2025-09-30
สภาพคล่องคือออกซิเจนของตลาดการเงิน หากปราศจากสภาพคล่อง แม้แต่การเทรดที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะขาดอากาศหายใจ ลองนึกภาพตลาดที่เต็มไปด้วยผู้ซื้อและผู้ขาย หากผู้ซื้อหายไป ผู้ขายก็เหมือนตะโกนอยู่ในความว่างเปล่า หากผู้ขายหายไป ผู้ซื้อก็เหมือนไล่ตามเงา ดันราคาให้พุ่งขึ้น ความสมดุลระหว่าง Buy Side Liquidity และ Sell Side Liquidity ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มันคือหัวใจสำคัญของการซื้อขาย
ในเชิงการเทรด สภาพคล่องคือสิ่งที่กำหนดว่าคุณสามารถเข้า–ออกออเดอร์ได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ออเดอร์ของคุณจะถูกจับคู่ที่ราคาที่คาดหวังหรือไม่ และความผันผวนจะคงที่หรือแปรปรวน สำหรับทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อย การเข้าใจพลวัตระหว่างฝั่งซื้อและฝั่งขายคือความต่างระหว่าง “การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล” กับ “การเดินเข้าสู่พายุแห่งตลาดแบบตาบอด”
Buy Side Liquidity สะท้อนถึงความเต็มใจและความสามารถของผู้เข้าร่วมตลาดที่จะซื้อสินทรัพย์ มาจากนักลงทุนรายย่อย กองทุนสถาบัน เฮดจ์ฟันด์ และผู้ดูแลสภาพคล่องที่ยื่นคำสั่งซื้อ (bids) คำสั่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นฐาน” รองรับราคา บ่งชี้ว่าความต้องการซื้อพร้อมจะดูดซับแรงขายตรงไหน
ความลึกของตลาด (Market Depth) คือหนึ่งในวิธีการวัด หากสมุดคำสั่งซื้อ (order book) แสดงชั้นคำสั่งซื้อหนาแน่นใกล้ราคาปัจจุบัน แปลว่า Buy Side Liquidity แข็งแรง สิ่งนี้ช่วยพยุงตลาดได้ เพราะเมื่อผู้ขายโผล่มา ผู้ซื้อก็พร้อมจะเข้ามารับ หากคำสั่งซื้อบางเพียงเล็กน้อย การขายไม่มากก็สามารถทำให้ราคาดิ่งแรงได้
อีกวิธีวัดคือ ปริมาณการซื้อขาย (trading volume) หากปริมาณสูง แสดงถึงกิจกรรมฝั่งซื้อที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน ปริมาณที่ลดลงอาจสะท้อนความสนใจที่ลดลง เช่น หุ้นในดัชนี S&P 500 มักมี Buy Side Liquidity ลึก ทำให้สถาบันสามารถซื้อขายเป็นพันล้านได้โดยไม่บิดเบือนราคา ขณะที่หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap) มักมีสมุดคำสั่งบาง ทำให้เปราะบางต่อการร่วงหนักเมื่อแรงขายครอบงำ
Sell Side Liquidity คือด้านตรงข้าม แทนถึงความเต็มใจของผู้เข้าตลาดที่จะ “ปล่อยขาย” สินทรัพย์ มาจากผู้ถือสินทรัพย์เดิม ผู้ขายสถาบัน การป้องกันความเสี่ยงของบริษัท และนักเทรดที่ทำกำไรออกมา เช่นเดียวกับที่ฝั่งซื้อทำหน้าที่เป็น “พื้นรองรับ” ฝั่งขายก็ทำหน้าที่เป็น “เพดาน”
Sell Side Liquidity ที่แข็งแรงช่วยป้องกันไม่ให้ตลาด “ร้อนแรงเกินไป” ยกตัวอย่าง เมื่อหุ้นพุ่งแรงเกินไป คำสั่งขายจากการทำกำไรจะเข้ามาดูดซับแรงซื้อส่วนเกิน หากไม่มีสิ่งนี้ การพุ่งอาจกลายเป็นฟองสบู่ที่ไม่ยั่งยืน ในทางกลับกัน Sell Side Liquidity ที่บาง ทำให้ราคาพุ่งแบบไร้การควบคุม เพราะผู้ซื้อถูกบังคับให้ยอมซื้อในราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามว่า “ฝั่งไหนสำคัญกว่า” ไม่สามารถตอบได้แบบแยกขาดจากกัน เพราะทั้งสองฝั่งพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่มีฝั่งใดทำงานได้หากขาดอีกฝั่ง แต่ความสำคัญอาจเปลี่ยนไปตามสภาวะตลาด
ในตลาดขาลง Buy Side Liquidity มีบทบาทสำคัญ หากไม่มีแรงซื้อเพียงพอ ราคาจะร่วงอย่างต่อเนื่อง
ในตลาดขาขึ้น Sell Side Liquidity จะสำคัญกว่า หากไม่มีแรงขายเพียงพอ ราคาจะพุ่งเกินพื้นฐาน
ในช่วงวิกฤต ทั้งสองฝั่งสามารถ “หายไป” พร้อมกัน ทำให้เกิดช่องว่างราคา (price gap) และการเทรดที่ไร้ระเบียบรุนแรง
ตลาดจะเผยตัวตนที่แท้จริงที่สุดก็ตอนเผชิญกับความกดดัน ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยตัวอย่างที่ความไม่สมดุลของสภาพคล่องทำให้เกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงเกินคาด:
Flash Crash ปี 2010: วันที่ 6 พฤษภาคม 2010 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงเกือบ 9% ภายในไม่กี่นาที การสอบสวนภายหลังพบว่า Buy Side Liquidity หายไปอย่างรวดเร็วเพราะระบบการซื้อขายอัตโนมัติถอนตัวออก เมื่อไม่มีผู้ซื้อ ราคาจึงร่วงลงจนต้องใช้กลไก Circuit Breakers หยุดการซื้อขาย
การลงประชามติ Brexit ปี 2016: ผลโหวตให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปทำให้ค่าเงินปอนด์ (GBP/USD) ร่วงกว่า 10% ภายในคืนเดียว เนื่องจากแรงซื้อบางเฉียบ ทำให้ราคาตกลงเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น
วิกฤต COVID-19 ปี 2020: ในเดือนมีนาคม 2020 ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ Sell Side Liquidity ถูกซัดจนล้นด้วยแรงขายจากการลดเลเวอเรจของสถาบัน ขณะที่ Buy Side Bids ก็เหือดแห้ง ธนาคารกลางต้องอัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ผ่านการซื้อสินทรัพย์เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพ
วิกฤตค่าเงินลีราตุรกี ปี 2021: การแทรกแซงค่าเงินและนโยบายที่ไม่แน่นอนทำให้ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายของลีราเหือดแห้ง สเปรดกว้างขึ้นมหาศาล จนแม้แต่คนท้องถิ่นยังไม่สามารถซื้อขายในราคาที่เป็นธรรมได้
ทุกวิกฤติสะท้อนความจริงเดียวกัน นั่นคือ สภาพคล่องสามารถหายไปได้ในพริบตา และเมื่อมันหายไป ความผันผวนจะถูกขยายทวีคูณ
นักเทรดและนักวิเคราะห์ใช้หลายตัวชี้วัดเพื่อติดตามสภาพคล่องในตลาด เช่น:
จำนวนคำสั่งซื้อและขายรอบราคาปัจจุบัน หากมีชั้นหนาแน่น ตลาดจะมั่นคง แต่หากบาง ก็เปราะบางต่อแรงกระแทก
สเปรดแคบบสะท้อนสภาพคล่องสูง ขณะที่สเปรดกว้างเป็นสัญญาณเตือนว่าความสนใจจากฝั่งซื้อหรือฝั่งขายกำลังหายไป
ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ออเดอร์ขนาดใหญ่ควรมีผลกระทบต่อราคาเพียงเล็กน้อย หากออเดอร์เล็ก ๆ ยังทำให้ราคาขยับแรง แสดงว่าสภาพคล่องอ่อนแอ
ปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับสเปรดที่คงที่สะท้อนสภาพคล่องที่แข็งแรง แต่ถ้าปริมาณลดลงพร้อมสเปรดกว้างขึ้น มักบ่งชี้ความผันผวนที่กำลังมา
การเฝ้าดูตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้คาดการณ์ได้ว่าในระยะสั้น Buy Side หรือ Sell Side Liquidity จะมีบทบาทเหนือกว่า
สภาพคล่องไม่ได้เป็นเพียงกลไกเท่านั้น แต่ยังเป็นพฤติกรรมอีกด้วย นักเทรดจะยื่นคำสั่งซื้อหรือขายตามโดยอิงจากความเชื่อมั่นเมื่อความกลัวครอบงำ ผู้ซื้อจะลังเล ส่งผลให้ Buy Side Liquidity หายไป เมื่อความโลภเข้าครอบงำ ผู้ขายจะหาย ทำให้ Sell Side Liquidity เหือดแห้ง พฤติกรรมฝูงชน (Herd Behaviour) ยังเป็นตัวขยายวัฏจักรเหล่านี้ให้รุนแรงขึ้น
ในวิกฤติปี 2008 สถาบันต่าง ๆ กักเงินสดไว้เอง ทำให้สภาพคล่องฝั่งซื้อในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนเหือดหาย ในปี 2021 นักเทรดรายย่อยรวมกลุ่มกันออนไลน์ จนสามารถกดดันฝั่งขายแบบดั้งเดิมในหุ้นกลุ่ม Meme Stocks ทั้งสองเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า จิตวิทยาของผู้เล่นมีอิทธิพลต่อสภาพคล่องพอ ๆ กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ
สำหรับนักเทรดทั่วไป แนวคิดเชิงนามธรรมอย่าง “สภาพคล่อง” สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นกฎการปฏิบัติได้ดังนี้:
สเปรดที่กว้างเป็นสัญญาณเตือนว่าสภาพคล่องอ่อนแอ การเทรดในสภาพดังกล่าวอาจทำให้เกิด Slippage ที่ไม่คาดคิด
หุ้นที่มีการซื้อขายเบาบาง หรือคู่สกุลเงินที่แปลกใหม่ (Exotic Pairs) อาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถเทรดได้เลยในช่วงความกดดัน ควรยึดติดกับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
ประกาศจากธนาคารกลาง การเลือกตั้ง หรือข่าวไม่คาดคิด มักดูดสภาพคล่องออกจากตลาด ควรลดขนาดการถือครอง หรือทำการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ให้เหมาะสม
ปริมาณการส่งมอบต่ำเป็นสัญญาณว่านักเทรดไม่ได้ถือสถานะจริง ซึ่งสะท้อนว่าตลาดเต็มไปด้วยการเก็งกำไรและมีความเปราะบาง
อย่าคิดว่าฝั่งซื้อหรือฝั่งขายเพียงด้านเดียวจะปกป้องคุณได้ ทั้งสองจำเป็นต่อกัน ควรติดตามอัตราส่วนคำสั่งใน Order Book และกระแสปริมาณการซื้อขายเพื่อประเมินความสมดุล
ในบรรดาคู่สกุลเงิน EUR/USD ถือว่ามีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายต่อวันมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ความลึกของสภาพคล่องทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายช่วยให้สถาบันต่าง ๆ สามารถทำธุรกรรมขนาดใหญ่ได้โดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก
ในทางตรงกันข้ามกับคู่สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ เช่น USD/TRY ที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า สเปรดกว้างกว่า และสภาพคล่องเปราะบางกว่า ในช่วงวิกฤติ คำสั่งซื้อฝั่ง Buy Side อาจหายไปแทบจะทันที ทำให้ค่าเงินดิ่งรุนแรง เทรดเดอร์ที่พึ่งพาเพียงค่าเฉลี่ยในอดีตโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง มักถูกตลาดเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว
หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง European Securities and Markets Authority (ESMA) และ US Securities and Exchange Commission (SEC) ต่างก็ชี้ว่าวิกฤติสภาพคล่องเป็นหนึ่งในภัยคุกคามเชิงระบบ (Systemic Risks) ในขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ใช้ Decentralised Exchanges (DEXs) ได้เผยให้เห็นโมเดลใหม่ของ Peer-to-Peer Liquidity Pools ซึ่งสภาพคล่องทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายมาจากผู้ใช้โดยตรง แทนที่จะพึ่งพาคนกลางเหมือนตลาดดั้งเดิม
Buy Side Liquidity คือ แหล่งรวมของอุปสงค์ หรือความเต็มใจของนักเทรดและสถาบันในการเข้าซื้อสินทรัพย์ มันทำหน้าที่เป็น “พื้นรองรับ” ที่ดูดซับแรงขาย
ในภาวะตลาดขาลง Buy Side Liquidity ที่แข็งแกร่งช่วยป้องกันไม่ให้ราคาดิ่งลงอย่างไร้การควบคุม หากไม่มีมัน แม้แรงขายเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ราคาดิ่งแรงได้
นักเทรดมักติดตามความลึกของสมุดคำสั่ง (Order Book Depth) สเปรดระหว่าง Bid-Ask ปริมาณการซื้อขาย และข้อมูลการส่งมอบ (Delivery Data) เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของ Buy Side Liquidity ในตลาดนั้น ๆ
แล้วตกลง Buy Side Liquidity หรือ Sell Side Liquidity สำคัญกว่ากัน? คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับบริบท” ในช่วงตลาดร่วง Buy Side Liquidity คือเกราะที่ป้องกันการล่มสลาย ในช่วงฟองสบู่ Sell Side Liquidity คือเบรกที่ช่วยชะลอการพุ่งแรงเกินเหตุ ตลาดที่แข็งแรงที่สุดคือตลาดที่ทั้งสองฝั่งสมดุลกัน เปิดทางให้ราคาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานมากกว่าความไม่สมดุล
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ