iRobot ยื่น Chapter 11 อย่างเป็นทางการ วิเคราะห์ผลกระทบต่อหุ้น IRBT
简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

iRobot ยื่น Chapter 11 อย่างเป็นทางการ วิเคราะห์ผลกระทบต่อหุ้น IRBT

ผู้เขียน: Rylan Chase

เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-16

ณ วันนี้ หุ้น IRBT ซื้อขายอยู่แถวระดับ 1.18 ดอลลาร์ ลดลงราว 73% ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง หลังจากราคาลงไปทำจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ประมาณ 0.65 ดอลลาร์ และดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันใกล้ 2.87 ดอลลาร์ กรอบราคาตลอด 52 สัปดาห์ ล่าสุดอยู่ในช่วงประมาณ 0.65 – 13.06 ดอลลาร์ ขณะที่ในปี 2025 เพียงปีเดียว หุ้นตัวนี้ได้สูญเสียมูลค่าไปแล้วราว 85%

หุ้น IRBT หลังการล้มละลาย

ประเด็นสำคัญที่นักเทรดและนักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจอย่างชัดเจน คือความจริงที่เรียบง่ายแต่โหดร้ายว่า ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย Chapter 11 ที่เสนออยู่ในปัจจุบัน ผู้ถือหุ้น IRBT เดิมมีแนวโน้มจะไม่ได้รับอะไรเลย โดยบริษัทได้ระบุไว้อย่างเปิดเผยว่า หุ้นสามัญทั้งหมดคาดว่าจะถูกเพิกถอนและยกเลิกโดยไม่มีการชดเชยใด ๆ หลังแผนดังกล่าวได้รับการอนุมัติ


ดังนั้น คำถามที่แท้จริงจึงไม่ใช่อีกต่อไปว่า “หุ้น IRBT ราคาถูกหรือไม่” แต่กลายเป็นว่า “เหตุใดหุ้น IRBT จึงยังคงมีการซื้อขายอยู่ และจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้ ก่อนที่หุ้นจะถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ”


iRobot ประกาศอะไรอย่างเป็นทางการ?

การล้มละลายของ iRobot

แผน Chapter 11 แบบ Pre-Pack และการเข้าซื้อกิจการโดย Picea

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2025 iRobot ได้ทำข้อตกลงสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ (Restructuring Support Agreement: RSA) กับเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันและผู้รับจ้างผลิตหลักของบริษัท ได้แก่ Shenzhen PICEA Robotics และ Santrum Hong Kong ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Picea จะเข้าถือหุ้น iRobot ทั้งหมด 100% ผ่านกระบวนการล้มละลายตามกฎหมาย Chapter 11 ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของศาลในรัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา


ประเด็นสำคัญจากแถลงข่าวของบริษัทและรายงานที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้:


  • iRobot ได้ยื่นขอล้มละลายโดยสมัครใจ ภายใต้แผน Chapter 11 แบบ Pre-Packaged ต่อศาลแขวงเดลาแวร์

  • บริษัทคาดว่าจะสามารถออกจากกระบวนการ Chapter 11 ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

  • Picea จะได้รับสิทธิในหุ้นทั้งหมด 100% ของบริษัทหลังการปรับโครงสร้าง โดยหลักผ่านการยกเลิกหนี้ที่มีหลักประกันและภาระหนี้จากสัญญาการผลิตของ iRobot

  • iRobot ระบุว่าบริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ โดยแอปพลิเคชัน การเชื่อมต่ออุปกรณ์ การรับประกันสินค้า และการบริการลูกค้า จะไม่ได้รับผลกระทบ


กรณีนี้ไม่ใช่การเลิกกิจการหรือชำระบัญชี ธุรกิจของ iRobot จะยังคงดำเนินต่อไปในฐานะ บริษัทเอกชน โดยมีผู้ผลิตและซัพพลายเออร์หลักเป็นผู้สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ความเสียหายทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้ถือหุ้นเดิมโดยตรง


คำเตือนของ iRobot ถึงผู้ถือหุ้น

ในแถลงข่าวฉบับเดียวกัน iRobot ได้ระบุอย่างตรงไปตรงมาถึงผลกระทบของข้อตกลง RSA ต่อหุ้นสามัญว่า:


  • บริษัทคาดว่า ผู้ถือหุ้นสามัญจะไม่ได้รับหุ้นหรือสิทธิใด ๆ ในบริษัทที่ผ่านการปรับโครงสร้างแล้ว

  • บริษัทระบุชัดว่า สิทธิในหุ้นเดิมทั้งหมดจะถูกยกเลิก และผู้ถือหุ้นสามัญจะ “สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด และไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ” หากแผนดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากศาล


เมื่อแผนได้รับอนุมัติและดำเนินการเสร็จสิ้น หุ้น IRBT จะถูกนำออกจากตลาดหลักทรัพย์ (Delisting) และจะไม่สามารถซื้อขายได้อีกทั้งใน Nasdaq หรือกระดานซื้อขายอื่นใด


ภายใต้แผนที่เสนออยู่ในปัจจุบัน ผู้ถือหุ้น IRBT ในปัจจุบันจะถูกล้างพอร์ตอย่างสิ้นเชิง (Wipeout) หากศาลอนุมัติแผน Chapter 11 ดังกล่าว


หุ้น IRBT วันนี้: ความเสียหายรุนแรงแค่ไหน?

ตลาดได้ตอบสนองต่อข่าวนี้ไปแล้ว ราวกับว่ามูลค่าหุ้นได้สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์

ตัวชี้วัด ภาพรวมหุ้น IRBT
ราคาปิดล่าสุด (ก่อนยื่น Chapter 11) 4.32 ดอลลาร์
การดิ่งลงหลังข่าว −70% ขึ้นไป (ซื้อขายราว 0.75 – 1.20 ดอลลาร์ ในวันแรก)
ราคาปัจจุบัน (16 ธ.ค.) ประมาณ 1.18 ดอลลาร์
การเปลี่ยนแปลงรายวัน ประมาณ −73%
ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ประมาณ −85%
กรอบราคาภายในวัน (หลังข่าว) ประมาณ 0.65 – 2.87 ดอลลาร์
กรอบราคา 52 สัปดาห์ ประมาณ 0.65 – 13.06 ดอลลาร์
ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย (3 เดือน) ประมาณ 14.7 ล้านหุ้น
ปริมาณซื้อขายวันนี้ มากกว่า 100 ล้านหุ้น
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (≈ 31.8 ล้านหุ้น) ประมาณ 38 ล้านดอลลาร์


กล่าวโดยสรุป หุ้น IRBT ได้เปลี่ยนสถานะจากบริษัทเติบโตมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ กลายเป็นหุ้นขนาดเล็กระดับไมโครแคปในภาวะล้มละลาย แทบจะในชั่วข้ามคืนเดียว


ทำไม iRobot ถึงล้มละลายและต้องเข้าสู่กระบวนการ Chapter 11?

1. ดีล Amazon ที่ล้มเหลว ทิ้งช่องว่างทางการเงินขนาดใหญ่

หุ้น IRBT

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการล่มสลายของดีลเข้าซื้อกิจการมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ จาก Amazon หลังหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปแสดงท่าทีคัดค้าน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายยุติข้อตกลงในเดือนมกราคม 2024 แม้ Amazon จะจ่ายค่าปรับยกเลิกดีลจำนวน 94 ล้านดอลลาร์ แต่เงินจำนวนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูฐานะทางการเงินของบริษัท


หลังจากดีลดังกล่าวล่ม iRobot ได้ดำเนินมาตรการหลายประการ ได้แก่:

  • เปลี่ยนตัว CEO ผู้ก่อตั้งระยะยาว และแต่งตั้ง Gary Cohen เข้ามาบริหาร

  • ประกาศเลิกจ้างพนักงานราว 31% ของทั้งองค์กร

  • เพิ่มภาระหนี้ใหม่ รวมถึงเงินกู้มูลค่า 190 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งในเวลาต่อมาได้ตกอยู่ในมือของ Picea


การถอนตัวของ Amazon ไม่ได้เพียงแค่ทำให้ผู้ซื้อหายไป แต่ยังทำให้ iRobot กลายเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ต้องแบกรับหนี้ในระดับบริษัทขนาดใหญ่ ท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ


2. การแข่งขันและภาษีศุลกากร บีบกำไรอย่างหนัก

ในช่วงเวลาเดียวกัน iRobot ถูกกดดันจากหลายด้านพร้อมกัน:


  • คู่แข่งราคาถูกจากจีน เช่น Ecovacs และแบรนด์ต้นทุนต่ำอื่น ๆ เข้ามาตัดราคาและแย่งส่วนแบ่งตลาดในตลาดหลัก

  • ภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ สำหรับเครื่องดูดฝุ่นที่ผลิตในเวียดนาม ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง โดยอัตราภาษีสูงถึง 46% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 23 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพียงปีเดียว


แม้รายได้ในปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 682 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทก็ยังคงขาดทุนและมีการเผาผลาญเงินสดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในไตรมาส 3 ปี 2025 รายได้ลดลงเหลือเพียง 145.8 ล้านดอลลาร์ ลดลงเกือบ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน และขาดทุนสุทธิก็ขยายตัวมากขึ้นอีก


ภายในเดือนมีนาคม 2025 iRobot ได้ออกมายอมรับอย่างชัดเจนถึง “ความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญ” เกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินธุรกิจต่อไป หากไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนใหม่หรือบรรลุข้อตกลงเชิงกลยุทธ์ได้ ซึ่งในช่วงนั้นราคาหุ้นได้ร่วงลงต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ ไปแล้ว


3. สถานะเจ้าหนี้ของ Picea ทำให้ผลลัพธ์แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อธุรกิจเริ่มอ่อนแรง Picea Robotics ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าให้กับ iRobot เท่านั้น แต่ยังเข้าซื้อหนี้ของบริษัท กลายเป็นทั้งเจ้าหนี้ที่มีหลักประกัน และพันธมิตรด้านการผลิตหลัก ภายในช่วงปลายปี 2025 iRobot มีหนี้ค้างชำระกับ Picea รวมราว 352 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้มีถึง 91 ล้านดอลลาร์ ที่เลยกำหนดชำระไปแล้ว


ภายใต้บริบทดังกล่าว ข้อตกลง Chapter 11 แบบ Pre-Packaged จึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่งในมุมมองของเจ้าหนี้:


  • Picea ยกเลิกเงินกู้และข้อเรียกร้องด้านการผลิตทั้งหมด

  • Picea ได้รับหุ้นของบริษัทใหม่ 100%

  • เจ้าหนี้และซัพพลายเออร์รายอื่นคาดว่าจะได้รับชำระครบถ้วน

  • ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมถูกล้างพอร์ตทั้งหมด


กล่าวโดยสรุป นี่คือ ภาพสะท้อนของโครงสร้างเงินทุนแบบคลาสสิก เมื่อมูลค่ากิจการต่ำกว่าหนี้ที่มีหลักประกันและภาระหนี้ระดับสูง สิทธิของผู้ถือหุ้นซึ่งอยู่ลำดับท้ายสุด ย่อมไม่ได้รับอะไรเลย


แล้วหุ้น IRBT จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้?

หุ้น IRBT

สำหรับผู้ถือหุ้นหรือผู้ที่เทรดหุ้น IRBT มี 3 ประเด็นสำคัญที่ควรทำความเข้าใจอย่างชัดเจน


1. บริษัทคาดว่าหุ้นจะถูกยกเลิกทั้งหมด

กล่าวโดยสรุป บริษัทได้ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นว่า:


  • สิทธิในหุ้นเดิมทั้งหมดมีแนวโน้มจะถูกยกเลิก

  • ผู้ถือหุ้นปัจจุบันคาดว่าจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด และ “ไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ” หากศาลอนุมัติแผนล้มละลายตามกฎหมาย Chapter 11


แม้แผนดังกล่าวยังต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากศาล ซึ่งหมายความว่ายังมีความเสี่ยงด้านกระบวนการทางกฎหมายอยู่บ้าง แต่เจตนาของบริษัทนั้นชัดเจนแล้ว


2. หุ้น IRBT อาจยังซื้อขายได้ระยะหนึ่ง แต่ในสถานะ “หุ้นล้มละลาย”

จนกว่าแผนจะมีผลบังคับใช้:


  • หุ้น IRBT มีแนวโน้มจะยังคงสามารถซื้อขายได้บน Nasdaq หรือ OTC ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

  • ราคาจะยังคงผันผวนอย่างรุนแรง โดยขับเคลื่อนจากนักเก็งกำไร การปิดสถานะชอร์ต และระบบอัลกอริทึมที่ตอบสนองต่อพาดหัวข่าว


โดยสาระสำคัญแล้ว มูลค่าที่คาดหวังของหุ้นสามัญในปัจจุบันเข้าใกล้ศูนย์ หากแผนดำเนินไปตามที่ประกาศไว้


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางครั้งเรายังเห็นการพุ่งขึ้นแรงภายในวัน ในหุ้นที่ล้มละลายแล้ว การเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดจากแรงซื้อขายเชิงเทคนิค การปิดชอร์ต และการเก็งกำไร ไม่ได้สะท้อนถึงการเพิ่มขึ้นของมูลค่าพื้นฐานในระยะยาวของผู้ถือหุ้นสามัญ


3. หลังแผนเสร็จสิ้น หุ้น IRBT จะหายไปจากตลาดทุน

หากศาลให้การรับรองแผน และกระบวนการเสร็จสิ้นตามที่บริษัทคาดไว้:


  • iRobot จะกลายเป็นบริษัทเอกชนที่ถือครองโดย Picea

  • หุ้น IRBT จะถูก เพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ (Delisting) และจะไม่ปรากฏบนแพลตฟอร์มซื้อขายในฐานะหุ้นจดทะเบียนอีกต่อไป


ผู้ถือหุ้นสาธารณะรายใดก็ตามที่ยังคงถือหุ้นอยู่ ณ จุดนั้น จะเหลือเพียงหุ้นที่ถูกยกเลิก และไม่ได้รับค่าชดเชยใด ๆ


คำถามที่พบบ่อย

1. ราคาหุ้น IRBT จะกลายเป็นศูนย์หรือไม่?

ใช่ ข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ของ iRobot เองได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สิทธิในหุ้นเดิมทั้งหมดจะถูกยกเลิก และผู้ถือหุ้นสามัญคาดว่าจะ “สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด” หากแผน Chapter 11 ได้รับการอนุมัติ นั่นหมายความว่า กรณีฐาน (Base Case) ของหุ้น IRBT คือ ไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ เมื่อกระบวนการ Chapter 11 เสร็จสิ้นลง


2. หุ้น IRBT จะยังซื้อขายบน Nasdaq ได้นานแค่ไหน?

บริษัทคาดว่าจะดำเนินการ Chapter 11 แบบ Pre-Packaged และการเข้าซื้อกิจการโดย Picea ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หุ้นอาจถูกย้ายไปซื้อขายในตลาด Over-the-Counter (OTC) ชั่วคราว ก่อนที่หุ้นจะถูกยกเลิกในที่สุด ซึ่งหมายความว่า หุ้นสามัญที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะจะหายไปโดยสมบูรณ์


3. ทำไม iRobot จึงเลือก Chapter 11 แบบ Pre-Packaged แทนการชำระบัญชี?

แผน Pre-Packaged Chapter 11 ช่วยให้ iRobot สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปในฐานะกิจการที่ยังดำเนินอยู่ ชำระเงินให้ซัพพลายเออร์และพนักงานได้ตามปกติน รักษาแบรนด์และฐานลูกค้าไว้ และปรับโครงสร้างงบดุลใหม่ โดยไม่ทำลายมูลค่าธุรกิจในระยะยาว


4. ยังมีโอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับอะไรบ้างหรือไม่?

จากเอกสารที่ยื่นต่อศาลและรายงานข่าวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ความเป็นไปได้นั้นแทบไม่มี


บทสรุป

โดยสรุป การเข้าสู่กระบวนการ Chapter 11 ของ iRobot เป็นตัวอย่างเชิงตำราที่ชัดเจน ว่าบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่อง สามารถ อยู่รอดในเชิงธุรกิจได้ ขณะที่หุ้นไม่สามารถอยู่รอดได้ ส่วนแฟรนไชส์ Roomba มีแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การถือครองของ Picea โดยแอปพลิเคชัน อุปกรณ์ และบริการลูกค้า จะยังคงดำเนินงานโดยแทบไม่เปลี่ยนแปลง


สิ่งที่หายไปคือ ชั้นของหุ้นสาธารณะ (Public Equity) ซึ่งถูกล้างออกเพื่อเปิดทางให้เจ้าของใหม่ และการรีเซ็ตโครงสร้างงบดุลของบริษัท


สำหรับหุ้น IRBT สัญญาณทางเทคนิคในขณะนี้สะท้อนเรื่องเดียวกับเอกสารทางกฎหมายอย่างชัดเจน กราฟราคาแตกหักลงอย่างรุนแรง ราคาไหลลงสู่ระดับต่ำเพียงหลักหน่วย และบริษัทเองก็ได้ชี้นำผู้ลงทุนอย่างเปิดเผยให้เตรียมรับการขาดทุนทั้งหมด เมื่อกระบวนการทางศาลสิ้นสุดลง


ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาให้เป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรนำไปใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ความเห็นใดๆ ที่ปรากฏในเนื้อหานี้ไม่ได้เป็นการแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ