ้นชุดเดียวกับที่ทุกคนถือ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ในสถานการณ์เช่นนี้ Nasdaq มักร่วงแรงกว่า Dow เพราะไม่ใช่แค่ “Risk-off” แต่เป็นกระบวนการ ลดขนาดสถานะ (De-grossing) ในหุ้นผู้ชนะที่แออัดที่สุดของตลาด
หากมองให้ชัดขึ้น จะช่วยได้มากหากคิดว่าตลาดหุ้นสหรัฐมี “สองตลาด” ที่อยู่ร่วมกัน ได้แก่
ตลาดของเรื่องราว (Story Market): นักลงทุนเข้าซื้อธีมอย่าง AI ผลิตภาพ และการเติบโต
ตลาดงบดุล (Balance-Sheet Market): นักลงทุนจับตาอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนทางการเงิน และระดับเลเวอเรจที่ระบบการเงินสามารถรองรับได้
เมื่อใดที่ตลาดหุ้นแข็งแกร่ง ตลาดงบดุลมักถูกมองข้าม แต่เมื่อความเสี่ยงด้านเงินทุนเริ่มปรากฏ ตลาดงบดุลจะกลับมามีอำนาจควบคุมทิศทางทันที และภาพที่เห็นในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นกรณีหลังอย่างชัดเจน
| สินทรัพย์ | มุมมอง (รายวัน) | RSI (14) | MACD (12,26) | การอ่านความผันผวน | สะท้อนอะไร |
|---|---|---|---|---|---|
| S&P 500 | Strong Sell | 27.999 | -27.85 | ATR บ่งชี้ความผันผวนสูง | โมเมนตัมอยู่ในภาวะ Oversold แรงขายยังครอบงำ |
| Nasdaq 100 | Strong Sell | 26.442 | -172.45 | ATR ผันผวนสูง | แรงขาลงหนักกว่า S&P ตลาดยังเปราะบาง |
| Dow Jones | Strong Sell | 37.657 | -77.17 | ATR ผันผวนสูง | อ่อนตัว แต่ยังไม่ Oversold เท่ากลุ่มเทคโนโลยี |
| SPY (ETF S&P 500) | Strong Sell | 28.414 | -2.66 | ATR ผันผวนสูง | เคลื่อนไหวตามดัชนี: Oversold แต่แนวโน้มยังเป็นขาลง |
ระดับเหล่านี้มีความสำคัญ เพราะอยู่ใกล้ตัวเลขกลมและแนวโน้มที่นักลงทุนจำนวนมากเฝ้าดู
S&P 500
แนวรับ: 6,700 และ 6,650
แนวต้าน : 6,800 และโซน 6,900
หากระดับ 6,700 ไม่สามารถยืนได้เมื่อปิดตลาด นักเทรดมักมองการรีบาวด์เป็นโอกาสขาย จนกว่าโมเมนตัมจะฟื้นตัวชัดเจน
Nasdaq 100
แนวรับ : บริเวณสวิงล่าสุดแถวโซน 24,5xx–24,7xx (แนวจิตวิทยา)
แนวต้าน : โซนที่เคยหลุดลงมา และการกลับขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยหลัก (สัญญาณซ่อมแนวโน้ม)
Dow Jones
แนวรับ: 47,500–47,700
แนวต้าน: 48,300–48,500
Dow Jones ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ หากดัชนีนี้เริ่มทรงตัวได้ในขณะที่ Nasdaq ยังปรับลงต่อไป ประเด็นหลักของตลาดจะยังคงอยู่ที่การหมุนกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector Rotation) มากกว่าการเทขายทั้งกระดาน
ดัชนี CPI สหรัฐ (พ.ย. 2025) — วันที่ 18 ธ.ค. เวลา 8:30 น. ตามเวลา ET: เป็นตัวกระตุ้นโดยตรงต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ค่าเงินดอลลาร์ และการประเมินมูลค่าหุ้นเติบโต
ข่าวการลงทุน (Capex) ด้าน AI: ต้องจับตาว่ามีสัญญาณใดบ้างที่บ่งชี้ว่าแผนการใช้จ่ายถูกเลื่อนออกไป แหล่งเงินทุนมีเงื่อนไขแย่ลง หรือการลงทุนยังไม่แปลงเป็นอุปสงค์จริง
ความกว้างของตลาด: หากหุ้นส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวลงตามกลุ่มเทคโนโลยี ความเสี่ยงจะยกระดับจาก “การหมุนกลุ่ม” ไปสู่ภาวะ “Risk-off”
ปัจจัยหลักคือความกังวลที่กลับมาอีกครั้งเกี่ยวกับต้นทุนและแหล่งเงินทุนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ซึ่งกดดันหุ้นเทคโนโลยีและฉุด Nasdaq ลง ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านดอกเบี้ยและสภาพคล่องช่วงปลายปีก็เพิ่มแรงกดดัน
ใช่ การร่วงลงอย่างหนักของหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นแรงฉุดหลักของดัชนี ขณะที่กลุ่มป้องกันความเสี่ยงยังทรงตัวได้ดีกว่า
สำหรับ S&P 500 ค่า RSI ใกล้ระดับ 28 บ่งชี้ว่าโมเมนตัมอ่อนแรงมากและเข้าสู่ภาวะ Oversold
โซนที่ต้องจับตาคือ บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ใกล้ระดับ 6,778 จุด และ แนวรับจากความผันผวนต่ำใกล้ 6,598 จุด
การปิดตลาดอย่างมั่นคง กลับขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน ใกล้ 6,789 จุด และค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แถว 6,827 จุด จะเป็นสัญญาณแรกว่าแรงขายเริ่มอ่อนแรง
โดยสรุป การปรับตัวลงของตลาดในวันพุธ ไม่ใช่ความผันผวนแบบไร้ทิศทาง แต่เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่ม เข้มงวดกับหุ้น AI ที่มีราคาสูงและอ่อนไหวต่อภาระหนี้ มากขึ้น พร้อมทั้งลดความเสี่ยงก่อนการประกาศ CPI
หากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาไม่ร้อนแรงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังสงบ ภาวะ Oversold อาจจุดชนวนให้เกิดการรีบาวด์แรงได้ แต่หาก CPI สูงกว่าคาด คาดว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังเป็นจุดกดดันหลัก และการรีบาวด์ใด ๆ มีแนวโน้มจะเจอแรงขายอย่างรวดเร็ว
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ