เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-08
อัปเดตเมื่อ: 2025-12-09
ในเดือนพฤศจิกายน 2025 สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ก้าวผ่านหมุดหมายสำคัญที่น้อยคนนักจะคาดการณ์ไว้ นั่นคือ ดุลการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียวของประเทศแตะระดับกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ แม้ตัวเลขดังกล่าวจะดูเป็นเพียงสถิติที่น่าสนใจในพาดหัวข่าว แต่ผลกระทบของมันกลับส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภาคการผลิตโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และยุทธศาสตร์ห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงการสะท้อนถึงภาคการส่งออกที่ขยายตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณว่าจีนยังคงเป็นแกนกลางสำคัญของการค้าโลก และความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างที่กำลังก่อตัวขึ้นทั่วโลกกำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อ อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรง และพลวัตตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ดุลการค้าเกินดุลระดับนี้ได้นำมาซึ่งข้อสงสัยพื้นฐานหลายประการ: การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกของจีนยังยั่งยืนอยู่หรือไม่? และนานาประเทศจะตอบสนองต่อจีน ซึ่งมีอำนาจเหนือภาคการผลิตโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไร?

ตามข้อมูลทางการล่าสุด ระหว่างช่วง 11 เดือนแรกของปี 2025 ดุลการค้าสินค้าของจีนอยู่ที่ประมาณ 1.076 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศสามารถก้าวข้ามระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ
เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียวก็โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยยอดส่งออกเติบโต 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% ส่งผลให้เกิดดุลการค้าในเดือนนั้นประมาณ 112,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในระดับที่สูงที่สุดที่จีนเคยทำได้
เมื่อเทียบเป็นบริบท ปี 2024 ดุลการค้าของจีนก็ทำสถิติสูงสุดมาแล้วที่ราว 992,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นตัวเลขในปี 2025 จึงถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ สะท้อนว่าแรงขับเคลื่อนจากภาคการส่งออกไม่เพียงยังคงอยู่ แต่ยังเร่งตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการส่งออกและการนำเข้าที่กว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนรูปแบบการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออกท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังซบเซาอยู่ในขณะนี้

ในปี 2025 ปัจจัยทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงวัฏจักรหลายประการได้ผสานกันจนดันดุลการค้าของจีนให้ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีสาเหตุหลักดังนี้:
แม้ว่ายอดส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก โดยมีรายงานว่าร่วงเกือบ 29% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่จีนสามารถชดเชยได้ด้วยการเร่งขยายการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอุปสงค์แข็งแรงต่อเนื่อง
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าจีนประสบความสำเร็จในการปรับทิศทางการค้าออกจากตลาดดั้งเดิมที่กำลังเผชิญแรงกดดัน และหันไปหาตลาดใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีหรือความตึงเครียดทางการค้าน้อยกว่า
ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินหลักของโลก ทำให้สินค้าออกของจีนมีความได้เปรียบด้านราคาในตลาดโลก ประกอบกับฐานการผลิตขนาดใหญ่และต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำจากการผลิตจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตจีนสามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้เหนือคู่แข่งและหนุนการส่งออกต่อเนื่อง
ภายในประเทศ เศรษฐกิจจีนยังต้องเผชิญกับอุปสงค์ผู้บริโภคที่ซบเซา ภาวะชะลอตัวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ระมัดระวังมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้กดดันยอดนำเข้าให้เติบโตอย่างจำกัด เมื่อโอกาสขายในประเทศลดลง หลายบริษัทจึงหันไปเพิ่มยอดขายผ่านตลาดต่างประเทศแทน
เมื่อต้นปี 2025 การผ่อนคลายความตึงเครียดทางภาษีบางส่วน โดยเฉพาะระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ช่วยลดแรงกดดันด้านการค้า ผู้ผลิตจำนวนมากได้ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ โดยส่งสินค้าไปยังตลาดที่มีเงื่อนไขทางการค้าสเถียรกว่า
ปัจจัยเหล่านี้รวมกันก่อให้เกิด “พายุสมบูรณ์แบบ” ที่ผลักดันยอดส่งออกจีนให้เติบโต ทั้งจากอุปสงค์ภายนอกที่แข็งแรง ต้นทุนการผลิตที่ได้เปรียบ และอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรง
ดุลการค้าเกินดุลในระดับสูงเช่นนี้ทำให้ช่องว่างระหว่างประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าขยายกว้างขึ้น เกิดความไม่สมดุลทางการค้าระดับโลกที่มีผลกระทบหลากหลาย:
แรงกดดันต่อภาคการผลิตทั่วโลก :
ประเทศที่มีฐานการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมต้องเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าอุตสาหกรรมทั่วไป
กระทบค่าเงินและกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ :
กระแสรายได้จากการเกินดุลการค้าในระดับสูงสามารถส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินและทิศทางกระแสเงินทุนทั่วโลก ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศและนโยบายการเงินของประเทศคู่ค้า
ความเครียดในความสัมพันธ์ทางการค้า :
การเกินดุลในระดับสูงต่อเนื่องอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการค้าที่ยุติธรรมหรือการอุดหนุนภาคการผลิต ทำให้ประเทศผู้นำเข้ามีแนวโน้มใช้มาตรการปกป้องทางการค้ามากขึ้น
โดยสรุป ดุลการค้าขนาดมหาศาลของจีนไม่เพียงเป็นความสำเร็จภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำลังปรับโฉมทิศทางการค้าโลก และเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก

การที่ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 29% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ยังคงมีอยู่จากมาตรการภาษีและความตึงเครียดทางการค้า
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าจีนสามารถชดเชยการลดลงอย่างหนักนี้ผ่านการขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ชี้ให้เห็นว่ามาตรการจำกัดทางการค้าของสหรัฐฯ อาจไม่ได้มีพลังต่อรองเหมือนในอดีตอีกต่อไป การเติบโตจากตลาดนอกสหรัฐฯ ทำให้แรงกดดันที่ตั้งใจจะสร้างนั้นลดทอนลง
สำหรับผู้กำหนดนโยบายและภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ประเด็นนี้เป็นความท้าทายสำคัญ นั่นคือ มาตรการภาษีอาจไม่เพียงพออีกต่อไปในการจำกัดอิทธิพลและความเหนือกว่าของการส่งออกจีน ส่งผลให้แนวความตึงเครียดอาจขยับไปสู่การควบคุมเทคโนโลยี การจำกัดใบอนุญาตส่งออก (โดยเฉพาะในภาคการผลิตขั้นสูง) หรือการผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมในวงกว้าง แทนที่จะเน้นเพียงการเก็บภาษีสินค้าสำเร็จรูปจากจีนเท่านั้น
ผู้นำจีนกำลังเผชิญความย้อนแย้งสำคัญ ในด้านหนึ่ง ดุลการค้าเกินดุลมหาศาลสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคการผลิตและการส่งออก แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวเลขนี้ย้ำให้เห็นถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง ได้แก่ อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ กำลังการผลิตส่วนเกิน และความต้องการภายในที่ไม่สมดุล
เพื่อตอบโจทย์นี้ จีนได้ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะปรับสมดุลโดยเน้นการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น มีรายงานว่าปี 2026 อาจเห็นการดำเนินมาตรการการคลังและการเงินเชิงรุก ตั้งแต่ความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงการเพิ่มรายจ่ายภาครัฐ เพื่อหนุนการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุน
ความท้าทายสำคัญ คือ การเปลี่ยน “ความสำเร็จที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก” ให้กลายเป็น “การเติบโตภายในประเทศที่ยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ทั้งหมดนี้ยังต้องทำควบคู่กับการรักษาแรงส่งของการส่งออกเอาไว้ด้วย
ดุลการค้าเกินดุลของจีนไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขปริมาณ แต่กำลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก
การกระจายตลาดนอกเหนือจากสหรัฐฯ :
เมื่อจีนเร่งเพิ่มการส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหภาพยุโรป ละตินอเมริกา และแอฟริกา ห่วงโซ่อุปทานโลกจึงมีลักษณะกระจายตัวมากขึ้น และลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ลงอย่างชัดเจน
การเติบโตของการส่งออกสินค้ามูลค่าสูง :
การขยายตัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่สินค้าเกรดต้นทุนต่ำ ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมมูลค่าสูงอย่างยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีสีเขียวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้จีนมีบทบาทเด่นยิ่งขึ้นในฐานะผู้นำด้านการผลิตขั้นสูง การขยับเช่นนี้อาจช่วยให้จีนครองส่วนแบ่งตลาดโลกในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงได้มากขึ้น
แรงกดดันต่อผู้ผลิตในภูมิภาคต่าง ๆ :
ผู้ผลิตในยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่น ๆ อาจเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทำให้หลายบริษัทจำเป็นต้องลดต้นทุนต่อหน่วย ยกระดับคุณภาพสินค้า หรือปรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้านิชเฉพาะกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า
โดยรวมแล้ว สำหรับภาคการผลิตโลก แนวโน้มนี้อาจเร่งการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลการผลิตแบบต้นทุนต่ำ ปริมาณสูง ไปสู่ห่วงโซ่อุปทานที่มีความหลากหลายมากขึ้น เน้นเทคโนโลยีสูง และเพิ่มมูลค่า และจีนก็ดูจะพร้อมที่สุดในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

แม้ว่าจีนจะกำลังรับผลเชิงบวกจากดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ยังมีความเสี่ยงสำคัญหลายประการที่อาจส่งผลในระยะต่อไป:
ปฏิกิริยาตอบโต้จากคู่ค้า : กลุ่มคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป เริ่มแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ผู้นำบางประเทศเตือนว่าอาจมีการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ หากดุลการค้าเกินดุลและอำนาจการส่งออกของจีนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
ความผันผวนของอุปสงค์ทั่วโลก : การชะลอตัวของอุปสงค์โลก ไม่ว่าจะจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แรงกดดันเงินเฟ้อ หรือความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของการส่งออก และทำให้ดุลการค้าเกินดุลลดลงอย่างรวดเร็ว
การพึ่งพาการส่งออกภายในประเทศมากเกินไป : การพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักช่วยกลบปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศ หากอุปสงค์ภายในยังไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจจีนอาจเผชิญความเสี่ยงจากแรงกระแทกภายนอกมากยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานและภูมิรัฐศาสตร์ : ประเทศต่าง ๆ กำลังเร่งกระจายห่วงโซ่อุปทาน ออกมาตรการกำกับดูแลเข้มงวดขึ้น หรือสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ ซึ่งอาจค่อย ๆ บั่นทอนความได้เปรียบของจีนในระยะยาว
ความยั่งยืนของดุลการค้าส่วนเกินขนาดใหญ่จึงยังเป็นคำถามสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทที่ทิศทางการค้าโลกอาจเปลี่ยนแปลง และอุปสงค์ภายนอกมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น
สาเหตุเกิดจากการส่งออกที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีการกระจายตลาดไปยังยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การได้เปรียบจากค่าเงิน และอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ช่องว่างดุลการค้าสินค้าขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่รวม ตัวเลขที่รายงานเป็นดุลการค้าสินค้าเท่านั้น ส่วนการค้าบริการมีพลวัตที่แตกต่างกันและไม่ได้รวมอยู่ในยอด 1 ล้านล้านดอลลาร์นี้
การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก โดยลดลงเกือบ 29% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากแรงกดดันจากภาษีและความตึงเครียดทางการค้า อย่างไรก็ตาม จีนสามารถชดเชยการลดลงนี้ได้ด้วยการขยายการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อาจทำได้ยาก เนื่องจากมีความเสี่ยงหลายประการ ทั้งการชะลอตัวของอุปสงค์โลก ความกังวลด้านกฎระเบียบจากต่างประเทศ การพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป และความจำเป็นในการปรับสมดุลเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนเอง ซึ่งต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
ดุลการค้าเกินดุลระดับสูงสะท้อนบทบาทของจีนที่แข็งแกร่งขึ้นในด้านการผลิตและการส่งออกโลก และยังเร่งการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานให้เอนเอียงไปสู่การผลิตแบบ “China-centric” มากขึ้น ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตในภูมิภาคอื่นและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมระดับโลก
การที่จีนก้าวข้ามหลักไมล์ “ดุลการค้าเกินดุล 1 ล้านล้านดอลลาร์” ไม่ใช่เพียงสถิติสำคัญ แต่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าจีนยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก และอิทธิพลของจีนต่อโครงสร้างการค้าโลกกำลังทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถิตินี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็น “ทางแยก” สำคัญ คำถามหลักต่อจากนี้ไม่ใช่ว่าจีนจะส่งออกอย่างไร แต่คือจีนจะสามารถปรับสมดุลเศรษฐกิจได้หรือไม่ โดยผ่านการสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค การลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง และการเปลี่ยนผ่านจากการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายและยั่งยืนกว่า
ในขณะเดียวกัน ประชาคมโลกเองก็ต้องเลือกเส้นทางตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องการค้า การปรับห่วงโซ่อุปทานใหม่เชิงกลยุทธ์ หรือการร่วมมือและวางกรอบกำกับดูแลร่วมกัน ปีต่อ ๆ ไปจะเป็นตัวกำหนดไม่เพียงอนาคตเศรษฐกิจของจีน แต่รวมถึงสถาปัตยกรรมการค้าโลกในภาพรวมด้วย
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ