เผยแพร่เมื่อ: 2025-11-17
การกระจุกตัวในหุ้น AI และเทคโนโลยีมากเกินไป การพึ่งพาหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ดัชนีที่มีน้ำหนักภาคเทคสูงมีความเสี่ยงเชิงระบบมากขึ้น
กระแสเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ยืดเยื้ออาจทำให้สภาพคล่องในตลาดเกิดใหม่ตึงตัว และอาจนำไปสู่การขายแบบบังคับ (forced selling) จากกองทุนที่มีเลเวอเรจ
ภาวะเศรษฐกิจมหภาคชะลอตัว การเติบโตที่อ่อนแรงในเศรษฐกิจหลักของเอเชียจะกดดันกำไรบริษัทและเพิ่มความเสี่ยงด้านขาลง
ความผิดพลาดด้านนโยบาย การประเมินผิดพลาดของธนาคารกลางอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนและการปรับราคาอย่างรวดเร็วในหลายสินทรัพย์
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้า ความตึงเครียดทางการค้า หรือเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอาจเพิ่มความไม่แน่นอนและกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปสินทรัพย์ปลอดภัย
| ตลาด | การเคลื่อนไหวล่าสุด | ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก |
|---|---|---|
| เกาหลีใต้ | หุ้นเทคขนาดใหญ่ร่วงแรง; กระแสเงินทุนไหลออกมากที่สุดในภูมิภาค | การกระจุกตัวในหุ้นเซมิคอนดักเตอร์และหุ้นเชื่อมโยง AI; แรงขายจากต่างชาติ |
| ไต้หวัน | แรงกดดันหนักในผู้ผลิตชิป และเงินทุนไหลออกจำนวนมาก | การเปิดรับหุ้นโรงงานผลิตชิปและหน่วยความจำ; การประเมินมูลค่าใหม่ |
| ญี่ปุ่น | ผลตอบแทนผสมผสาน แต่หุ้นส่งออกและเทคบางส่วนอ่อนตัว | GDP ไตรมาส 3 หดตัว; ตลาดจับตานโยบายการเงิน; นักลงทุนตั้งรับมากขึ้น |
| อินเดีย | เงินทุนไหลออกสุทธิ แต่บางหุ้นในประเทศยังแข็งแรง | กองทุนต่างชาติปรับน้ำหนักพอร์ต; นักลงทุนท้องถิ่นยังมีแรงซื้อ |
| เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ผลลัพธ์กระจายตัวในแต่ละประเทศ | บางตลาดมีเงินไหลเข้าเล็กน้อย ขณะที่บางตลาดยังเผชิญแรงขาย |
ดัชนี Nikkei 225 ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 50,258.32 เยน ลดลง 118.21 จุด หรือ 0.23%

ดัชนี TOPIX ปิดที่ประมาณ 3,343.54 จุด ลดลง 0.48%

ดัชนี CSI 300 อยู่ที่ระดับ 4,596.15 หยวน ลดลง 31.99 จุด หรือ 0.69%

ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ เคลื่อนไหวราว 4,067.41 จุด ลดลง 1.39% ในช่วง 5 วัน

โดยสรุป ดัชนี Nikkei ยังแสดงความแข็งแกร่งแต่ยังไวต่อแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ TOPIX สะท้อนความอ่อนแรงในภาพรวมของตลาดญี่ปุ่น ฝั่ง CSI 300 ชี้ให้เห็นถึงความระมัดระวังในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วน KOSPI เผชิญแรงกดดันระยะสั้นมากที่สุดจากการกระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยี
นักลงทุนต่างชาติได้ถอนเงินออกจากตลาดหุ้นเอเชียประมาณ 10.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับจากเม็ดเงินไหลเข้าเล็กน้อยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
การขายครั้งนี้กระจุกตัวอยู่ในตลาดที่มีน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีสูง สะท้อนให้เห็นถึงการประเมินมูลค่าหุ้นที่ปรับตัวเร็วขึ้น หลังราคาปรับขึ้นแรงจนเริ่มตึงตัว ประกอบกับความกังวลว่าในระยะสั้น กำไรของบริษัทจะสามารถตอบสนองความคาดหวังอันสูงลิ่วได้หรือไม่
ขนาดของกระแสเงินทุนดังกล่าวบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสามารถขยายผลการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดพุ่งขึ้นแบบกระจุกตัว
แรงขายไม่ได้เกิดขึ้นเท่าเทียมกันทั่วทั้งภูมิภาค เกาหลีใต้ และไต้หวันเผชิญการไหลออกมากที่สุด โดยอยู่ที่ประมาณ 5.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 3.86 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ อินเดียก็มีเงินทุนไหลออกจำนวนมากเช่นกัน ขณะที่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์กลับมีเงินทุนไหลเข้าเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน การกระจุกตัวของแรงขายในเกาหลีใต้และจีน เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปิดรับภาคเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทาน AI ในสัดส่วนที่สูงที่สุดในภูมิภาค
การถอนตัวของเงินทุนต่างชาติส่งผลกระทบเชิงปฏิบัติ 2 ประการสำคัญ ประการแรกคือการค้นพบราคา เมื่อความต้องการซื้อที่ปลายตลาดลดลง สเปรด bid-offer อาจกว้างขึ้น และความผันผวนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประการที่สองคือความเชื่อมั่น เนื่องจากการไหลออกอย่างต่อเนื่องสามารถสร้าง “เรื่องเล่าเชิงลบ” ที่ผลักดันให้ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศขายต่อเนื่อง

ดัชนี MSCI Asia ex Japan Information Technology ลดลงประมาณ 4.23% ในช่วงที่แรงโมเมนตัมเริ่มอ่อนตัว หลังจากปรับตัวขึ้นแรงอย่างมากในช่วงต้นปี การปรับฐานครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากดัชนีดังกล่าวพุ่งขึ้นต่อเนื่องตลอด 6 เดือนก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงต่อการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ (re-rating risk) ของกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเด่นชัด
อัตราส่วน Forward Price-to-Earnings (Forward PE) ของดัชนีหุ้นในภูมิภาคปรับขึ้นอยู่ในระดับสูงก่อนเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน โดย MSCI Asia Pacific ex Japan 12-month forward PE ขยับขึ้นมาที่ราว 15.81 เท่า ณ สิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2021 เมื่อค่ามูลค่าซื้อขาย (multiple) อยู่ในระดับสูง ตลาดจึงมีความอ่อนไหวมากขึ้นต่อผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงต่อการเปลี่ยนแปลงในอัตราคิดลด (discount rate) ด้วย
นักวิเคราะห์และสื่อการเงินหลายรายเตือนว่า แรงขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีบางส่วนเริ่มดูตึงตัวเกินไป โดยมีบางความเห็นถึงขั้นใช้คำว่า “ฟองสบู่” เพื่ออธิบายการเข้าซื้อแบบกระจุกตัวของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกกลุ่มชี้ว่า แนวโน้มกำไรระยะกลางของบริษัทเทคโนโลยียังแข็งแรง โดยเฉพาะในส่วนที่อุปสงค์ต่อกำลังประมวลผล AI และโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงเติบโตอย่างมั่นคง ความเห็นที่แตกต่างกันนี้เองเป็นเหตุผลว่าทำไมความผันผวนของตลาดจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอกว่าคาดกำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านขาลงให้กับสินทรัพย์เสี่ยง โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ปี 2025 หดตัวลง 0.4% แบบไตรมาสต่อไตรมาส
ตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นกับความเสี่ยงด้านการเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และตั้งคำถามว่ารัฐบาลและธนาคารกลางจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพียงใดเพื่อพยุงอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ความคาดหวังด้านค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยก็มีการปรับตัวทันทีหลังประกาศตัวเลข ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจัดสรรพอร์ตลงทุน
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้ายังคงซับซ้อนสถานการณ์สำหรับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ขณะเดียวกัน การสื่อสารของธนาคารกลางทั้งในสหรัฐฯ และเอเชียยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางกระแสเงินทุน เพราะการเปลี่ยนแปลงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยจะกระทบทั้งอัตราคิดลดของหุ้น และส่วนต่างผลตอบแทนข้ามพรมแดน
| ปัจจัย | ความสำคัญ |
|---|---|
| ฤดูกาลประกาศผลประกอบการกลุ่มเทคโนโลยี | ใช้ทดสอบว่ารายได้และกำไรเติบโตพอจะรองรับมูลค่าหุ้นปัจจุบันได้หรือไม่ |
| กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) | หากเงินทุนยังไหลออกต่อเนื่อง จะกดดันราคาและเพิ่มความผันผวน |
| ตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นและจีน | ความประหลาดใจด้านตัวเลข (ดีกว่า/แย่กว่าคาด) ส่งผลต่อความอยากเสี่ยงและคาดการณ์นโยบาย |
| การสื่อสารจากธนาคารกลาง | แนวโน้มดอกเบี้ยจาก Fed และธนาคารกลางในเอเชียมีผลต่ออัตราคิดลดและทิศทางเงินทุน |
| เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และการค้า | ความคืบหน้าที่ดีช่วยหนุนความเชื่อมั่น แต่ความตึงเครียดเพิ่มแรงขาย |
นักลงทุนแต่ละประเภทมีทางเลือกที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แนวทางที่มักถือว่ารอบคอบในช่วงนี้ ได้แก่
สำหรับนักลงทุนระยะยาว: ควรรักษาระดับการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ แต่ควรพิจารณาทำกำไรบางส่วนจากหุ้นที่มีน้ำหนักมากเกินไป ปรับพอร์ตไปยังกลุ่มหรือประเทศที่มูลค่าน่าสนใจกว่าและแนวโน้มกำไรชัดเจนกว่า
สำหรับผู้จัดการเชิงกลยุทธ์หรือเชิงรุก: ใช้ข้อมูลผลประกอบการและตัวเลขเศรษฐกิจเป็นจังหวะในการเทรด ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น ออปชัน หรือปรับลดระดับการเปิดรับความเสี่ยงจนกว่ากระแสเงินทุนจะเริ่มนิ่ง
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ: ต้องติดตามค่าเงินและสภาพคล่องในตลาดท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด เพราะกระแสเงินทุนไหลออกกะทันหันอาจทำให้สเปรดกว้างขึ้นและต้นทุนธุรกรรมสูงขึ้น
ไม่มีวิธีใดที่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน แนวทางที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายรายบุคคลและความสามารถในการรับมือกับความผันผวนระยะสั้น
ตลาดหุ้นเอเชียกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ การปรับพอร์ตออกจากหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ประกอบกับกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกในวงกว้าง ทำให้ความเปราะบางในตลาดที่พึ่งพาหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากถูกเผยให้เห็นอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าความอ่อนแอในครั้งนี้จะเป็นเพียงการย่อตัวระยะสั้น การพักฐานในกรอบแคบ หรือสัญญาณของการปรับฐานขาลงที่ลึกกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญในระยะถัดไป ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค และการกลับเข้ามาของกระแสเงินทุนจากต่างชาติ นักลงทุนควรจับตา Fund Flow, ปฏิทินประกาศกำไรกลุ่มเทคโนโลยี และตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญเพื่อประเมินทิศทางที่เป็นไปได้
ปัจจัยสำคัญคือแรงขายทำกำไรและกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกกว่า 10.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในเกาหลีใต้และไต้หวัน ขณะที่มูลค่าหุ้นกลุ่ม AI และเทคโนโลยีที่อยู่ในระดับสูงทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักหุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินไป
ความกังวลด้านมูลค่ามีเหตุผล เนื่องจากอัตราส่วน Forward PE ในหลายตลาดอยู่ในระดับสูง นักวิเคราะห์บางรายมองว่าเป็นการปรับฐานตามรอบปกติ แต่บางรายเตือนว่าการถือครองหุ้น AI แบบกระจุกตัวอาจนำไปสู่การปรับมูลค่าลงแรง หากกำไรออกมาต่ำกว่าคาด
ตลาดที่มีสัดส่วนบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI สูง เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน มีความเสี่ยงมากที่สุด ทั้งจากมูลค่าที่ตึงตัวและจากกระแสเงินทุนไหลออกจำนวนมากล่าสุด
นักลงทุนระยะยาวควรพิจารณาปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว รักษาการถือครองหุ้นคุณภาพดี และใช้จังหวะที่ตลาดผันผวนเพื่อทยอยลงทุนในกลุ่มที่มีมูลค่าดึงดูดมากขึ้น การมีวินัยสำคัญกว่าการจับจังหวะตลาด
ปัจจัยชี้ขาดประกอบด้วยผลประกอบการกลุ่มเทคโนโลยี แนวโน้ม Fund Flow ตัวเลขเศรษฐกิจจากญี่ปุ่นและจีน และท่าทีของธนาคารกลาง หากปัจจัยเหล่านี้ออกมาเป็นบวก ตลาดมีโอกาสทรงตัวหรือฟื้นตัว แต่หากออกมาน่าผิดหวัง ก็อาจทำให้แรงขายรุนแรงขึ้น
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ