เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-15
ตลาดการเงินทั่วโลกยังคงอยู่ในช่วงปรับตัวรับกับการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ในปี 2025 แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) อยู่ในกรอบ 3.50–3.75% จะเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ปฏิกิริยาของตลาดกลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน นั่นคือ การอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของเงินดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index: DXY) ซึ่งใช้วัดมูลค่าของเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล กำลังซื้อขายอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดล่าสุด และมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน โดยร่วงลงต่ำกว่าระดับแนวรับสำคัญที่ 98.40 อย่างชัดเจน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนหลักการทางเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิกว่า อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะลดความน่าสนใจของสินทรัพย์ที่อ้างอิงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ในบทวิเคราะห์เชิงลึกนี้ เราจะพาไปสำรวจปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังการอ่อนค่าของดอลลาร์ พร้อมประเมินมุมมองของตลาดที่เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น (Dovish) ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงมุ่งเข้าสู่ปี 2026

การประกาศนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ซึ่งมาพร้อมกับรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุด (Summary of Economic Projections: SEP) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ทันที ส่งผลให้เงินดอลลาร์กลับทิศจากการฟื้นตัวก่อนหน้า และเข้าสู่แนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง
ณ ราคาปิดล่าสุด ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) เคลื่อนไหวอยู่บริเวณประมาณ 98.36 โดยปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในรอบสัปดาห์ และลดลงแรงยิ่งขึ้นตลอดเดือนธันวาคม นี่ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญ เนื่องจากดัชนีกำลังทดสอบระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน หากเงินดอลลาร์ไม่สามารถยืนเหนือแนวรับดังกล่าวได้ นักวิเคราะห์คาดว่าอาจเห็นการปรับตัวลงต่อไปสู่บริเวณ 97.50 จากแรงขายเชิงเทคนิคที่ผสานกับปัจจัยพื้นฐานฝั่งลบ
ความอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวของคู่เงินหลัก ดังนี้
เงินยูโรเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยคู่เงินปรับตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวแถวระดับประมาณ 1.1741 ดอลลาร์ ความแข็งแกร่งนี้ส่วนหนึ่งมาจากสัญญาณของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่บ่งชี้ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในจังหวะที่ช้ากว่าเฟดอย่างมาก ทำให้สินทรัพย์ในยูโรโซนดูน่าสนใจกว่าในเชิงเปรียบเทียบ
เงินปอนด์สเตอร์ลิงปรับตัวแข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยยืนเหนือระดับ 1.33 ดอลลาร์ และทำจุดสูงสุดในรอบหลายสัปดาห์ ท่าทีที่ระมัดระวังของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อค่าเงินปอนด์
คู่เงินดอลลาร์/เยนยังคงเผชิญแรงกดดัน โดยซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 155.50 ตลาดคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) จะเป็นธนาคารกลางหลักรายถัดไปที่อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง ซึ่งความแตกต่างของนโยบายการเงินที่ชัดเจนนี้ได้บั่นทอนความน่าสนใจของกลยุทธ์แครี่เทรดในสกุลเงินดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ

พลวัตของตลาดในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงปฏิกิริยาชั่วคราวต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการตอบสนองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตลาดต่อสัญญาณจากเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐตลอดทั้งปี 2026
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนแรงขายเงินดอลลาร์ คือการตีความของตลาดต่อแถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) รวมถึงการแถลงข่าวของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ แม้ว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะถูกสะท้อนในราคาตลาดไปแล้ว แต่คำชี้นำล่วงหน้า (Forward Guidance) ที่มาพร้อมกันกลับถูกมองว่ามีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าที่ตลาดคาดไว้
ที่สำคัญ แม้แผนภาพคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟด หรือที่เรียกว่า Dot Plot จะยังบ่งชี้ว่ามีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพียง 1 ครั้ง ในปี 2026 แต่ตลาดกลับเลือกที่จะไม่ให้น้ำหนักกับมุมมองดังกล่าว และหันไปประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 25 จุดพื้นฐาน ในปีหน้า ช่องว่างระหว่างการคาดการณ์อย่างเป็นทางการของเฟดกับการประเมินของตลาดนี้เอง คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กดดันค่าเงินดอลลาร์ โดยนักลงทุนเลือกขายดอลลาร์จากความเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานกว่าที่เฟดยอมรับในปัจจุบัน
ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดได้มอบ “กระสุน” สำคัญให้เฟดสามารถผ่อนคลายนโยบายได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าสนใจของเงินดอลลาร์
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน: ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ธันวาคม 2025 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ระดับ 236,000 ราย สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐซึ่งเคยตึงตัวอย่างมาก กำลังเริ่มผ่อนคลายลง ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงหมายถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งเปิดทางให้เฟดสามารถปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้
ภาคการผลิตชะลอตัว: ผลสำรวจและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่อง
กระแสข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอลงอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ ถูกตลาดอัตราแลกเปลี่ยนตีความว่าเป็นสัญญาณไฟเขียวให้เฟดหันมาให้ความสำคัญกับการพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากกว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้ออย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกดดันค่าเงิน
แนวคิดเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential) เป็นหัวใจสำคัญของการประเมินมูลค่าสกุลเงิน เมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐกับยูโรโซน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักรย่อมแคบลงตามไปด้วย เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลง แรงจูงใจของเงินทุนทั่วโลกในการไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่อ้างอิงเป็นสกุลเงินดอลลาร์ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้จัดการกองทุนที่มองหาผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง จะเริ่มโยกย้ายเงินทุนไปยังประเทศหรือภูมิภาคที่อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวหรือมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์แทบไม่เคยเกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว เนื่องจากดอลลาร์ถือเป็นสกุลเงินหลักของโลก และมีอิทธิพลต่อสินทรัพย์สำคัญเกือบทุกประเภท
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักถูกมองว่าเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนีหุ้นสหรัฐ เช่น S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจนหลังข่าว เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงช่วยเพิ่มอัตรากำไรของภาคธุรกิจ
ในทางกลับกัน ตลาดพันธบัตรสหรัฐกลับปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Treasuries) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายถึง อัตราผลตอบแทน (Yield) ปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงตามแรงซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนเร่งล็อกผลตอบแทนก่อนที่เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ผสานกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในระดับต่ำ สร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกอย่างมากต่อสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย โดยเฉพาะ ทองคำและเงิน ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยราคาซื้อขายแบบสปอตล่าสุดทะลุระดับ 2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงแบบดั้งเดิม ทั้งจากเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของสกุลเงิน เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า มูลค่าของทองคำเมื่อเทียบกับสินค้าและสินทรัพย์อื่น ๆ มักปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

เมื่อมองไปข้างหน้า ฉันทามติของนักกลยุทธ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX) มองว่า แรงอ่อนค่าของเงินดอลลาร์มีแนวโน้มดำเนินต่อไปอย่างน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 เว้นแต่จะเกิดเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและไม่คาดคิดขึ้นอย่างฉับพลัน
ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งเริ่มปรับประมาณการ โดยคาดว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) จะยังเผชิญความยากลำบากในการกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 99 ได้ก่อนช่วงกลางปีหน้า ความเสี่ยงสำคัญยังคงอยู่ที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หากเศรษฐกิจของยุโรปหรือจีนอ่อนแอลงเร็วกว่าสหรัฐ เงินดอลลาร์อาจกลับมาได้รับบทบาทดั้งเดิมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ได้ชั่วคราว ซึ่งอาจบังคับให้แนวโน้มขาลงของดอลลาร์เกิดการกลับทิศในระยะสั้น
ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ยังคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก เทรดเดอร์จะจับตาการประกาศตัวเลขสำคัญอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI), ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรรายเดือน (Non-Farm Payrolls: NFP) และความเห็นที่แตกต่างภายในคณะกรรมการ FOMC ในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป
ท้ายที่สุด ชะตากรรมของเงินดอลลาร์ย่อมขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นเสมอ การตัดสินใจด้านนโยบายของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ มีบทบาทอย่างยิ่ง หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ในทำนองเดียวกัน หากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณเชิงเข้มงวด (Hawkish) มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เงินยูโรก็อาจปรับตัวขึ้นต่อ และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ดัชนี DXY อ่อนค่าลงต่อไป
เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้ผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐและเงินฝากลดต่ำลง ส่งผลให้สินทรัพย์เหล่านี้มีความน่าสนใจน้อยลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ความต้องการถือครองดอลลาร์จึงลดลง และเงินทุนไหลออกจากสหรัฐไปยังสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือมีเสถียรภาพด้านผลตอบแทนมากกว่า
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ใช้วัดความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก การที่ DXY ปรับตัวลงสะท้อนถึงความอ่อนค่าในวงกว้างของเงินดอลลาร์ หมายความว่าดอลลาร์กำลังสูญเสียมูลค่าเมื่อเทียบกับหลายสกุลเงินพร้อมกัน เช่น ยูโร เยน และปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระดับโลก
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคือช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐกับประเทศอื่น ๆ เมื่อสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ย ช่องว่างดังกล่าวจะแคบลง ทำให้ความได้เปรียบด้านผลตอบแทนของเงินดอลลาร์ลดลง ส่งผลให้นักลงทุนและเทรดเดอร์มีแรงจูงใจขายดอลลาร์ และโยกเงินไปลงทุนในสกุลเงินที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเอื้ออำนวยมากกว่า
ยังไม่ถึงขั้นนั้นทั้งหมด แต่ความอ่อนค่าในปัจจุบันสะท้อนว่านักลงทุนกำลังให้ความสำคัญกับผลตอบแทนมากกว่าความปลอดภัย เงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะกลับมาได้รับบทบาทสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างชัดเจนอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อเกิดวิกฤตระดับโลกครั้งใหญ่ ซึ่งจะกลบประเด็นความแตกต่างด้านนโยบายการเงินในช่วงนี้ไปชั่วคราว
เทรดเดอร์ควรติดตามการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls: NFP) และรายงานเงินเฟ้อ (CPI) หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจช่วยชะลอหรือพลิกทิศการอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ ด้วยการส่งสัญญาณว่าเฟดอาจหยุดพักหรือชะลอเส้นทางการลดดอกเบี้ยในปี 2026
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนธันวาคม 2025 ได้ยืนยันมุมมองเชิงลบของตลาดต่อค่าเงินดอลลาร์อย่างชัดเจน ภายใต้แรงกดดันจากการเปลี่ยนท่าทีของเฟดไปในเชิงผ่อนคลาย (Dovish) ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่เริ่มอ่อนตัว และการหดตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) จึงตกอยู่ในภาวะตั้งรับอย่างเต็มรูปแบบ
แม้ความผันผวนจะยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ช่วงเวลาแห่งความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์กำลังเริ่มเลือนหาย อนาคตในระยะใกล้ของค่าเงินดอลลาร์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมา รวมถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายครั้งสำคัญของเฟด และธนาคารกลางหลักอื่น ๆ ทั่วโลก
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ